ตอนที่ 4.2

4751 คำ
แรงชนของรถสปอร์ตสู่ตัวใครคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็ลงจากทางเท้ามาตัดหน้ารถดังไปทั่วบริเวณ ดึงความสนใจจากคนแถวนั้น บางคนที่เห็นเหตุการณ์ตลอดรีบตะโกนบอกกับ    เด็กหนุ่มร่างโปร่ง หากแต่ไม่ทันการ บางคนเพิ่งเห็นก็กรีดร้องเพราะภาพอุบัติเหตุชวนตกใจเป็นอย่างมาก รถคันหรูจอดสนิททันทีที่ชนเข้ากับร่างๆ หนึ่ง กว้างขวางตื่นตะลึง ในขณะที่มายด์ช็อคและทำอะไรไม่ถูก ชั่วขณะหนึ่งเมื่อสติกลับคืน เขารีบเปิดประตูรถแล้วลงไปหาคู่กรณี เมื่อกุลีกุจอไปถึงหน้ารถ ก็เห็นคนถูกชนกำลังชันกายลุกขึ้นนั่ง สองขาสองแขนสั่นระริก      มีเลือดไหลซึมจากผิวกายถลอก โชคยังดีที่มันใกล้ถึงที่หมาย เลยทำให้เขาเริ่มชะลอและขับไม่เร็วมาก แต่ถึง   อย่างนั้นคนถูกชนก็ได้แผลไปไม่น้อยอยู่ดี คนตัวสูงกวาดตามองสภาพร่างคนถูกชน ไล่หาบาดแผลอย่างลนลาน สุดท้ายยอบกายลงข้างๆ คนเจ็บ ก่อนเอ่ยปากถาม “คุณเป็นยังไงบ้าง ให้ผมพาไปโรงพยาบาลก่อนนะ” มือแกร่งเอื้อมไปจับหัวไหล่ร่างโปร่งที่เอาแต่ก้มหน้าเหมือนสะกดกลั้นความเจ็บจุกให้เงยหน้าขึ้นมา สุดที่รักกัดฟันฝืนความเจ็บ บาดแผลถลอกตอนตัวไถลไปไม่กี่เมตร ยังรู้สึกเจ็บ   ไม่เท่าความปวดร้าวระบมตรงช่วงสะโพก อาการช้ำในจากเหตุการณ์เมื่อคืนถูกซ้ำเดิมจนกระดูกสันหลังสะท้าน เมื่อถูกเรียกด้วยเจ้าของรถ สุดที่รักจำใจฝืนแหงนหน้ามอง วินาทีนั้นคนทั้งสองเพิ่งได้สบตากัน พลันสิ่งรอบกายที่ดูจะวุ่นวายกลับมลายหายไปจนสิ้น เมื่อรู้ว่าคนชนเป็นใคร นัยน์ตาหม่นฉายแววตื่นตระหนกในทันที ทำไมโลกถึงได้แคบขนาดนี้ ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกให้เขาต้องมาเจอกับคนที่ออกปากไล่อย่างกับไม่ใช่คนอีก เมื่อเห็นว่าเป็นกว้างขวาง จึงเบี่ยงกายหลบให้ห่างจากการสัมผัส กัดฟันยันกายลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง “ผมไม่เป็นอะไรมากครับ” พูดไปก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา มองหากระเป๋าเป้ใบเก่า  ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กระเด็นหายไปไหน ดูเหมือนว่ามีใครคนหนึ่งซึ่งยืนมองอยู่  แถวนั้นจะรู้ว่า  เด็กหนุ่มนักศึกษาเสื้อผ้ามอมแมมหน้าตามึนงงกำลังตามหา ถึงได้ใจดีช่วยหยิบแล้วยื่นกระเป๋าส่งให้ สุดที่รักก้มศีรษะขอบคุณด้วยอาการมึนเบลอ ก่อนจะรีบเดินกะเผลกขึ้น    ทางเท้าไปทันที โดยไม่สนใจคู่กรณีเลยสักนิด “เดี๋ยว!” เขาได้ยินเสียงร้อนรนตามมาทางด้านหลัง หากแต่ไม่คิดฟัง ออกเดินด้วยท่าประหลาดๆ มือข้างหนึ่งจับข้างขาในตอนที่มันเสียดสีกับผิวกางเกงจนรู้สึกแสบระคาย ผิวหนังส่วนนั้นคงถลอกตอนร่างเขาไถลไปกับพื้นถนนร้อน ที่อยากหนีเพราะยังจดจำกับคำก่นด่าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ของกว้างขวางได้ดี มันทำให้เขาไม่คิดจะไปสู้หน้าคนๆ นี้อีกแล้ว อีกอย่างคือเขาต้องรีบไปที่ร้านอาหารเพราะสายมากแล้ว เจ็บแค่นี้คงไม่ถึงตาย กลับไปค่อยทำแผลก็ได้ ร่างโปร่งเดินหลบเลี่ยงผู้คนบนทางเท้าด้วยสภาพอิดโรย อากาศเช้านี้ร้อนแทบ  แดดิ้น พาลให้เหงื่อผุดซึมไปทั่วร่าง กลิ่นอาหารปิ้งย่างตามรถเข็นข้างทางหรือแม้แต่กลิ่นควันรถที่สัญจรไปมาก็ช่างชวนให้คลื่นเ**ยนเวียนศีรษะ หรือบางทีนี่อาจเป็นเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อครู่ ที่เล่นเอาสมองมึนงงไปชั่วขณะ บวกกับรู้สึกจุกที่ลิ้นปี่ สุดที่รักถึงได้รู้สึกไม่ดีอย่างนี้ เดินกะเผลกไปไม่กี่ก้าวก็สะบัดศีรษะหวังไล่อาการเหล่านี้ออกไป ทว่าไม่ดีขึ้น เพราะฝืนเดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดยืนหอบหายใจ ก้มกายใช้มือ   ค้ำยันหัวเข่าเอาไว้ “จะรีบไปไหน นายถูกรถชนนะ ให้ฉันพาไปหาหมอ” เสียงทุ้มฟังดูหงุดหงิดเป็นอย่างมากดังอยู่เบื้องหน้า กลบเสียงจอแจของผู้คนรอบบริเวณไปจนหมดสิ้น เขารีบ เขาไม่อยากเจอหน้ากว้างขวาง เขากลัวเสียเงินค่ารักษาพยาบาล “ผม...ผมไม่ได้เป็นไรมาก ผมร..รีบ” ยิ่งพูดยิ่งหมดแรง บ่ายเบี่ยงหลบคนตรงหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น “เป็นคนปากแข็งขนาดนี้เลยเหรอ สนใจกันหน่อยสิวะ เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง กูจะรับผิดชอบยังไงไหว...” กว้างขวางหัวเสียเป็นอย่างมากเมื่อคนตรงหน้าไม่คิดที่จะฟัง ไม่รู้ไอ้เด็กเอ๋อนี่มันจะรีบไปไหน ขนาดที่ว่ารถชนตัวเองเจ็บขนาดนี้ ยังไม่คิดจะสนใจ กลับหลบหน้าเขาแล้วเดินหนี อย่างน้อยหันมาด่า มาต่อว่าเขา เขายังจะรู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย              เขาหงุดหงิดในความดื้อแต่ก็ปล่อยเด็กนัยน์ตาเศร้าไปไม่ได้เขาทำผิดและต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงรีบก้าวไปประชิดสุดที่รัก ก่อนกระชากหัวไหล่บางให้หันมาอีกครั้ง คราวนี้ถ้าปฏิเสธอีก เขาจะอุ้มมันขึ้นรถ “ไปกับกู” คราวนี้ไม่ต้องฉุดรั้งอะไรอีก กลับเป็นคนตรงหน้าที่ยอมรับด้วยสภาพ นัยน์ตาเศร้าปรือปรอยปิดลง สองขาอ่อนแรงจนเข่าทรุด ทิ้งตัวลงตรงนั้นเมื่อสติพลันดับวูบ กว้างขวางอ้าแขนรับแล้วช้อนตัวคนหมดสติขึ้นแนบอก ไม่รอช้ารีบกลับหลังหันเดินไปที่รถ ทว่ามีเสียงเรียกจากใครสักคนดังขึ้นเสียก่อน “กว้างขวาง! ใครเป็นอะไรน่ะ?” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขัด พร้อมกับเจ้าของร่างที่โผล่พ้นออกมาจากประตูกระจก เธอซึ่งกำลังนั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อนๆ อยู่ในร้านทันเห็นเพื่อนที่รู้จักกำลังอุ้มเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยู่พอดี “หมอดาว...” เขาเปรยชื่อเธอ ดาว นศพ. ปีสี่ เพื่อนต่างคณะที่รู้จักกันตอนประกวดดาว – เดือน “ให้เราดูอาการก่อนนะ แล้วค่อยโทรเรียกรถพยาบาล น่าจะไวกว่า” เมื่อถูกเสนอหนทางที่ดีกว่าการต้องพาร่างหมดสติขึ้นรถ แล้วขับฝ่า              ความโกลาหลชวนปวดหัวบนท้องถนนเพื่อไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เขาจึงตัดสินใจอุ้มร่างเจ้าเด็กตัวบางเข้าไปในร้านอาหาร ไอ้เด็กหน้ามึนน้ำหนักเบาอย่างที่เขาคาดเอาไว้  ก่อนหน้านี้จริงๆ เขาแทบไม่ต้องออกแรงยกร่างมัน ไม่ได้รู้สึกหนักเลยสักนิด เขาวางร่างหมดสติลงบนโซฟาตัวยาว ดาวเคลียร์พื้นที่ ก่อนจะสั่งให้เพื่อนๆ ช่วยกันหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนเธอก็เข้าไปตรวจเช็คอาการของเด็กหนุ่มอย่างที่เคยร่ำเรียนมา อ่างน้ำกับผ้าสะอาดจากพนักงานถูกส่งให้หลังจากนั้น เธอใช้มันเช็ดทั่ววงหน้าซีดเซียวชื้นเหงื่อ ส่วนเพื่อนอีกคนก็เอายาดมมาจ่อไว้ตรงปลายจมูกให้ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เธอสอบถามชายหนุ่มที่ยืนนิ่ง มองร่างหมดสติไม่ละสายตา “เราขับรถชนเขา” “ตายจริง แกรีบโทรเรียกรถพยาบาลด่วนเลย...” ดาวหันไปย้ำกับเพื่อนอีกสองสามคน ก่อนจะหันมาพูดกับกว้างขวาง “นายไม่ควรขยับคนถูกชนแบบนี้นะ กระดูกอาจเคลื่อน อันตรายมาก” “หลังถูกชน ไอ้เด็กนี่มันก็ลุกของมันเอง แถมยังเดินมาได้ตั้งไกล ต่อล้อ  ต่อเถียงเรา ไม่ยอมไปโรงพยาบาลท่าเดียว เดินมาถึงหน้าร้านก็เป็นลมล้มพับอย่างที่เห็นนี่แหละ” ดาวผ่อนลมหายใจหลังได้ยินความจริง ก่อนจะหันไปตรวจบาดแผลบนร่างกายเด็กหนุ่มอีกครั้ง “อืม...เท่าที่ดูก็มีแค่แผลฟกช้ำกับแผลถลอก ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นอะไรมากไหมต้องเช็คอีกที ส่วนที่เป็นลม เราว่าคงเพราะอากาศร้อนกับขาดน้ำ” สังเกตได้จากปากแห้งผากและใต้ตาบวมคล้ำ เช็คอาการให้ได้สักพัก รถพยาบาลฉุกเฉินก็วิ่งมาเทียบยังหน้าร้าน ดาวรีบไปติดต่อประสานงานทันที เป็นโอกาสให้คนที่ยืนนิ่งอยู่นานอาศัยช่วงเวลาวุ่นวายนี้นั่งยอง   ริมโซฟา จ้องมองใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมอยู่ตลอดเวลา หัวคิ้วคนหมดสติติดขมวดเล็กๆ เหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย สุดท้ายสายตาคมจบลงที่ริมฝีปากเล็กขมุบขมิบฟังไม่ได้ศัพท์ กำลังฝันถึงอะไร ถึงได้ดูหวาดกลัวขนาดนี้ การกระทำไปไวกว่าสติมาก ขนาดที่ว่าเผลอไผลใช้มือลูบหน้าผากชื้นเหงื่อให้   เอานิ้วโป้งเค้นคลึงระหว่างคิ้ว หวังขับไล่ฝันร้ายให้หายไปจากภวังค์ของคนหมดสติ เหมือนเป็นการปลอบโยนให้คลายความเจ็บจากการถูกรถชนไปด้วย เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แล้วไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้จะช่วยเจ้าเด็กนี่มันได้หรือไม่ และน่าแปลก...ที่ใบหน้าขมวดขึงก่อนหน้ากลับดูผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด พลันวินาทีนั้นหัวใจคนมองรู้สึกสั่นสะเทือนแบบแปลกๆ ยิ่งได้มองแล้วเหมือน   ยิ่งถูกตรึงให้ต้องมองอีกหลายครั้ง กว้างขวางไม่อาจปฏิเสธว่าเขารู้สึกพอใจที่ได้เห็นใบหน้าซีดเซียวกลับมามีสีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้งด้วยฝีมือของตนเอง สุดที่รักยามหลับใหล ไม่ต่างอะไรกับเด็กนัยน์ตาเศร้าที่เขาเห็นในวันนั้น เด็กน้อย... ในขณะที่มุมปากหยักขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว พลันเปลือกตาของ       คนหมดสติก็เคลื่อนไหวกลอกกลิ้ง แพขนตาสั่นระริกเหมือนคนอยากตื่นเต็มแก่ กว้างขวางรีบชักมือกลับ ตีสีหน้าเรียบตึง ก่อนจะชันกายลุกขึ้นยืน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เหล่าทีมพยาบาลฉุกเฉินวิ่งเข้ามาแทรก เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บุรุษพยาบาลและพยาบาลหลายคนวิ่งเข้ามาตัดหน้า เพื่อช่วยกันพาร่างกึ่งหลับกึ่งตื่นขึ้นเปล กลุ่มนักศึกษาแพทย์ที่ดูอาการให้รุมล้อมเอาใจใส่ ผู้คนเหล่านั้นเพิ่มระยะห่างคนสองคนมากขึ้นเรื่อยๆ กว้างขวางเซถอยอย่างไร้บทบาท ได้แต่ทอดสายตามองร่างโปร่งที่ถูกผู้คนรายล้อม แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะหยุดชะงักลงและสถานการณ์ก็ไม่ได้ฉุกเฉินอีกต่อไปแล้ว เมื่อคนหมดสติผุดลุกขึ้นนั่งด้วยหน้าตาตื่นๆ กว้างขวางมองดูเด็กหน้ามึนอยู่ห่างๆ ได้ยินทุกประโยคที่พวกพยาบาลพูดโต้ตอบกับร่างโปร่ง “แน่ใจนะน้อง ไปเช็คที่โรงพยาบาลอีกทีดีกว่าไหม?” ดาวยังคงถามไถ่ หลังได้ยินคำปฏิเสธของเด็กหนุ่มหลายต่อหลายครั้ง เด็กหนุ่มร่างโปร่งส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ครับ แค่รู้สึกเคล็ดขัดยอกเท่านั้นเอง ส่วนแผลถลอกเดี๋ยวให้เพื่อนช่วยทำแผลให้ครับ” เมื่อเจ้าตัวยืนยันหนักแน่นหลายต่อหลายครั้ง คนทั้งหมดจึงปล่อยวางแม้จะยังหวั่นใจกับอาการที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกมาว่าไม่เจ็บมากก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ต่างคนจึงต่างแยกย้าย รถพยาบาลกลับไปอย่างไร้ประโยชน์ กลุ่มหมอดาวนั่งลงที่เดิม ส่วนคนที่ยืนมองสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้วตั้งใจจะเข้าไปหาแต่กลับถูกรั้งด้วยมือของคนที่เขาลืมทิ้งเอาไว้ที่รถเสียสนิท “เป็นยังไงบ้างคะ พี่กว้างอะทิ้งมายด์ไว้กับรถ มายด์จะตามมาก็โดนรถคันหลังบีบแตรไล่ ตำรวจก็จะมาเขียนใบสั่งอีก มายด์ต้องวุ่นขับไปหาที่จอดตั้งนาน” เธอบ่นยาวยืดกับเหตุการณ์ที่ได้เจอ ก่อนจะเหลือบไปเห็นคู่กรณีนั่งหน้ามึนอยู่ไม่ไกล “นายเป็นไงบ้าง ขอโทษทีนะ พอดีฉันไปกวนแฟนตอนขับรถเองล่ะ” “ม...ไม่เป็นอะไรแล้วครับ” สุดที่รักตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่กล้ามอง     คนทั้งสอง โดยเฉพาะคนตัวสูงที่เอาแต่ยืนจ้องมาทางเขา นึกว่าจะกลับไปแล้วซะอีก “ไปให้หมอตรวจก่อนดีกว่า” กว้างขวางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางเดินเข้าไปหา แต่ก้าวได้เพียงก้าวเดียวก็ถูกมายด์ดึงเอาไว้เสียก่อน “ก็เขาบอกไม่เป็นไรนี่คะพี่กว้าง ดูๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากนะ เอาเงินค่าทำขวัญให้เขาไปเถอะค่ะ แล้วเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า มายด์หิวจนทนไม่ไหวแล้ว บ่ายนี้ก็ต้องรีบไปถ่ายละครอีก” เธอรวบรัดตัดตอนด้วยไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ เน็ตไอดอลกำลังก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นตัวประกอบค่อนข้างสำคัญในซีรี่ส์ทางช่องดังช่องหนึ่ง กว้างขวางมองแฟนสาวที มองสุดที่รักทีอย่างคนตัดสินใจไม่ถูก เขาสัญญากับแฟนสาวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเป็นคนไปส่งเธอถ่ายละคร แต่ครั้นจะให้ทิ้งคนที่ถูกรถชน เขาก็ทำไม่ได้อีก “ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวก่อนนะครับ” เอ่ยตัดบรรยากาศชวนอึดอัดเพราะไม่อยากร่วมวงสนทนา สุดที่รักรีบยันกายลุกขึ้นแล้วเดินไปหลังร้าน หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในร้านอาหารที่ตนทำงานอยู่แล้ว กว้างขวางเห็นคนเจ็บกำลังเดินจากไป เขาหมายจะก้าวตามไปคุยให้รู้เรื่อง ทว่ามายด์กลับรีบออกตัวเพื่อเรื่องของตัวเองทันที “ไปสิคะ มายด์รีบนะ ถ้าสายคงไม่มีใครจ้างอีก” เมื่อถูกเร่งเร้า กว้างขวางจึงได้แต่หันไปมองแผ่นหลังที่เดินหายไปหลังร้าน ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานอีกคนซึ่งวิ่งวุ่นอยู่คนเดียว เขาขอกระดาษกับปากกามาจดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะควักแบงค์พันออกมาจากกระเป๋านับสิบใบแล้วยื่นของทั้งหมดให้เธอ “ฝากเอาให้เด็กคนนั้นด้วยนะครับ บอกว่าเป็นค่าทำขวัญ แล้วก็ขอโทษอีกครั้งสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเขาอยากจะเรียกร้องค่าเสียหายมากกว่านี้ ให้เขาโทรหาผมได้ทันที” พนักงานคิดเงินที่ต้องวิ่งวุ่นมาเป็นพนักงานเสิร์ฟด้วยรับเงินและกระดาษมาไว้ในมือ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าหล่อเหลาซึ่งเธอเองก็รู้จักเป็นอย่างดี เพราะคนๆ นี้เป็นถึงรุ่นพี่คนดังในมหาวิทยาลัย เธอเห็นชายหนุ่มร่างสูงให้ความสนใจไปทางหลังร้านด้วย     แววตาติดค้างคาและเป็นกังวล หัวคิ้วขมวดมุ่น มีจังหวะหนึ่งตั้งใจจะเดินตามเพื่อนร่วมงานของเธอไปยังหลังร้านด้วยซ้ำ หากแต่ถูกผู้หญิงที่มาด้วยกันดึงรั้งแล้วลากออกจากร้านไปอย่างคนเห็นแก่ตัว เมื่อรับออเดอร์และส่งให้ห้องครัวเสร็จ เธอเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวพนักงานเพื่อตามหาเพื่อนร่วมงานอย่างสุดที่รัก “สุดที่รัก เป็นไงบ้าง” ก้าวเข้าไปหาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เห็นเพื่อนร่วมงานกำลังก้มคลำข้อเท้าตัวเองป้อยๆ “สงสัยข้อเท้าจะแพลง” “แล้วแผลถลอกนี่จะเอายังไง เราว่าพักเถอะวันนี้ แล้วไปให้หมอทำแผลให้ดีกว่า” “เอาไว้ก่อนก็ได้ ก้อยทำงานอยู่คนเดียวคงเหนื่อยแย่ แผลแค่นี้สบายมาก ไว้เลิกงานแล้วค่อยไปทำ” สุดที่รักโบกมือพร้อมระบายยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจ “แน่ใจนะ?” “อื้ม แค่แผลถลอกเอง ดีนะชุดพนักงานแขนยาว ขายาว ปิดแผลน่าเกลียดได้” “ถ้างั้น เดี๋ยวเราช่วยกันรับลูกค้าก่อน เดี๋ยวยัยนาวกับยัยหวานก็คงเลิกเรียนแล้ว ถ้าพวกนั้นมา เดี๋ยวเราทำแผลให้สุดที่รักเอง” ก้อยเสนอทางออก สุดที่รักพยักหน้าเห็นด้วย “เอ้อ เมื่อกี้พี่คนนั้นเขาฝากเงินค่าทำขวัญมาให้ด้วยนะ นี่จ้ะ” ธนบัตรสีเทาจำนวนหนึ่งถูกยื่นให้ตรงหน้า มันมากพอๆ กับเงินเดือนของเขาหนึ่งเดือน พร้อมกับมีเศษกระดาษแผ่นหนึ่งแนบมาด้วย เมื่อเห็นท่าทีลังเล ก้อยเลยจับเงินเหล่านั้นยัดใส่มือสุดที่รัก “รับไปเถอะ มันเป็นเงินที่เธอควรได้ อีกอย่างเราว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วดูซิ แทนที่จะมาขอโทษด้วยตัวเอง กลับไม่สนใจใยดี ควงแขนสะบัดตูดกันออกร้านไปเลย ถ้าเป็นเรานะ เราจะเรียกร้องมากกว่านี้อีก แต่รุ่นพี่หล่อๆ      คนนั้นเขาก็ดูห่วงสุดที่รักอยู่นะ จะมีก็แต่ยัยผู้หญิงที่มาด้วยนั่นแหละ ทำตัวน่าหมั่นไส้มาก ไม่สนใจใครเลย เรียกร้องแต่จะให้ผู้ชายของตัวเองกลับ จนพี่เขารีบเอาเงินให้เรามาก่อน แล้วก็ฝากขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย ส่วนนี่เบอร์โทรศัพท์ของเขา เขาบอกว่าถ้ามีอะไรให้โทรหาได้ทันที” พูดจบก็รีบเดินออกไปจากห้อง เพราะปล่อยทิ้งหน้าร้านไว้นานแล้ว สุดที่รักมองเงินและเบอร์โทรศัพท์ในมือ พลางนึกถึงเจ้าของของมัน ภาพในอดีตของกว้างขวางฉาดฉายขึ้นมาในสมองซึ่งถูกแบ่งแยกออกเป็นสองความรู้สึก หนึ่ง คือเหตุการณ์ครั้งแรกที่ได้พบเจอกัน ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับฝ่ามือที่ทาบทับลงบนเรือนผม มันเกิดเป็นความรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจเดียวดาย เด็กชาย     ผู้สูญเสียครอบครัวในวันวานได้รู้จักกับคำว่าแอบรักในตอนนั้นเอง ความรักที่มีต่อรุ่นพี่เป็นความรักทั้งซื่อทั้งบริสุทธิ์ ไม่มีความคิดร้ายแอบแฝง เป็นการแอบรักภายใต้ระยะทางห่างไกล เขาเฝ้ามองกว้างขวางในที่ของตัวเอง และขีดเส้นเอาไว้เสมอ ไม่เคยเข้าไปรบกวนหรือทำให้ชายหนุ่มได้รับรู้ว่ามีเขาคนนี้คอยมองด้วยความรู้สึกพิเศษ วันเวลาผ่านพ้นไปหลายปี ความรักที่ว่านี้ก็ยังไม่ถูกพัฒนา และเจ้าตัวก็ไม่คิดจะพัฒนา เพราะเขาพึงพอใจแล้วที่ได้ยืนมองอยู่ห่างๆ ได้เห็นกว้างขวางใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างราบรื่นและมีความสุข ยอมรับว่าภาพลักษณ์ภายนอกของกว้างขวางที่ได้เห็น สร้างความประทับใจให้เขาตลอดมา ทว่ามันเป็นความประทับใจผิดๆ ที่เพิ่งได้รับความกระจ่างเมื่อคืนนี้เอง เหตุการณ์เมื่อคืนพลันผุดแทรก มันอาจเป็นโชคชะตาหรือเรื่องบังเอิญที่ทำให้เขาได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วกว้างขวางไม่ใช่คนอย่างที่ตนคิด กว้างขวางไม่ได้ดีกับทุกคนขนาดนั้น คำพูดหยามเหยียดเมื่อคืนเป็นหลักฐานอย่างดีว่ารุ่นพี่เป็นคนแบบไหน ถามว่าเจ็บไหม ก็ตอบได้เลยว่าเจ็บเหมือนโลกพังทลายลงมาใส่ เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งมาจากไหน เป็นคนมีอดีตรวดร้าวสูญเสียคนที่ตัวเองรักที่สุดไปถึงสองคนในเวลาเดียวกัน พอได้มารับรู้อีกด้านหนึ่งของกว้างขวาง มันเลยเหมือนคนไปไม่ถูก จากความประทับใจไม่รู้ลืม กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง คนที่แอบมองอยู่ไกลๆ ไม่ได้เป็นอย่างใจหวัง มาวันนี้สุดที่รักเติบโตและพยายามทำความเข้าใจ ความประทับใจในอดีตไม่ได้เลือนหาย แต่เขาขอเลือกหยุดมันไว้เพียงเท่านี้ มันจะยังคงอยู่ในใจ เพียงแค่จะไม่นึกถึงมันอีกแล้วเท่านั้นเอง ความรู้สึกต่อจากนี้คือความว่างเปล่า ไม่พบ ไม่เจอ คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ธนบัตรสีเทาในมือถูกเก็บยัดไว้ในซอกหนึ่งของกระเป๋าเป้ใบเก่า ส่วนเศษกระดาษใบนั้นเจ้าตัวเพิกเฉยต่อมัน โดยการทิ้งลงถังขยะ เหมือนไม่ให้ความใส่ใจมันอีกต่อไปแล้ว กระดาษแผ่นนั้นร่วงหล่นสู่ก้นถัง เหมือนคนทิ้งต้องการทิ้งไปพร้อมกับความทรงจำตลอดหลายปี     เมื่อชายหญิงสองคนออกมาจากหน้ามหาวิทยาลัยได้ ก็พากันไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เลือกเข้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนหรูหราราคาแพง ไร้เสียงจอแจ ผิดกับเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ มายด์มองเมนูอาหารในมือ ก่อนหันมาถามไถ่แฟนหนุ่ม ซึ่งบัดนี้นั่งนิ่งเหมือนคนตกอยู่ในห้วงความคิด “พี่กว้าง...พี่กว้างคะ” “หืม” คนถูกเรียกถึงสองครั้งหลุดจากภวังค์ทันที “ทานอะไรดีคะ” “อะไรก็ได้ มายด์อยากทานอะไรก็สั่งมาเลย” เธอพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปสั่งอาหารแบบเดียวกันกับเธอ เมื่อหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้ง ก็พบว่าเขากลับไปนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม นัยน์ตาคม ทอดมองไร้จุดหมาย ไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด ปกติกว้างขวางเป็นคนช่างเอาอกเอาใจเก่ง อบอุ่นและสนใจแต่กับเธอ เกิดอะไรขึ้น... มายด์เอื้อมมือไปแตะทับบนหลังมือของกว้างขวางเพื่อดึงความสนใจ ขนาดกระชับมือจนแน่น ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกตัว มันดูเซื่องซึม... ยิ่งไปกว่านั้น มันพยายามหลบหน้าเขา... คนบ้าอะไรถูกรถชนจังๆ ขนาดนั้น แทนที่จะต่อว่าเอาเรื่องเขา ยังเลือกที่จะหลบหน้ากัน ยิ่งคิด ยิ่งเกิดความหงุดหงิด เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องหงุดหงิดใส่ไอ้เด็กนัยน์ตาเศร้า บางทีมันอาจเป็นแค่ความไม่ชอบใจที่ถูกใครคนหนึ่งเพิกเฉยแล้วทำเมินใส่ ทว่าในใจลึกๆ เขายอมรับว่าเขาพูดแรงไปหน่อยสำหรับเรื่องเมื่อคืน และตอนนี้เรื่องนี้ก็ทำเอาเขาปั่นป่วนไม่น้อย ยิ่งนึกถึงคนที่ถูกเขาไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเอาแต่หลบหน้า เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์กับคำพูดของตัวเองอย่าง   ถึงที่สุด ไหนจะแผลถลอกที่มีอยู่ทั่วตัว ผิวขาวๆ นั่นแดงเถือก บางจุดเลือดไหล แถมยังเดินขากะเผลกอีก มันไม่คิดจะดูตัวเองเลยหรือไง? นอกเหนือจากความคิดชวนหงุดหงิดนั้น กว้างขวางไม่อาจรู้ตัว ว่ามีความรู้สึกหนึ่งซึ่งเรียกว่าห่วงเด่นชัดอยู่ในหัวใจ มายด์มองคนตรงหน้าที่นั่งกระสับกระส่าย เดี๋ยวขมวดคิ้ว เดี๋ยวถอนหายใจฮึดฮัด “พี่กว้าง...ฟังมายด์อยู่หรือเปล่าคะ?” “ขอโทษนะมายด์ พี่มีธุระ ไว้พี่จะโทรหา” สิ้นเสียงหวาน พลันชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน หยิบบัตรเครดิตออกมาวางลงบนโต๊ะอาหาร แล้วผลุนผลันออกจากร้านไปทันที  “พี่กว้าง!! จะไปไหนคะ แล้วใครจะไปส่งมายด์ไปกองถ่าย!”     “มันใช่เรื่องไหมเนี่ย มาทำแผลให้กัน ทำไมไม่ไปหาหมอดีๆ” พลอย รุ่นพี่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเดียวกันและควบตำแหน่งเจ้าของร้านเอ่ยขึ้น ขณะยืนมองรุ่นน้องสองคนนั่งทำแผลให้กัน สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเป็นกังวล  ไม่น้อย “ก็สุดที่รักปฏิเสธหัวชนฝาเลยนี่พี่ ดื้อไม่เข้าเรื่อง แผลไม่ใช่น้อยๆ” ก้อยบ่นอุบอิบใส่คนตรงหน้า พลางใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดข้อศอกเปื้อนเลือดให้ “แผลเยอะก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หนักอะไรนี่ครับ ผมอยากอยู่ช่วยพี่พลอยวันนี้ลูกค้าเยอะ” แผลตามร่างกายมันไม่ได้เจ็บมากถึงขนาดต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ เขาไม่อยากไป เพราะมันเสียทั้งเงินและเวลา อีกอย่างบ่ายนี้เขามีสอบด้วย “นี่เราเห็นพี่ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นเลยเหรอ ลูกน้องเจ็บแล้วจะให้ทำงานต่อเนี่ยนะ นี่ถ้าพี่ไม่กลับมาเห็นก่อน เราจะไม่เดินขาเดี้ยงไปเสิร์ฟอาหารทั่วร้านเลยเหรอ” “เดินหลายรอบแล้วล่ะค่ะ ก้อยบอกก็ไม่ฟัง” “เฮ้อ! อย่าเกรงใจคนอื่นนักเลย ทำเพื่อตัวเองบ้าง เราเจ็บขนาดนี้ ดูแลตัวเองก่อนดีกว่า แล้วเห็นว่าบ่ายนี้มีสอบด้วยไม่ใช่เหรอ จะเอาแรงที่ไหนไปสอบ นั่งเจ็บไปด้วย ทำข้อสอบไปด้วยได้เหรอ” พลอยติเตียนสุดที่รัก รุ่นน้องคนนี้เป็น   คนขี้เกรงใจคนอื่นเสมอ แล้วก็มักคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองตลอด นี่คงเอาแต่ยึดเรื่องที่เธอไหว้วานว่าให้มาช่วยงานก่อนเวลาล่ะสิ เจ้าตัวถึงได้ดื้อดึงจะทำ “ทำแผลเสร็จ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่มหาลัย” “ไม่เป็นไรครับพี่พลอย ผมไปเองได้” สุดที่รักละล่ำละลักปฏิเสธ ไม่อยากเป็นภาระให้ใครไปมากกว่านี้แล้ว อีกอย่างพี่พลอยตัวคนเดียวซะทีไหน ยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องให้ต้องดูแล “ได้ไง พี่ก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่บอกให้มาทำงานก่อนเวลา เราก็คงไม่ถูกรถชนอย่างนี้หรอก” “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ แข็งแรงสบายมาก” สุดที่รัก   ผุดลุก หลังก้อยทำแผลให้เสร็จเรียบร้อย เขาแสดงท่าทีแข็งขันเผยรอยยิ้มให้ทุกคนดู สุดท้ายรีบขอตัวกลับด้วยไม่อยากให้พี่พลอยต้องลำบากไปส่ง เมื่อเก็บของใส่เป้เรียบร้อยแล้ว สุดที่รักเลือกเดินออกหลังร้าน ลัดเลาะไปตามซอยเล็กๆ เพื่อไปโผล่ตรงปากซอยซึ่งมีสะพานลอยข้ามฝั่งไปยังประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ทำให้คาดเคลื่อนกับใครอีกคนซึ่งร้อนรนขับรถวกกลับมาหาที่ร้านพอดี “ไอ้คนชนมันก็ใจดำเนาะ แทนที่จะพาน้องสุดไปหาหมอ นี่ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นล่ะ” พี่พลอยเปรยขึ้น ขณะง่วนอยู่กับการล้างอุปกรณ์ทำกาแฟ “จะว่าใจดำก็ว่าได้ไม่เต็มปากค่ะพี่พลอย คนชนน่ะเขาดูเป็นห่วงสุดที่รักมากเลยนะคะ ทั้งอุ้มสุดที่รักมาที่ร้าน ทั้งเสนอตัวจะพาไปโรงพยาบาลตลอด แต่ติดตรงแฟนเขา ก้อยล่ะเกลียดผู้หญิงแบบนี้จริงๆ เห็นแก่ตัวมาก กอดแขนพี่เขายิกๆ เห็นว่าจะต้องรีบไปถ่ายละคงละครอะไรสักอย่าง” “โอ๊ย! มีแฟนแบบนี้พี่จะหยิกให้ตัวเขียว ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” “พี่พลอยรู้ไหม ทั้งมหาลัยไม่มีใครชอบนางเลยนะ มีแต่คนหมั่นไส้” ก้อยเอ่ยเปิดประเด็น “ใครอะ ไปรู้จักเขาตอนไหน?” พี่พลอยหันขวับ “โอ๊ยยยยยัยมายด์ เน็ตไอดอลที่เกาะผู้ชายรวยๆ กิน หน้าสวยแต่สมองแย่ เขารู้กันหมดนั่นล่ะค่ะ เสียดายพี่กว้างขวางที่ต้องมาคบกับยัยนี่ พี่กว้างเขาทั้งหล่อ ทั้งรวย แถมยังนิสัยดี ใจดีกับทุกคนอีก ไม่น่าไปตกหลุมพรางมันเลย” “ถ้านิสัยดีจริง ทำไมไม่พาสุดที่รักไปหาหมอล่ะ เอาเงินมาฟาดหัวน้องพี่ทำไม” “ก็เพราะยัยมายด์น่ะสิคะ ถูลู่ถูกังพี่เขาไปขนาดนั้น ออกจากร้านขาแทบขวิด    พูดแล้วโมโหตงิดๆ” พี่พลอยส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ให้กับสิ่งที่ก้อยเล่า พลันทันใดนั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกอย่างรวดเร็ว กระดิ่งที่ติดห้อยเอาไว้สะบัดจนเกิดเสียง ปรากฏร่างใครคนหนึ่งซึ่งเพิ่งถูกเอ่ยในบทสนทนา ใบหน้าหล่อเหลากับ    ความสูงร้อยแปดสิบกว่าดูร้อนรนหมดมาด กวาดสายตามองหาใครคนหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ตนต้องขับรถกลับมาหาถึงที่นี่ “เด็กนั่นล่ะครับ?” เขาถามคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงเคานเตอร์ “เพิ่งกลับไปเมื่อกี้เองค่ะ เห็นว่ามีสอบช่วงบ่าย” ได้ยินเพียงเท่านั้น กว้างขวางก็หมุนกายออกจากร้านไปทันที ท่าทีเร่งรีบนั้นชวนให้สงสัยไม่น้อย “นี่ถ้าไม่ใช่คู่กรณีรถชนกันนี่ หนูนึกว่าเขามาตามง้อกันนะคะเนี่ย” “คนของเราก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมพ่อรูปหล่อถึงดูหน้าตาเครียดขนาดนั้นล่ะ” หญิงสาวสองคนไม่ได้รับคำตอบจากใคร ได้แต่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม