บทที่ 1/2
เฉินหลิงเว่ยจัดการเก็บข้าวของในห่อผ้าของตนที่อี้หลิงมอบให้ก่อนขึ้นเรือ ภายในห่อผ้ามีเพียงเสื้อผ้าธรรมดาสามชุดและเงินอีก 1 ตำลึงทอง มุมปากของเฉินหลิงเว่ยยกยิ้มบางแววตาเป็นประกายดูเหมือนชีวิตใหม่นี้ของนางคงไม่ลำบากนัก แม้เงิน 1 ตำลึงทองสำหรับผู้มีฐานะในเมืองอาจเรียกได้ว่าไม่มาก แต่สำหรับชีวิตในชนบทที่บะหมี่ชามหนึ่งมีราคาเพียง 3 อีแปะ เงินหนึ่งตำลึงทองนี้นางสามารถซื้อบะหมี่กินได้ทั้งชีวิต
เช่นนี้ก็คิดเสียว่ามาพักผ่อนก็แล้วกัน
ก่อนหน้านี้ชีวิตของเฉินหลิงเว่ยไม่ค่อยสุขสบายนักทุกวันทำงานเก็บเงินไม่เคยได้พักผ่อน ด้วยเพราะตัวนางเป็นเพียงหญิงสาวในชนบทอีกทั้งฐานะทางบ้านนั้นธรรมดาติดไปทางค่อนข้างยากจน นางจึงตั้งใจสอบเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และเลือกเรียนเกี่ยวกับการใช้ที่ดินและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน แต่ว่าสุดท้ายบิดามารดาของนางก็สิ้นใจไปก่อนนางเรียนจบ และตัวนางก็ไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดเพราะถูกทาบทามไปเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัย แต่ทุกครั้งที่มีการลงฝึกปฏิบัติในภาคสนาม ตัวนางก็ไม่เคยพลาดเลยสักครั้งที่จะลงชื่อไปเป็นอาจารย์นิเทศงาน ดังนั้นเฉินหลิงเว่ยจึงไม่เพียงเป็นอาจารย์ที่เก่งเฉพาะด้านทฤษฎี ในเชิงปฏิบัตินางก็นับเป็นอาจารย์ที่โด่งดังผู้หนึ่ง
มือบางหยิบซาลาเปานุ่มขึ้นมาทานรองท้องพลางขบคิดวางแผนการใช้ชีวิตใหม่นี้ ดูเหมือนพรุ่งนี้นางคงต้องเข้าเมืองอีกครั้งเพื่อซื้อของใช้และเมล็ดพืชผักของนาง
“แม่นางเฉินเจ้าอยู่หรือไม่”
เสียงเรียกที่หน้าบ้านดังขึ้นเรียกสติของเฉินหลิงเว่ยออกจากพวังภ์ความคิดของตน นางวางซาลาเปาลูกเล็กลงแล้วเดินออกไปเปิดประตูรั้ว
“ข้าชื่อหลี่จื่อเหยา เป็นภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน สามีข้าให้ข้านำอาหารเย็นมาให้เจ้า”
“ขอบคุณฮูหยินมากเจ้าค่ะ”
เฉินหลิงเว่ยรับข้าวต้มขาวและผัดผักกาดดองมาจากหลี่จื่อเหยา แม้จะเป็นอาหารธรรมดาเพียงสองชาม แต่เมื่อมองไปยังความตั้งใจของผู้มอบแล้วเฉินหลิงเว่ยก็ยิ้มกว้าง
“อยู่ที่นี่อาจไม่ค่อยสะดวกเหมือนในเมือง หากเจ้ามีเรื่องอะไรลำบากก็ไปบอกข้าที่บ้านได้ สิ่งไหนข้าพอจะช่วยได้ย่อมต้องช่วยแน่นอน”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยขอบคุณหลี่จื่อเหยาไปอีกสองสามประโยคนางก็จากไป ไม่ทันได้ปิดประตูเรือนหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งก็ร้องทักนางอีกครั้ง
“อ่า... เจ้าพึ่งมาอยู่ใหม่หรือ”
“เจ้าค่ะ”
“ที่นี่ตอนกลางคืนอากาศเย็นมาก ข้ากับสามีพึ่งไปเก็บฟืนมาจะเอาไปขาย เจ้าก็เอาไว้ใช้สักมัดสองมัดแล้วกัน”
หลังหญิงวัยกลางคนเอ่ยปากจบเฉินหลิงเว่ยไม่ทันตอบตกลงซื้อของสามีนางก็หอบฟืนลงมาจากล้อเกวียนส่งให้เฉินหลิงเว่ยถึงหน้าประตู ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธเฉินหลิงเว่ยก็ทำได้เพียงยิ้มรับในการซื้อขายแบบยัดเยียดครั้งนี้
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านรอสักครู่ข้าจะไปหยิบเงินมาจ่ายให้”
“โอ๊ย! จ่ายงงจ่ายเงินอะไร คนบ้านเดียวกันอันนี้ข้าให้ ข้าไปละเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
เฉินหลิงเว่ยพลันนึกละอายในใจมองรอยยิ้มจริงใจของสองสามีภรรยาที่เร่งจากไปแล้วนึกถึงชีวิตในอดีตของตน อาจเพราะหลายปีมานี้ชีวิตของนางอยู่กับการแลกเปลี่ยนด้วยเงินทองหรือผลประโยชน์ ดังนั้นยามพบเจอการให้ด้วยน้ำใจเช่นนี้จึงไม่คุ้นเคยนัก ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นมีความสุขอย่างแปลกประหลาด ไม่เพียงแค่สองสามีภรรยาที่แวะมามอบฟืนให้เฉินหลิงเว่ย จวบจนตะวันลับฟ้าเสียงเคาะประตูหน้าเรือนของเฉินหลิงเว่ยก็ดังโดยตลอด นางมองข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้ไม่มีราคาแต่กลับเปี่ยมไปด้วยน้ำใจของคนในหมู่บ้านแล้วยิ้มกว้าง
อี้หลิน ข้าไม่แปลกใจเลยที่เจ้ารักที่นี่มากถึงเพียงนี้
………………………………………
วันถัดมาเฉินหลิงเว่ยเข้ามาที่ตัวเมืองอีกครั้งโดยมีหวังเฮ่อเหรินบุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาของเขาเป็นผู้อาสามาส่ง เขาเป็นชายวัยประมาณสามสิบปี มีภรรยาและบุตรสาววัยสามขวบ วันนี้เพราะหรูซินหนี่ย์ต้องการเข้ามาซื้อผ้าไปตัดชุดให้บุตรสาวและหวังเฮ่อเหรินเองก็นำไก่มาส่งให้พ่อค้า ท่านหัวหน้าหมู่บ้านจึงให้เฉินหลิงเว่ยร่วมเดินทางมาพร้อมกัน
“เดินทางโดยเกวียนจะรวดเร็วกว่า อีกอย่าหากเจ้าต้องซื้อของจะได้ขนกลับโดยง่าย”
เฉินหลิงเว่ยไม่ได้เอ่ยปฏิเสธเพราะหลังจากที่เมื่อวานนางใช้เวลาร่วมครึ่งวันในการเดินทางเข้าหมู่บ้าน ตอนที่วางแผนจะเดินทางมาซื้อของตัวนางเองก็กังวลไม่น้อยที่ต้องเดินเท้าไปกลับ ด้วยเพราะคำนวณจากระยะทางแล้วกว่านางจะถึงบ้านคงเป็นยามที่ฟ้ามืดแล้วแน่นอน
“แม่นางเฉินเจ้าต้องการซื้ออะไรหรือ”
“ข้าอยากได้เมล็ดพืชผัก แล้วก็อาหารแห้งสักเล็กน้อย”
“เช่นนั้นเจ้าเดินเข้าไปในซอยด้านหน้านั่น ที่ท้ายซอยจะมีร้านขายเมล็ดธัญพืชราคาไม่แพงนัก แล้วถัดไปอีกสองซอยจะเป็นร้านขายอาหารแห้งคุณภาพนับว่าดีทีเดียว”
หรูซินหนี่ย์เอ่ยบอกเสียงสดใส มองหญิงสาวใบหน้างดงามผิวพรรณผุดผาดกิริยาสุภาพด้วยความชื่นชม เฉินหลิงเว่ยช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามนักหากนางไม่เห็นกับตาว่าเฉินหลิงเว่ยอาศัยร่วมหมู่บ้านกับนาง ตัวนางคงคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นสตรีชั้นสูงอย่างแน่นอน
“ขอบคุณแม่นางหรูที่ช่วยชี้แนะ”
“ไม่ต้องใช้คำพูดเป็นทางการหรอก ดูแล้วเจ้าเองอายุยังน้อย หากไม่รังเกียจต่อไปเรียกข้าว่าพี่สาวดีหรือไม่”
“ข้าจะรังเกียจท่านได้อย่างไรพี่สาวหรู”
“เช่นนั้นน้องเฉินเจ้าเร่งไปทำธุระเถิด แล้วอีกสองชั่วยามเรามาพบกันที่นี่”
หวังเฮ่อเหรินยิ้มกว้าง ภรรยาของเขานั้นเป็นอดีตคุณหนูสกุลหนึ่งในเมือง แม้ตัวนางจะเกิดจากอนุแต่นางก็ถือตัวยิ่งนักปกติมักไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด ยามนี้ถึงกับเอ่ยปากนับเฉินหลิงเว่ยเป็นน้องสาว คงเพราะถูกใจนางไม่น้อยทีเดียว
“วันนี้ซื้อของเสร็จข้าจะแวะไปเยี่ยมท่านแม่สักหน่อย”
“อยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ท่านไปทำธุระเถิด”
เพราะบิดาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ของนาง ยามที่หรูซินหนี่ย์กลับไปเยี่ยมบ้านจึงไม่เคยพาสามีไปด้วยเลยสักครั้ง ทั้งนี้ตัวเขาเองก็ไม่เคยตำหนิหรือน้อยใจอะไรภรรยา อีกทั้งยังเห็นใจภรรยาของตนยิ่งนัก หลายปีที่ผ่านมาจึงดูแลนางเป็นอย่างดี
“น้องหญิงกลับไปถึงบ้านข้าจะตุ๋นน้ำแกงไก่ของโปรดเจ้าให้เจ้าทานนะ”
หรูซินหนี่ย์ยิ้มกว้างให้สามีของนาง เขาเป็นเช่นนี้เสมอใส่ใจและห่วงใยนางไม่เคยเปลี่ยน บุรุษที่ดีเช่นนี้บิดาของนางยังกล่าวว่าเขาไม่เหมาะสมกับนาง
………………………………………