กล้องเบนกลับมาหน้าพิธีกรสาวที่มีจริตมารยา แกล้งทำเป็นตกใจ ‘ว้าย! สามีออกมาพูดเองแบบนี้ ก็หมายความว่าใช่คุณน้ำหวานอย่างที่ชาวเน็ตจับผิดค่าคุณขา’
‘ของมันแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอีกค่ะคุณผู้ชม และแหล่งข่าวของเราก็คอนเฟิร์มมาแล้วว่าคู่นี้ ‘เลิก’ แน่นอน แต่จะหย่าเมื่อไหร่ต้องติดตามกันต่อนะคะ’
‘สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาของเราสองคนแล้ว จีจี้กับกีกี้ สวัสดีค่ะ’
“พี่ชายแกอยู่ไหน จะสองทุ่มอยู่แล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน โทรตามเดี๋ยวนี้!”
ภูมินทร์ขนลุกเกรียว ค่อยๆ เอียงใบหน้ามามองตามารดา แทบสะดุ้ง สบตายังไม่ถึงครึ่งวิท่านก็สั่ง เขารีบลุกจากโซฟาไปต่อสายหาพี่ชายเพื่อโทรจิกให้กลับบ้าน ทว่าโทรไปสองสามครั้งภูดิศก็ไม่ยอมรับสาย จึงย้อนกลับเข้ามาในห้องรับแขก “คุณแม่ พี่หมอกไม่รับสายครับ”
“แม่โทรเอง!” คุณแก้วกัลยาร้อนอกร้อนใจ สูดยาดมไปด้วยกดเบอร์ลูกชายคนกลางไปด้วย โทรๆ วางๆ อยู่อย่างนั้น
“พอเถอะคุณ ลูกโตมากแล้วนะ คิดตัดสินใจเองได้”
“ก็เพราะฉันรู้ไงคะ ว่าลูกยังคิดไม่ได้และตามมารยาผู้หญิงคนนั้นไม่ทัน ถึงต้องโทรเช็คให้มั่นใจ!”
“พี่หมอกอาจจะติดธุระก็ได้ ถูกเขาทิ้งไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นขนาดนั้น ถ้าจะกลับไปหาก็โคตรโง่แหละพี่ชายผม”
“ก็เพราะพี่แกฉลาดหมดยกเว้นเรื่องความรักไง แม่ถึงเป็นห่วง”
ด่าซะเสียงดังขนาดนั้นบินมาจากดาวอังคารยังได้ยิน ภูดิศก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นใช้มือขวารูดเนกไทออกลวกๆ “เม้าท์อะไรกับไอ้มีนเหรอครับ”
“พี่หมอก!”
“กลับมาสักทีนะ หายไปไหนมา ออกจากบริษัทตั้งนานแล้ว” คุณแก้วกัลยานั่งไม่ติดโซฟารีบเดินเข้าไปหาลูกชาย จรดจมูกลงดมตามเสื้อผ้าของลูก
แล้วก็เป็นจริง เพราะมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดมาด้วย!
“คุณแม่ทำอะไรครับ มาดมผมทำไม”
“มีกลิ่นจริงๆ ด้วย! หมอกไปหาแม่น้ำหวานมาใช่ไหม! ไปหามันมาทำไม อาลัยอาวรณ์มันทำไมกันนักกันหนา ก็แค่ผู้หญิงเจนโลกที่หักอกตัวเองไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น มันแต่งเพราะท้อง แต่กลับเลวแอบไปทำแท้ง แม่ก็เคยส่งรูปให้หมอกดูแล้วไง หมอกไม่เชื่อแม่เลยเหรอ!”
เห็นมารดาโกรธจัด ภูมินทร์จึงเข้าไปช่วยพูด “คุณแม่ใจเย็นๆ ฟังพี่หมอกก่อนนะครับ”
“แกเงียบไปเลยตามีน! คุณก็เหมือนกัน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องแก้ตัวอะไรแทนตาหมอก นั่งฟังอยู่เฉยๆ ก็พอ!”
จ๋อยเลยโดนด่าทั้งพ่อทั้งลูก จากจะช่วยห้ามแต่กลับต้องมายืนข้างกันทำหน้าสลอน
สายตาคุณแก้วเกรี้ยวกราดมาก “หมอกจะใจอ่อนกลับไปคบกันมันไม่ได้นะ อย่าลืมสิ ว่าตัวเองตอนนี้มีลูกมีเมียแล้ว หมอกคิดจะทิ้งลูกในไส้ตัวเองไปคว้าเอานางคนนั้นมาทำพันธุ์งั้นเหรอ หมอกไม่สงสารลูกบ้างเหรอ แค่หมอกไม่ยอมบอกคนอื่นว่าหนูขวัญเป็นลูก ถ้าหนูขวัญโตพอรู้ความแกก็เสียใจมากพอแล้วนะ!”
ได้ด่าแล้วท่านด่ายาว ไม่ยอมรับฟังคำอธิบาย คำแก้ตัวใดๆ
เสียงอะไรต่อมิอะไรไม่รู้ดังก้องอยู่ในหัว มันตีกันไปหมด แยกแทบไม่ออกว่าเป็นเสียงบิดา มารดา เจ้ามีน น้ำหวาน หรือเสียงร้องไห้ของดรุณีในวันนั้นที่ยอมเปิดปาก บอกเขาว่า ‘รัก’ ศีรษะเขาปวดตุบๆ ยกขึ้นทุบหลายครั้งมารดาก็ยังไม่ยอมหยุดด่าสักที
“พอเถอะคุณ” เจ้าบ้านเข้ามาดึงแขนภรรยาให้หยุดด่าลูก
“ฉันไม่พอ! ต้องรอให้ลูกพานังนั่นเข้าบ้านอีกรอบเหรอ คุณถึงจะยอมให้ฉันด่าลูก!”
“พอเถอะ! คุณแม่หยุดต่อว่าผมได้แล้ว ผมรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้กำลังทำอะไร! แล้วผมไม่เคยอยากปิดบังตัวตนลูกเลยนะ!”
“แล้วทำไมไม่เปิดตัวล่ะ กล้าบอกคนอื่นหรือเปล่าว่าดาเป็นเมีย หนูขวัญเป็นลูก หมอกกล้าหรือเปล่า ให้แม่ยอมรับดามาเป็นสะใภ้ที่เชิดหน้าเชิดตาในวงศ์ตระกูล ยังดีกว่าให้หมอกกลับไปคว้าเอานังคนนั้นมาเหยียบบ้านนี้!”
“คุณแก้ว พอเถอะ คุณด่าลูกเยอะเกินไปแล้วนะ!” สามีเข้ามาห้าม คราวนี้ท่านจริงจังตะคอกเสียลั่นบ้าน คนใช้แอบมองเป็นแถบๆ สอดรู้สอดเห็น
คุณแก้วสะบัดมือสามีทิ้ง “แตะต้องไม่ได้เลยนะ! ปกป้องกันเข้าไป คุณดูลูกคุณไว้นะคุณภู วันไหนตาหมอกพายัยน้ำหวานเข้ามาแล้วจะรู้สึก! ส่วนหมอก ถ้ารำคาญแม่นัก แม่ก็จะไม่พูด ไม่ยุ่งเรื่องนี้อีก แต่สิ่งเดียวที่แม่ยืนกรานหนักแน่น คือแม่จะไม่ยอมรับผู้หญิงใฝ่ต่ำคนนั้นมาเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด ผู้หญิงที่แม่จะยอมรับได้อย่างบริสุทธิ์ใจคือดรุณีคนเดียวเท่านั้น!”