(เป็นไงบ้างคะคนดี ฝึกงานเหนื่อยไหม) คุณขมิ้นคนสวยของน้ำผิงถามผ่านหน้าจอ สวยจัง คุณแม่สวยมาก ๆ เลย ยิ่งรอยยิ้มหวาน ๆ ยิ่งทำให้ท่านสวยมาก ๆ ไม่น่าล่ะคุณพ่อถึงได้หลงรักแล้วก็ตกหลุมรักคุณแม่ซ้ำ ๆ ทุกวันมาตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปี
“เหนื่อยมาก~ เลยค่ะ ลูกชายสุดที่รักของคุณแม่ให้อ่านเอกสารที่เข้าใจยากมาก~ อ่านมาทั้งอาทิตย์แล้วยังไม่จบเลยค่ะ”
(ไม่ได้ไปตีพี่เขาใช่ไหมน้องผิง)
“ใครจะไปกล้าตีคุณเมฆาของศิริชนันท์กรุ๊ปล่ะคะ”
(เด็กคนนี้นี่ ว่าแต่น้องไม่ได้ดื้อกับพี่ใช่ไหมคะ)
“ไม่ค่ะ” ฉันตอบแบบไม่คิดทันทีเพราะดื้อของฉันต้องเอาไว้ใช้กับคนที่เราอยากทิ้งตัวไม่ใช้คนที่เราอยากให้หายไปไกล ๆ จากชีวิต
(น้องผิง) อยู่ ๆ น้ำเสียงคุณแม่ก็เปลี่ยนไป ท่านดูจริงจังขึ้นมา
“คะ”
(แม่ไม่รู้ว่าน้องอคติกับพี่ขนาดนี้ได้ยังไง แต่แม่ยังยืนยันคำเดิม พี่เมฆคืออีกคนที่รักน้องไม่น้อยกว่าคุณพ่อกับแม่นะคะ)
“...เฮ้อ~ โอเคค่ะ ผิงจำได้แล้วค่ะคุณแม่เคยพูด”
(น้อง ทำแบบไม่น่ารักเลยค่ะลูก)
“คุณแม่ก็อย่าพูดอะไรแบบนี้สิคะผิงไม่อยากฟัง” ฉันพูดจาไม่น่ารักเท่าไหร่แต่ก็พยายามใช้น้ำเสียงอ้อนเพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดแทนถึงแม้ในใจจะไม่อยากคุยกับคุณแม่เรื่องนี้แล้ว
(น้อง แม่เลี้ยงน้องกับพี่เมฆมากับมือ น้องคิดว่าแม่จะดูคนที่แม่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ออกเลยเหรอคะว่าเขาเป็นคนยังไง)
“ก็เขา... / ก็เขาสวมหน้ากากตอนอยู่ต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่” คุณแม่พูดแทรกซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ท่านพูดคือสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดฉันเลยไม่เถียงอะไรออกมาสักคำ
(น้องไม่เชื่อแม่เลยค่ะ น้องไม่เคยเชื่อแม่กับคุณพ่อเลยว่าพี่เมฆเป็นคนยังไงแต่กลับเชื่อคนอื่นที่บอกว่าพี่เขาเป็นคนไม่ดี...แม่เสียใจนะคะลูก) ประโยคสุดท้ายมาพร้อมสายตาตัดพ้อของคุณแม่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ไปเลย ฉันดื้อก็จริงยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับลูกชายสุดที่รักของคุณแม่ฉันก็ยิ่งดื้อและต่อต้านท่านเป็นประจำแต่ฉันไม่เคยเห็นคุณแม่แสดงออกว่าท่านเสียความรู้สึกเท่าวันนี้มาก่อน
“...”
(ทำไมถึงเลือกจะเชื่อคนอื่นมากกว่าเชื่อสายตาของคุณพ่อกับแม่ พี่เมฆอีกคน ทำอะไรผิดนักหนา ตั้งแต่เล็กจนโตเคยเหรอที่จะไม่ยอมน้อง รักน้องแค่ไหนมีใครรู้ดีเท่าตัวน้อง)
“...”
(แม่ไม่รู้นะว่าที่พูดออกไปหนูจะรู้สึกยังไง อาจจะรู้สึกผิดบ้างหรืออาจจะต่อต้านแม่ในใจ แต่แม่ก็ยังอยากให้หนูรู้เอาไว้ว่าแม่เสียใจ คุณพ่อก็เสียใจ ยิ่งคนที่หนูเรียกเขาว่ากาฝากเขาก็ยิ่งเสียใจ...พี่เมฆคือพี่เมฆ ไม่ว่าเรื่องในอดีตจะเคยเกิดอะไรขึ้นแต่พี่เมฆไม่เคยรู้เรื่องหรือก่อเรื่องอะไรทั้งนั้น อย่าเอาความผิดไปโยนใส่พี่แม่ขอร้อง)
“...หนูขอโทษค่ะที่ทำให้คุณแม่เสียใจ”
(แม่ไม่ขอให้น้องขอโทษ แต่แม่ขอให้น้องลดอคติของน้องลงได้ไหม)
“...”
(ลองมองพี่เมฆให้ดีสิลูก มองพี่ให้ชัด ๆ พี่จะเป็นคนเลวร้ายอย่างที่น้องเข้าใจได้จริง ๆ เหรอ ลดอคติลงสักนิดได้ไหมเผื่อหนูจะเห็นตัวตนของพี่เขาบ้าง แม่ขอแค่นี้น้องทำให้แม่ได้ไหม)
“...ค่ะ ผิงจะทำให้” ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้ น้ำตาของคุณแม่ไหลออกมาช้า ๆ ยิ่งทำให้ฉันไม่คิดที่จะปฏิเสธ
รู้สึกแย่จังเลยค่ะที่ทำให้ท่านเสียใจ คุณแม่ไม่เคยเปิดอกพูดเรื่องนี้ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย พอท่านพูดฉันก็รู้สึกจุกไปทั้งใจก่อนจะวางสายจากท่านแล้วเดินไปที่ระเบียง ยืนอยู่ตรงนี้ทำให้มองเห็นบ้านอีกหลังในรั้วเดียวกันที่ฉันไม่เคยไปเหยียบเลยทั้งที่สร้างมาตั้ง 3 ปี แล้วสายตาก็มองเห็นเจ้าของบ้านกำลังเล่นกับหมาตัวใหญ่สีเทาในสวน
...ไอ้ขี้เถ้า
“...”
“พี่เมฆมันจะตายไหมคะ ฮึก~”
“ไม่หรอก”
“น้องกลัวมันตาย~”
“มันไม่ตายหรอกน้อง เดี๋ยวเราพามันไปหาหมอกัน”
“พี่เมฆไม่ได้แค่ปลอบใจน้องใช่ไหม ฮึก!”
“พี่ไม่ยอมให้มันตายหรอกครับน้อง ไปกันดีกว่าพาไอ้ตัวจิ๋วไปรักษากัน ไม่ร้องนะคะ”
มือข้างหนึ่งเอื้อมมือลูบหัวฉันในขณะที่อีกข้างกำลังอุ้มลูกหมาจรจัดตัวเล็ก ๆ ที่ทั้งตัวแทบจะเป็นขี้เรื้อนแถมยังผอมโซเอาไว้ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วจับมือฉันคนที่ปั่นจักรยานชนมันให้ลุกขึ้นจากนั้นก็รีบพากันปั่นกลับบ้านแล้วเขาก็รีบพาฉันกับมันไปที่โรงพยาบาลสัตว์ในทันที
สามปีกว่าแล้วเนอะขี้เถ้าที่เราไม่ได้เจอกันทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ
“...ขอโทษนะเถ้า ฮึก~ ขอโทษนะ~”
-สิบนาทีต่อมา-
“เป็นอะไรไอ้เหม็น มองหาแม่เหรอ?”
“งิ้ง ๆๆ”
“หึ ๆๆ ไอ้เด็กกำพร้า” ฉันยืนอยู่ไกล ๆ ยืนอยู่ด้านหลังเขากับขี้เถ้าที่ตอนนี้ไอ้หมาที่เคยตัวเล็ก ๆ น่ารักกำลังนั่งมองไปทางบ้านใหญ่โดยที่มีเขานั่งลูบหัวมันอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับล้อเลียนมันไปด้วย
ใครกำพร้า? มันไม่ได้กำพร้าเลยแค่พ่อมันได้สิทธิ์การเลี้ยงดูแค่นั้นเอง
“...”
“งิ้ง ๆๆ”
“อะไร? จะนั่งอีกนานไหม? กลับเข้าบ้านได้แล้ว”
“งิ้ง ๆๆ” ขี้เถ้ายกขาหน้าข้างหนึ่งขึ้นเหมือนจะขอมือเขาแล้วเขาก็ยื่นมือให้มันด้วยสิ
...น่ารักเนอะ
หมายถึงไอ้ขี้เถ้านะคะ มันน่ารักตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ขนาดตอนที่ผอมโซแถมยังกำลังเป็นขี้เรื้อนเกือบครึ่งตัวสายตาของมันยังน่ารักน่าเอ็นดูเลย
...ยังจำผิงผิงได้ไหมนะเถ้า แต่คงจำไม่ได้แล้วล่ะเพราะไม่เห็นกันนานแล้วที่มองบ้านอยู่ตอนนี้คงมองหาคุณพ่อคุณแม่อยู่แน่เลย
“อะไรไอ้เหม็น เป็นอะไร”
“งิ้ง ๆๆ”
“หิวข้าว?” เขาถามมือที่มีเท้าหน้าของขี้เถ้าก็โยกไปมาด้วย
“งิ้ง ๆๆ”
“ไม่หิวเหรอ? แล้วเป็นอะไร” ตลก คุยกันรู้เรื่องเหรอ?
“งิ้ง ๆๆ” ไอ้ขี้เถ้าก็เหมือนกัน ทำเสียงงิ้ง ๆๆๆ อย่างกับฟังพ่อมันพูดรู้เรื่อง บ้าบอทั้งคนทั้งหมา
ว่าแต่...ทำไมคัน?
ฉันคันยิบ ๆ เจ็บจี๊ด ๆ เลยรีบก้มมองแล้วสิ่งที่เห็นก็คือ...
“ว๊าย!” มดค่ะ ยืนอยู่แถวรังมดตัวเล็ก ๆ สีแดงเต็มไปหมด! ตอนนี้มันทั้งไต่ทั้งกัดขาฉํนเต็มไปหมด
“โฮ่ง!” ซวย! ไม่ใช่แค่โดนมดกัดแต่โดนไอ้ขี้เถ้าจับได้แล้วว่าแอบดูมันอยู่! ฉันตกใจที่โดนจับได้แต่ความเจ็บกับคนก็มากกว่าแล้วรีบขยับขาเขย่งเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งให้ห่างจากรังมดแล้วก็พยายามเอามือลูบขาไปด้วย
“น้องผิง! / โอ๊ย!” เจ็บมากแล้วที่สำคัญก็คือคันมาก ๆ T^T
หมับ!
“โอ๊ย! / งิ้ง ๆๆ งิ้ง ๆๆ” ฉันที่กำลังพยายามจะปัดมดออกโดนไอ้ขี้เถ้ากระโจนใส่จนล้มก้มจ้ำเบ้าลงที่พื้นจากนั้นไอ้ขี้เถ้าก็ขย้ำฉันด้วยลิ้นของมัน
“ขี้เถ้าอย่า / อื้อ! พี่เมฆช่วยที!” ฉันพยายามหลบไอ้ขี้เถ้าที่จู่โจมฉันด้วยน้ำลาย ไม่ได้รังเกียจมันแต่ฉํนคันที่ขามาก!
“พอแล้วไอ้เหม็น มา ๆๆ” เขาอุ้มมันออกแต่ไอ้น้องหมาตัวร้ายก็ดิ้นจนหลุดออกจากกอดของพี่เมฆซึ่งมันก็ทำให้พี่เมฆล้มลงเหมือนกัน
“งิ้ง! งิ้ง ๆๆ / อื้อ! ขี้เถ้าอย่า!”
“อ่าส์! ไอ้เถ้า!” พี่เมฆดุมันเสียงดังทำให้ไอ้ขี้เถ้ายอมหยุดแล้วกระโดดลงจากตัวฉันไปยืนกระดิกหาง ไม่ ๆๆ มันกำลังส่ายตูดต่างหาก หูก็ลู่ลง ตาก็เอาแต่มองฉัน
...ยังจำกันได้เหรอไอ้ตัวจิ๋ว
“เป็นอะไรมากไหม” เสียงเขาถามทำให้ฉันขยับมือไปเกาขาอีกรอบทันที วินาทีของความซึ้งระหว่างคนกับหมาเกิดขึ้นได้แป๊บเดียวเพราะถูกความคันจากปากเล็ก ๆ ของมดทำลยซะยับเยิน
“คันอ่ะพี่เมฆ คันไปทั้งขาเลย” ฉันบอกเขาเสียงสั่นพร้อมกับเกาขาตัวเองไปด้วย เกาแรงมากทั้งสองขาแต่ไม่ดีขึ้นเลย
“เบา ๆ ไม่เกาแรงแบบนี้น้องผิงเดี๋ยวเป็นแผล” เขาเตือนแต่คนไม่โดนกัดมันก็พูดง่ายไง คนโดนกัดคันจะตายอยู่แล้ว
“มันคัน~” ฉันทั้งเกาทั้งลูบขาไล่มดตัวเล็ก ๆ ที่ยังไต่ไม่หยุด
“ถอดรองเท้าก่อนมันอยู่ที่เท้าเยอะ” เขาบอกแล้วจับข้อเท้าด้วยมือข้างหนึ่งจากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งถอดรองเท้าทั้งสองข้างให้ฉันแล้วก็ลูบเท้าไม่หยุดเพื่อให้มดหลุดออกจากเท้าจนกระทั่งผ่านไปแป๊บเดียวมดก็หายไปจากเท้าและขาแต่ความคันไม่หายไปเลย ตุ่มแดงก็กำลังปูดขึ้นมาเต็มไปหมด
“งิ้ง ๆๆ”
“อื้อ~ ใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมเถ้ากำลังคัน~” ฉันหันไปงอแงใส่ไอ้ขี้เถ้าตัวแสบเพราะมันกำลังจะอ้อนฉันอีกรอบแล้วก็หันกลับมาเกาขาตัวเองแต่เลยได้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ จากเขาที่กำลังลูบเท้าให้ฉัน
...ไม่ต้องมายิ้มเลย!
“พอแล้วเดี๋ยวเกาเอง” ฉันบอกเพราะไอ้การลูบเท้ามันไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการคันเลยสักนิด ทั้งบอกทั้งชักเท้ากลับ
“โอเค ถ้างั้นไปนั่งรอใต้ต้นไม้ก่อนเดี๋ยวพี่ไปเอายามาทาให้”
“เร็ว ๆ เลย” ฉันรีบบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ร่มไม้ตรงสนามหญ้าข้างบ้านของเขาแต่ก็ไม่ลืมเรียกไอ้ขี้เถ้าไปด้วยนะคะ ไอ้ขี้เถ้าก็เดินตามฉันต้อย ๆ แล้วมานั่งจุ้มปุ๊กมองหน้าฉันไม่ยอมไปไหนแต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันเจ้าของบ้านก็เดินกึ่งวิ่งกลับมาพร้อมขี้ผึ้งกันแมดงกัดต่อย
“เลิกเกาได้แล้ว” เขาหยุดตรงหน้าแล้วนั่งคุกเข่าลงจากนั้นก็จับมือทั้งสองข้างของฉันออกจากขาทั้งที่ฉันกำลังเกาอย่างเมามัน
“มันคันพี่เมฆเข้าใจไหม?”
“พี่รู้ มดคันไฟจะไม่คันได้ยังไง แต่เกาแรงแบบนี้มันจะเป็นแผล ทายาดีกว่า”
“ก็เอามาสิ” ฉันแบมือ รีบ ๆ เอามาเลยจะได้รีบทา ฉันโดนกัดจนเต็มขาเลยค่ะ มันเยอะมาก ๆ ฉันแทบร้องไห้อยู่แล้ว
“พี่ทาให้” เขาบอกแล้วนั่งลงที่พื้นพร้อมกับจัดการเปิดกระปุกยา
“ไม่เอาผิงทาเอง เอายามาเร็ว ๆ มันคัน” ฉันก้มลงไปพร้อมกับเอื้อมมือจะไปแย่งกระปุกขี้ผึ้งมาแต่เขาไวกว่าเพราะเขาดึงมือหลบไปข้างหลังแล้วมองมาที่ฉันด้วยสายตาดุนิดหน่อย
“ไม่...พี่จะทาให้น้องของพี่เอง”
“แต่...”
“น้องครับ อย่าดื้อกับพี่ในเวลาแบบนี้พี่ขอร้อง พี่เป็นห่วงหนูเข้าใจไหม?”