ตอนที่ 11.2

4208 คำ
“เฮ้ย! ไอ้ชะ มึงจะไปไหน อีกสิบนาทีเริ่มสอบแล้วนะเว้ย” เจมส์ร้องเรียกเพื่อนซี้ที่กำลังหุนหันเดินออกจากโต๊ะ อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาเข้าเรียนซึ่งวันนี้มีควิซเก็บคะแนนดิบสามสิบคะแนน “ไอ้สุดอยู่โรงบาล กูต้องรีบไป” “เหี้ย! มันเป็นอะไรวะ?” “ไม่รู้ว่ะ” “แล้วสอบอะ? ถึงมือหมอแล้ว มึงสอบก่อนไหมเพื่อน” “ช่างแม่ง” พูดไว้แค่นั้นก็สะพายกระเป๋าเดินไปยังลานจอดรถทันที ชยางกูรวาดขาขึ้นมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ก่อนจะสวมหมวกกันน็อค ทันทีที่สตาร์ทรถ เป็นจังหวะที่มีเด็กสาวในชุดนักศึกษาเดินปรี่เข้ามาหาด้วยแก้มแดงปลั่ง “พี่ชะคะ” เธออมยิ้มก่อนจะยื่นกล่องช็อคโกแลตในมือให้ “ฟางทำช็อคโกแลตมาให้กำลังใจพี่ แข่งบอลนัดชิงอาทิตย์หน้าขอให้ชนะนะคะ” “โทษทีน้อง พี่รีบ” ชยางกูรขมวดคิ้ว ก่อนจะดันมือเด็กสาวให้พ้นทาง ไม่มีแม้แต่การรักษาน้ำใจ กล่องช็อคโกแลตในมือไม่ถูกแตะต้อง เหลือทิ้งไว้เพียงคนให้ที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มไม่สนใจสิ่งใดมากไปกว่าเพื่อนรักของเขา ใจชยางกูรยามนี้ราวกับมีเพลิงร้อนถาโถม เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนเพราะคนที่นัดเอาไว้ไม่ได้มาตามนัด นั่นยังไม่ทำให้เขาร้อนรนได้เท่ากับการไปตามหา แล้วพบว่าคนที่อยากเจอไม่ได้มาทำงาน ความสงสัยก่อเกิดแต่ยังไม่เท่ากับความเป็นห่วงที่มันลุกลาม    เขาออกตามหาสุดที่รักไปทุกๆ ที่ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปถามร้านทุกร้านที่สุดที่รักทำงาน แต่ก็    ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น นั่นยิ่งทำให้เขาแทบเป็นบ้า ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้าเขาเฝ้ารอที่หน้าห้องพักของอีกฝ่าย มันไร้ประโยชน์เพราะไม่มีแม้แต่เงา จนถึงเจ็ดโมงเช้าไอ้เจมส์โทรตามบอกว่ามีสอบ เขาจำยอมในที่สุดเพราะวิชานี้เป็นวิชาเมเจอร์ มันสำคัญมากหากไม่ได้เข้าสอบในวันนี้ แต่พอได้รับโทรศัพท์จากใครสักคนบอกว่าสุดที่รักอยู่โรงพยาบาล ตอนถึงนั้นเขาถึงได้รู้...ว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าสุดที่รัก มือแกร่งบิดคันเร่งฝ่าสายฝนไปยังโรงพยาบาลให้ได้ไวที่สุด โชคดีที่เวลานี้ไม่ใช่เวลาเร่งด่วน เขาถึงที่หมายในเวลาไม่กี่นาที มาถึงก็เดินสอดส่ายสายตาตามหาคนสำคัญ ชายหนุ่มนึกโทษตัวเองที่ไม่ได้ถามไถ่ให้ดีว่าสุดที่รักพักอยู่ห้องไหน ความสะเพร่าทำให้เขาหงุดหงิดร้อนรน ตัดสินใจกดโทรไปที่เบอร์ของสุดที่รักอีกครั้ง ขายาวก้าวฉับไปตามทาง เนื้อตัวเปียกชื้นถ้วนทั่ว “ฮัลโหลครับ...” “อยู่ไหน?” “......” “ผมถามว่าคุณอยู่ไหน สุดที่รักอยู่ไหน?!” “คุณใช่คนสูงๆ ที่ใส่ชุดนักศึกษาเปียกๆ หรือเปล่า ถ้าใช่...ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ชยางกูรตวัดกายหันไปมอง ปรากฏภาพชายหนุ่มตัวสูงพอๆ กัน แต่ตัวบางกว่าเขานิดหน่อยยืนโบกมือให้หยอยๆ เขาขมวดคิ้วให้คนส่งยิ้มมาให้อย่างไม่รู้เวล่ำเวลา เดินตรงปรี่เข้าไปประชิดตัว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “สุดที่รักอยู่ที่ไหน?” “ใจเย็นสิคุณ คุณทำให้คนไข้คนอื่นตกใจนะ” น้ำเสียงแข็งกระด้างกับ สีหน้าดุดันทำให้คุณยายหลายๆ คนที่นั่งรอการรักษาตรงโถงชั้นแรกของโรงพยาบาลหันมามอง ภาคภูมิถึงได้ปราม “มันใช่เวลามาต่อล้อต่อเถียงกันไหม พาผมไปหาเขาเดี๋ยวนี้” “โอเคครับโอเค ผมยอมแล้ว เชิญทางนี้” หมอหนุ่มยกมือยอมแพ้ ก่อนจะหมุนกายเดินนำไปยังห้องฉุกเฉิน ไม่วายขมวดคิ้วมุ่นเหล่มองคนแสนดุดันใจร้อนอย่างไม่ถูกชะตานัก เจอหน้ากันครั้งแรก ไม่มีที่จะทักทาย ไม่มีที่จะขอบคุณ คนอะไรไร้มารยาทสุดๆ เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ภาคภูมิผายมือให้ชยางกูรได้เฝ้ามองคนไข้ผ่านกระจกใส เด็กหนุ่มร่างสูงก้าวขาเข้าไปใกล้ วงหน้าหล่อเหลาคมเข้มบัดนี้เต็มไปด้วย      ความตกใจ คนของหัวใจนอนหลับใหลไม่ได้สติ สวมใส่ชุดคนไข้สีเขียว หลังมือบางถูกเจาะสายน้ำเกลือ ใบหน้าอิดโรยซีดเซียวดูแทบไม่ได้ “เขาเป็นอะไร?” “ผมขอถามคุณก่อน ว่าคุณเป็นอะไรกับเขากันครับ?” “นี่คุณจงใจจะกวนตีนผมเหรอ ไหนว่าเป็นหมอ ผมอยากรู้อาการของเขา ไม่ได้ให้มาถามยอกย้อน แค่ตอบในสิ่งที่ถาม มันยากตรงไหนวะ?” ภาคภูมิหน้าตึงกับคำก่นด่า ผู้ชายคนนี้ช่างก้าวร้าว เลือดร้อน และไร้มารยาทสิ้นดี ที่เขายังไม่บอกอาการ เป็นเพราะมีเรื่องบางอย่างที่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ นอกจากอาการไข้ ตัวร้อนสูง ยังมีร่องรอยการถูกข่มขืนจากฝีมือคนใกล้ตัวของเขารวมอยู่ในนั้นด้วย กว้างขวางจะไม่ปลอดภัยแน่ ถ้าผู้ชายคนนี้คือคนสำคัญของเด็กหนุ่มที่ชื่อสุดที่รัก “ผมจะบอกเล่าอาการของคนไข้ของผมให้คนแปลกหน้าฟังได้ยังไง เผื่อคุณเป็นคนที่ตามฆ่าคุณสุดที่รักอยู่ รู้อาการเข้าไม่ยิ่งลำพองตัว วางแผนฆ่าซ้ำเพราะเห็นว่าสบโอกาสตอนเขาอ่อนแอหรอกเหรอครับ” “เพ้อเจ้อ!” ชยางกูรเดือดดาล ปรี่เข้าไปคว้าสาบเสื้อกาวน์ของหมอหนุ่มแล้วกระชากให้เข้ามาประชิด ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ “ผมเป็นเพื่อนสนิทของเขา เขาหายไป และผมตามหาเขาทั้งคืน รีบบอกมาสักทีว่าเขาเป็นอะไร” ภาคภูมิกุมมือทับมือคนเลือดร้อนเพื่อกันไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บ “ดูเหมือนไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทนะคุณ เป็นห่วงกันจนเลือดขึ้นหน้าขนาดนี้” “......” คนฟังกัดฟันกรอด เมื่อเห็นว่าคนเป็นหมอยังไม่ยอมพูดเข้าประเด็น “โอเคๆ ปล่อยผมก่อนสิคุณ ผมไม่พูดมากแล้ว” ชยางกูรถอนหายใจพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคือง พลางปล่อยมือออกจากสาบเสื้อหมอหนุ่ม เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ภาคภูมิปัดเสื้อตัวเองให้เรียบคืนทรง “ผมบังเอิญเจอเขาที่ป้ายรถเมล์ ตอนนั้นฝนตกหนักมาก เขาเหมือนคนไม่สบายมาก่อนหน้านั้นแล้ว ยืนกุมหัวไม่นานก็เป็นลมล้มพับ ผมเลยพามาโรงพยาบาล ตรวจเช็คอาการแล้วพบว่าเขาเป็นไข้หวัด อุณหภูมิในร่างกายสูง คงพักผ่อนน้อยถึงได้ดูอิดโรยขนาดนี้ ผมเลยฉีดยา เติมน้ำเกลือให้ ก็แค่นี้เองคุณ” หลังฟังอาการจบ ชยางกูรได้แต่ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างคลางแคลง “แค่นี้?” “ครับ” หมอภูมิตอบหน้าตาย “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ถ้าคุณเห็นว่าเขาควรออกจากห้องฉุกเฉินได้เมื่อไหร่ ก็ย้ายไปห้องพักพิเศษ เรื่องค่าใช้จ่าย ผมจัดการเอง” “ตามคุณต้องการเลยครับ ผมจะสั่งพยาบาลไว้ให้” พูดจบก็เดินจากมาไม่คิดเหลียวหลัง หากอยู่ด้วยกันอีกนิดคงได้วางมวยกันเป็นแน่ คนอะไรเลือดร้อนชะมัด เกิดมาเขายังไม่เคยเจอคนดุอย่างกับหมาบ้าอย่างนี้มาก่อน แต่จะว่าไป...ตอนที่คนๆ นี้ใช้สายตามองคุณสุดที่รัก มันไม่เหมือนกับมองเขาเลยสักนิด เหมือนกำลังมองคนรัก แน่วแน่ มั่นคง ดิบเถื่อน แต่ก็จริงใจเป็นที่สุด     ครืน... เสียงฟ้าครวญครางดังเป็นระลอก ปลุกใครคนหนึ่งให้หลุดจากภวังค์ ผืนเตียงนุ่มขยับไหวเมื่อเจ้าของร่างเปลือยเปล่าพลิกกายนอนหงาย มือแกร่งยกขึ้นนวดคลึงเบ้าตาและใบหน้า ก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่ ดวงหน้าหล่อเหลาฉาดฉายความอิ่มเอมหลังถูกเติมเต็มไปเมื่อคืน ไม่เคยรู้สึกดีและผ่อนคลายอย่างนี้มาก่อน ดี...จนเผลอยิ้มออกมา เสียงฝนด้านนอกกำลังขับกล่อมให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงกิจกรรมบนเตียงเมื่อคืน มันนับครั้งไม่ถ้วนที่เขาทำรักกับเด็กนั่น สามครั้งแรกคือการใส่เครื่องป้องกัน แต่ครั้งต่อมาเขาเพิกเฉยที่จะใส่มันอีก ไม่ใช่ว่าเพราะหมดสต็อค แต่เป็นเพราะเขาอยากลองทำรักแบบสดๆ ดูสักครั้ง แล้วก็ค้นพบว่ามันช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ยิ่งกับช่องทาง     ตีบตันคับแคบทางด้านหลังของสุดที่รัก ยิ่งปลุกนำอารมณ์ต้องการให้พุ่งสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาจำได้ว่าเซ็กซ์กับเด็กหนุ่มนัยน์ตาเศร้าช่างแสนธรรมดา ทว่ากลับตรึงความรู้สึกเขาได้ดีที่สุด มันแค่นอนให้เขาเอา แค่นอนหลับตากัดปากแน่น ไม่มียกแขนขึ้นมากอดเขาอีก ทิ้งเอาไว้ข้างลำตัว บางจังหวะคงเจ็บมากถึงได้ขยำผ้าปูที่นอนจนยับยู่ แต่ความไม่ประสีประสาเหล่านั้นกลับทำให้เขาโหยหามันมากยิ่งขึ้น มีชั่วขณะหนึ่งเขากลัวว่าร่างผอมบางตรงหน้าจะแหลกสลายเพราะแรงสั่นไหวที่เขาอัดกระแทกเสียก่อน ถึงได้ใช้แขนประคองแผ่นหลังบางขึ้นมาแนบอก มอบจูบให้หวังอยากให้ผ่อนคลายลงบ้าง มันรู้สึกอย่างไรเขาไม่รู้ แต่รสจูบของเด็กนั่นทำเขาสะท้านไหวไปทั่วทั้งแผ่นอก เขาเหมือนคนเสพติดริมฝีปาก ข้างแก้ม และกลิ่นหอมเฉพาะกายของ   เด็กนั่นไปทุกขณะ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พลันเจ้าของความคิดกลับเผยแววตาแสนสับสน ใจหนึ่งไม่อาจยอมรับ อีกใจหนึ่งกลับชมชอบ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนความฝัน เป็นการแหกกฎเกณฑ์ทุกข้อของผู้ชายชื่อกว้างขวาง ไม่เคยกอด กลับกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ไม่เคยจูบ กลับพรมจูบดูดซับอย่างหวงแหน ทุกค่ำคืนผ่านพ้น...เขาไม่เคยนอนร่วมเตียงกับใคร แต่เมื่อคืนเขากลับยอมให้   ร่างโปร่งของใครอีกคนหลับนอนเคียงข้างจนถึงเช้า มันรู้สึกดี...ดีเยี่ยม ชายหนุ่มระลึกถึงเหตุการณ์ ซึมซับทุกอารมณ์เอาไว้ด้วยใบหน้าผ่อนคลาย ก่อนจะตะแคงกายหันกลับไปหวังจะได้เห็นใครอีกคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาคิดถึงร่างผอมบางไร้เรี่ยวแรงที่ถูกเขาอุ้มไปทำรักที่ปลายเตียง... ห้องรับแขก... ระเบียง... ห้องน้ำ... และห้องครัว... เขาคิดถึงดวงหน้าติดเศร้ายามปรือปรอยมองเขาอย่างเหนื่อยล้า เขาภูมิใจในตัวเองที่ทำให้อีกคนร้องครางเสียงหลง ซบหน้าลงบนอกเขายามถึงจุดสุดยอด เขาชอบใจที่ได้ปลดปล่อยฉีดหลั่งความรู้สึกเข้าไปฝากฝังในกายบางทุกครั้ง เขาโหยหาช่องทางอุ่นร้อนที่ไม่ว่าจะสอดใส่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังคงคับแน่นตอดรัดเป็นอย่างดี ทว่ายามนี้คนที่คิดถึงกลับไม่ได้นอนอยู่เคียงข้างอีกแล้ว... ผืนเตียงอีกฝั่งว่างเปล่า ชายหนุ่มขมวดคิ้ว นัยน์ตาคมกระตุกไหวหลังเหลือบเห็นบางสิ่งบางอย่างซึมเปื้อนอยู่บนผ้าปูที่นอน คราบเลือดจางๆ... พลันหัวใจกระตุกไหว ยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง ถึงได้เอื้อมมือไปลูบมันเพื่อความแน่ใจ ทำไมถึงมีเลือด...หรือเขาจะรุนแรงเกินไป? จู่ๆ คำพูดหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาในสมอง มันเป็นคำพูดของสุดที่รักที่พยายามบอกกับเขาตอนอยู่บนรถ “ผม...ไม่เคยมีอะไรกับใคร” ไม่...เขาไม่เชื่อ ก็แค่ทำรุนแรงไป ช่องทางคับแคบแถมถูกทำแรงซะขนาดนั้น ไม่ให้ฉีกขาดก็บ้าแล้ว ชายหนุ่มเหยียดมุมปากพลางส่ายหน้า ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ใช้เวลาชั่วครู่หันไปมองโดยรอบ น่าแปลก ทั้งที่เขาอาศัยอยู่ห้องนี้คนเดียวด้วยความพอใจมาโดยตลอด แล้วก็ไม่เคยพาคู่นอนคนไหนขึ้นมาที่นี่ด้วย  แต่มาวันนี้เขากลับต้องมองหาใครอีกคน คนที่เขาปรามาสว่าไร้ค่าไร้ราคา ไม่น่าเข้าใกล้เพราะเพศสภาพ ไม่มีสิ่งใดให้น่าจดจำเหมือนคู่นอนคนอื่นๆ แต่ทำไม...ความรู้สึกว่างเปล่านี้มันมาจากไหนกัน รอยยิ้มเย็นเลือนหาย ความกระวนกระวายเข้าแทนที่ ร่างสูงก้าวออกจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวมาคาดเอว ก่อนจะเดินไปยังหน้ากำแพงกระจก เบื้องหน้าคือภาพเมืองกรุงเทพในมุมมองที่สูงเสียดฟ้า วันนี้แปลกกว่าทุกวัน ทั้งที่เป็นหน้าหนาว แต่กลับมีฝนพร่างพราวราวกับท้องฟ้ากำลังร่ำไห้ หาย...หายไปแล้ว แล้วทำไมฝนถึงตกหนักแบบนี้ ทุกสิ่งเลือนรางจนน่าใจหาย...     เป็นเวลาสามวันที่สุดที่รักพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล หลังหมดสติที่ป้ายรถเมล์ เขาได้สติไม่นานหลังจากนั้น เป็นช่วงเวลาเย็นย่ำที่เขาตื่นขึ้นมา คนแรกที่พบคือชยางกูร ร่างสูงเดินเข้ามาหาทันทีด้วยสีหน้าสุดร้อนรน เอาแต่ถามไถ่ว่าเรื่องเป็นมายังไง ถึงได้หมดสติไปได้ขนาดนั้น ความจริงที่เกิดขึ้นนั้นยากจะอธิบาย สุดที่รักไม่อยากให้ชยางกูรไม่สบายใจ แล้วก็อย่างที่รู้ว่าคนเลือดร้อนเคยมีคดีบาดหมางกับรุ่นพี่คนนั้น เขาเลยเลือกที่จะโกหก โดยบอกแค่ว่ารับทำงานที่ใหม่ควงกะจนถึงเช้า ไม่ได้พักผ่อน เลยหน้ามืดไปก็เท่านั้น เมื่ออาการทุกอย่างดีขึ้นหลังได้พักผ่อนเต็มอิ่ม และได้รับการดูแลจากบุรุษพยาบาลจำเป็นเป็นอย่างดี สุดที่รักก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ ด้วยเพราะไม่มีเงินมากขนาดนั้น โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชน ค่าเข้าพัก ค่ารักษารวมแล้วหลายหมื่น ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนี้จะหาเงินที่ไหนมาคืนให้ชยางกูร “แน่ใจนะว่าหายดีแล้ว” “หายแล้วไม่ต้องห่วง” สุดที่รักยิ้มให้ ขณะทั้งคู่พากันเดินมาถึงลานจอดรถ ชยางกูรแสร้งทำหน้าระอาพลางถอนหายใจ เสสายตามองไปทางอื่น “ก็ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย” เขาพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “เรื่องค่ารักษา เอาไว้เราจะรีบหามาคืนให้นะ” “พูดอะไรอย่างนั้นวะ นี่ใคร? พี่ชะนะครับ พี่ชะสายเปย์ เปย์มาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ตั้งแต่น้องมัธยมยันพี่สาววัยออฟฟิศ กะอีแค่ค่ารักษาพยาบาลกระจอกๆ ให้เพื่อนแค่นี้ทำไมจะให้ไม่ได้” “ไม่เอา เกรงใจ ป่วยก็เพราะทำตัวเองทั้งนั้น” สุดที่รักส่ายหน้า “ก็เพราะมึงทำเกินตัวไง รับงานไว้กี่ที่แล้ว วันนึงมีแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ พักผ่อนบ้างอย่าให้เพื่อนต้อง...เป็นห่วง” “ใกล้ไปฝึกงานช่วงซัมเมอร์แล้ว เราเลยต้องใช้เงินเพิ่มนิดหน่อย ไหนจะค่าหออีก ค่ากินอีก” “เอางี้มะ ตัดปัญหา กูให้มึงกู้ไปฝึกงานไม่คิดดอก คืนเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วน ค่าหอตัดไปเลยแล้วย้ายมาอยู่กับกู ส่วนค่ากิน เดี๋ยวกูเลี้ยงเองทุกมื้อ แถมนมอุ่นๆ ก่อนนอนให้ด้วยหนึ่งแก้ว หรือวันไหนเบื่อน้ำเต้าหู้ก็ได้ อยู่หน้าหอกูพอดี” “จะเอาเราไปเป็นเบ๊ล่ะสิ ข้อเสนอดีขนาดนี้” สุดที่รักหัวเราะพลางส่ายหน้า เขาไม่หลงกลง่ายๆ หรอก “นี่มีแต่คนอยากได้นะข้อเสนอพวกนี้น่ะ อยากได้เมื่อไหร่ก็บอกกู พี่ชะรออยู่นะครับ” ชายหนุ่มยกนิ้วเชยคางเรียวของอีกฝ่ายแล้วเกาทำเหมือนเล่นกับลูกหมา สุดที่รักบ่ายเบี่ยงด้วยรอยยิ้ม “แล้วไหนรถล่ะ?” สุดที่รักมองหามอเตอร์ไซค์คันโต “กูเปลี่ยนรถละ” ชายหนุ่มกดกุญแจเพื่อปลดล็อค ไฟหน้าของรถเก๋งสีดำซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลสว่างวาบ เป็นรถยี่ห้อดังจากฝั่งยุโรปราคาหลักล้าน สุดที่รักเบิกตาพลางหันมามองเจ้าของ “เปลี่ยนทำไมอะ ดูท่าทางแพงนะเนี่ย” อะไรทำให้พ่อหนุ่มเลือดร้อนที่รักบิ๊กไบค์เป็นชีวิตจิตใจตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถสี่ล้อกันนะ “เออน่า กูมีเหตุผลของกู มึงอย่ารู้เลย รีบขึ้นรถ เดี๋ยวจะพาไปที่ๆ นึง” ชยางกูรคะยั้นคะยอเพื่อหลีกเลี่ยงคำถาม สาเหตุที่เขาเปลี่ยนรถแท้จริงแล้วคือเขาไม่อยากให้สุดที่รักต้องตากแดด ตากฝนเวลาที่ต้องไปไหนมาไหนกับเขา สุขภาพเพื่อนรักมันสามวันดีสี่วันไข้ ดูแข็งแรงแต่กลับชอบอดจนเกินทน ไม่สุดจริงๆ ก็ไม่ยอมบอก ถึงได้ป่วยล้มพับทำเขาใจหายแบบตอนนี้ไง ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ...เพื่อสุดที่รัก เขายอมเปลี่ยนได้ทุกอย่างล่ะ     รถเก๋งสีดำแล่นออกจากโรงพยาบาล ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ช็อปปิ้งสำหรับชาวต่างชาติ หากมาทางรถไฟฟ้า  ก็จะต้องนั่งเรือต่อมาซึ่งให้บรรยากาศดีไปอีกแบบ แต่วันนี้เขาเอารถมาจึงเลือกอีกเส้นทางหนึ่ง พอจอดรถเสร็จเดินข้ามถนนก็ถึงที่หมายแล้ว หัวค่ำแบบนี้ร้านรวงเปิดบริการเป็นที่เรียบร้อย ลูกค้าหลากหลายเชื้อชาติเดินกันขวักไขว่ จังหวะหนึ่งชายหนุ่มชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่เดินชนสุดที่รัก ชยางกูรที่เดินนำได้ยินเสียงร้องของเพื่อนรักก็รีบหันไปมอง มือไวกว่าความคิดมาก คว้าตัวคนจะล้มไม่ล้มแหล่มาไว้ในอ้อมอกได้ทัน ชายชาวต่างชาติยกมือพลางกล่าวขอโทษเป็นภาษาจีน แต่เมื่อเห็นว่าสุดที่รักมีสีหน้าไม่สู้ดี ถึงได้ยื่นมือเข้าไปหาหวังจะช่วยพยุง ทว่าไม่ทันคนเลือดร้อนที่เดือดดาลผ่านสีหน้า ชยางกูรหมุนกายบดบังร่างสุดที่รักเอาไว้มิด หันแผ่นหลังให้ชายหนุ่ม “อย่ามาจับ! อิดสโอเค ไปไกลๆ ตีนเลย” “ชะ!” สุดที่รักหน้าเหวอ รีบปรามเพื่อนซี้ ชายหนุ่มชาวต่างชาติได้ยินว่าไม่เป็นไรจึงปล่อยวาง ก่อนจะกล่าวขอโทษอีกครั้งแล้วเดินจากไปไร้ซึ่งบทบาท “ชะ...ปล่อยได้แล้ว คนมองกันเต็มเลย” ผ่านไปนานนับนาทีที่สุดที่รักถูกคนตัวสูงกว่าฉกฉวยโอกาสนี้โอบแขนกอดไว้แน่น “ตัวมึงผอมเกินไปแล้วนะ” “บอกให้ปล่อย ไม่อายคนหรือไง” “อายทำไม คนอื่นกูไม่สนใจ” “ถ้าไม่ปล่อย เราไม่ไปด้วยแล้วนะ จะกลับเลย” เมื่อยื่นคำขาด คนใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงอย่างคนหน้าไม่มียางถึงกับถอยผละ “แค่นี้ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว” ชยางกูรบ่นอุบ ก่อนจะถือวิสาสะคว้ามือสุดที่รักมาจับไว้แล้วออกเดินอีกครั้ง แต่คนข้างกายกลับไม่ให้ความร่วมมือ ยื้อยุดเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา เขาถอนหายใจก่อนอธิบายไขข้อกระจ่าง “คนเยอะอย่างนี้ เดี๋ยวก็โดนชนแบบเมื่อกี้หรอก มึงยังไม่หายดี กูเป็นห่วง มาเร็วเข้า” พูดจบชายหนุ่มก็กระตุกมือดึงรั้งอีกคนให้เดินตาม ถูลู่ถูกังมาได้สักพักก็มาถึงจุดที่ตั้งใจเอาไว้ ชยางกูรจัดแจงจ่ายเงินค่าธรรมเนียมก่อนจะหันมาหาสุดที่รักที่ยืนทำหน้ามึน แหงนมองชิงช้าสวรรค์ยักษ์ความสูงเสียดฟ้า “เชิญครับ” พนักงานยิ้มให้พลางผายมือเชื้อเชิญให้แขกวีไอพีขึ้นไปนั่งกระเช้าหนึ่งเดียวที่แปลกกว่าใครเพื่อน “ชะ จะทำอะไร?” สุดที่รักก้าวขาไม่ออก ไม่แน่ใจว่าตัวเองกลัวความสูงหรือเปล่า แต่เพราะความสูงที่เห็นมันทำให้เขาตัดสินใจได้ยาก “กูมีเรื่องอยากจะคุยกับมึง” “คุยตรงนี้ก็ได้ ทำไมต้องเสียเงินเยอะขนาดนี้” เมื่อกี้เขาเห็นชยางกูรยื่นแบงค์พันให้พนักงานสามใบโดยที่ไม่มีเงินทอน “ไปเถอะน่า ถือว่าได้เที่ยวด้วยกัน สักครั้งในชีวิต” พูดจบก็ดุนดันแผ่นหลังบางให้ก้าวเข้าไปในกระเช้าสีดำซึ่งแตกต่างจากกระเช้าอื่น มันมีไว้สำหรับแขกวีไอพีที่ต้องการชมภาพวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนรอบแม่น้ำเจ้าพระยา จุดสูงสุดเผยภาพกรุงเทพเกือบทั้งหมด ที่พิเศษกว่ากระเช้าอื่น นั่นคือพื้นด้านล่างเป็นกระจกใสเพิ่มความตื่นเต้นให้คนใช้บริการ เมื่อเข้าไปนั่ง ประตูกระเช้าก็ถูกปิด แสงไฟสีขาวเพิ่มความสว่าง มีเสียงเพลงคลอเบาๆ ให้ได้ยิน ใต้ที่นั่งมีมินิบาร์เล็กๆ ที่ภายในเต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลายชนิด “อ่ะ” ชยางกูรหยิบน้ำเปล่าออกมาแล้วยื่นให้สุดที่รัก ส่วนตัวเขาหยิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รสหวานที่ผู้หญิงชอบดื่มกัน ก็มันไม่มีอะไรแรงกว่านี้แล้วนี่ คนตัวสูงยกดื่มรวดเดียวครึ่งขวด ท่าทีลุกลี้ลุกลนเหมือนคนมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ อึดอัดแต่พูดออกมาไม่ได้ มองสุดที่รักที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับวิวทิวทัศน์โดยรอบ กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสูงก็ยิ่งสวย ทว่าเขากลับไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งรอบกายเลยแม้แต่น้อย “สวยดีนะ” “แล้วชอบไหมล่ะ?” “อืม...ก็ชอบ” “กูก็ชอบ” เกิดบรรยากาศนิ่งงันระหว่างกันไปชั่วครู่ คำพูดของชยางกูรเรียกสายตาสุดที่รักให้หันกลับมามอง สบตากันไม่กี่วินาที เป็นชยางกูรที่หลบซ่อนแววตาก่อน เขายกเครื่องดื่มย้อมใจรวดเดียวหมดขวด แม่งเหมือนยังไม่พร้อมว่ะ... “กูชอบขึ้นมาบนนี้” ชยางกูรเปลี่ยนเรื่อง เปิดแอลกอฮอล์อีกขวดหนึ่งพลางทอดสายตามองออกไปด้านนอก ท้องฟ้ามืดยังคงมีเมฆสีเทาลอยวน มันเป็นผลจากการกลั่นตัวเป็นน้ำฝนไม่หมดเสียที “คนเดียวเหรอ?” “อืม เวลาที่เหนื่อย เวลาที่ไม่อยากจะทำอะไร ไม่อยากเจอใคร กูจะมาที่นี่ มาหายใจทิ้งโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดสมอง มองท้องฟ้า มองผืนน้ำ มองผู้คน มองรถที่วุ่นวายอยู่ข้างล่าง เหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับพวกนั้น มันสบายใจนะ ที่ได้ปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวาย ที่นี่แม่งเหมือนที่ๆ ปลอดภัยสำหรับกู” “ตอนนี้มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?” “จะว่ามีมันก็มี...” ดวงตาคมยังคงทอดมองไปด้านนอก “มันเป็นความว้าวุ่นใจมากกว่าจะเรียกว่าความไม่สบายใจว่ะ” “......” “สุด” “หืม...” “มึงเคยรู้สึกใจหาย เวลาที่ใครบางคนหายไปหรือเปล่า?” “เคยสิ” พ่อกับแม่ “เคย...ร้อนใจแทบทนไม่ไหว เวลาที่เขาคนนั้นได้รับอันตรายหรือเปล่า?” “เคยสิ” พ่อกับแม่ในวันเกิดอุบัติเหตุไง “มันมีคำไหนใช้เรียกแทนความรู้สึกเหล่านั้นได้บ้างวะ?” “เป็นห่วง...รัก” “สุด” “หืม...” “กู...” ความในใจเพียงสามคำที่ชยางกูรอยากสารภาพ มันอัดแน่นอยู่เต็มอก จนสะท้านปวด ชายหนุ่มหันกลับมามองสบนัยน์ตาเศร้าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น เพื่อนสนิท หลายสัปดาห์ที่เขาไม่ได้เจอ สุดที่รักคงไม่รู้ว่าเขาทรมานมากแค่ไหน อยากเจอหน้าแต่ไม่มีโอกาส เวลาที่ไม่รู้ว่าอีกคนจะเป็นตายร้ายดียังไงเขาแทบกระอัก ยิ่งไปกว่านั้น...สามวันก่อนที่ต้องมารับรู้ว่าสุดที่รักป่วยหมดสติอยู่ข้างถนนเพราะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้พักผ่อน เขายิ่งทนแทบไม่ได้ เพิ่งรู้ว่าอาการของเขามันหนักขึ้นทุกวัน อาการของคนคลั่งรัก มาวันนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะบอกความในใจซึ่งมีต่อคนตรงหน้าให้ได้รับรู้ สักที เพราะเขาอยากเป็นคนดูแลสุดที่รัก อยากปกป้อง อยากเป็นเจ้าของ มันควรถึงเวลานี้เสียที “ชะ” เสียงเรียกจากอีกฝ่ายทำให้ชยางกูรจำต้องหยุดคำพูดเอาไว้ “ไม่ว่านายกำลังจะไม่สบายใจเรื่องอะไร เราอยู่ข้างชะเสมอ เพราะเราคือเพื่อนกันนะ” เพื่อน...คำๆ นี้ยิ่งใหญ่ แต่เขาแม่งโคตรเกลียดมันเลยตอนนี้ “กูจะบอกว่า...” “ชะ” “......” “บางทีนายอาจจะอยากใช้เวลานี้อยู่กับตัวเอง เรามานั่งมองผู้คน มองแม่น้ำ มองท้องฟ้า มองรถราอยู่เงียบๆ ไปด้วยกันดีไหม?” สุดที่รักยิ้มจางหากแต่นัยน์ตาเศร้ากลับสะเทือนไหว มีบางสิ่งในคำพูดชยางกูรที่เขานึกกลัว โห...สุดที่รัก มวนอากาศบางอย่างกำลังบอกใบ้เขา ทั้งแววตา ทั้งสีหน้าของสุดที่รักตอนนี้กระอักกระอ่วนสัดๆ แล้วจะให้เขาทำอย่างไรได้ นอกจากยิ้มเจื่อนแล้วหันไปมองท้องฟ้าตามที่คนร่างโปร่งต้องการ “แปลกเนอะ...หน้าหนาวแท้ๆ แต่ฝนกลับตกติดกันมาสามวันแล้ว” ชะเอ่ยเพื่อแก้ไขสถานการณ์ชวนอึดอัด “เหมือนท้องฟ้ากำลังร้องไห้” เหมือนหัวใจกูตอนนี้เลย เหี้ยสัด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม