ที่บ้านไม้ริมชายป่า บุรุษหน้าตาหล่อเหลามีใบหน้าราวกับเทพประทานกำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนและผ่าฟืนอยู่ที่ในสวนหลังบ้าน
ปึก ปึก
เสียงขวานจามลงบนท่อนไม้ใหญ่ดังอยู่ราวๆ 2 เค่อ (30 นาที) ก่อนที่ร่างสมส่วนแต่คล้ำลงจากเดิมเพราะออกแดดจะเดินออกมาแล้วเตรียมตัวเข้าป่าตามปกติ วันนี้ชายหนุ่มยังคงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในป่า ด้านหลังมีตะกร้าสานที่ซื้อมาจากร้านในหมู่บ้าน เขาเป็นองค์ชายมาตั้งแต่เกิด เติบโตมาก็ดำรงตำแหน่งชินอ๋อง ดังนั้นงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จึงไม่เคยผ่านมือเขา ทุกวันนี้อาหารแต่ละมื้อก็มีเพียงหมั่นโถและบะหมี่ที่ซื้อหาในเมืองหลังจากเอาสัตว์ที่ล่าได้ไปขาย ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็สงบสุขดีแล้ว มีชีวิตไปเรื่อยๆ เพื่อชดใช้บาปที่เขาได้คิดร้ายต่อพี่ชาย
สองขาแกร่งก้าวเดินอย่างมั่นคง ด้วยเพราะเข้ามาในป่านี้เป็นปีแล้วจึงรู้ที่ทางพอสมควร หากแต่วันนี้คงดวงไม่ดีนัก สัตว์ป่าที่เคยพบเจอบ้างก็ไม่พบเลยสักตัว จิ้นเจิ้นเทียนจึงตัดสินใจเดินเข้าป่าลึกกว่าทุกครั้ง
แกร่ก แกร่ก
เสียงกิ่งไม้แห้งถูกเหยียบทำให้ชายหนุ่มตื่นตัว มือหนากระชับมีดสั้นที่ใช้ประจำให้อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ร่างของเขาขยับให้แผ่วเบาขึ้นเพื่อระวังไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
ฟึบ
“อ๊ะ” ฉับพลันที่มีเงาบางอย่างปรากฏตัว ชายหนุ่มก็พุ่งเข้าใส่พร้อมอาวุธที่จ่อไปยังจุดสำคัญทันที
“ชะ ช่วย ด้ว-”
“เดี๋ยวสิ แม่นาง!”
แทนที่จะเป็นสัตว์ป่า แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นดรุณีน้อยนางหนึ่งซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดิน ริมฝีปากแตกระแหงจนดูเหมือนคนป่วยหนัก จังหวะที่เขาเข้าด้านหลังอีกฝ่ายพร้อมมีดสั้นซึ่งจ่อตรงลำคอ นางมีท่าทางหวาดกลัวก่อนจะพึมพำเหมือนขอให้ช่วยแล้วก็หมดสติไป เขาจึงเร่งรับร่างของนางไว้ในอ้อมแขน
ชายหนุ่มตกใจไม่น้อย ด้วยเพราะในป่าลึกเช่นนี้ไม่มีคนเข้ามามากนัก คนในหมู่บ้านเกือบทั้งหมดดำรงชีพด้วยการทำนาข้าวและปลูกผัก น้อยคนนักที่จะยึดอาชีพนายพราน เนื่องจากเกรงอันตรายมากมายในป่าใหญ่ เขาจึงไม่ได้คิดว่าจะมีคนในที่แห่งนี้ มิเช่นนั้นถ้าเขาพลั้งมือไป เขาคงสังหารผู้บริสุทธิ์เสียแล้ว และดูจากสภาพของนางคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนางเป็นแน่ เมื่อนางสลบไปเช่นนี้เขาคงทำได้แค่พานางกลับไปพักที่บ้านของเขาก่อนเท่านั้น
ภายในบ้านไม้หลังน้อยซึ่งมีเพียง 1 ห้องนอน 1 ห้องโถงกลางบ้าน 1 ห้องน้ำเพราะยามเขาไปอาบน้ำยังแม่น้ำท้ายหมู่บ้าน เขาจะโดนลวนลามด้วยสายตาและมีหญิงสาวมาแอบดูเสมอ จนเขาต้องหลีกหนีไปอาบน้ำยังบ่อน้ำในป่าซึ่งมันก็ไม่สะดวกนักจึงเลือกต่อเติมห้องน้ำเพิ่ม ท้ายสุดคือครัวด้านข้างที่โล่งราวกับไม่เคยได้ใช้ ซึ่งชายหนุ่มก็แทบไม่ได้ใช้จริงๆ บัดนี้เตียงนอนเพียงเตียงเดียวของจิ้นเจิ้นเทียนถูกครอบครองโดยร่างบางระหงที่หมดสติมาได้ 2 ชั่วยาม (4 ชั่วโมง) แล้ว ก่อนหน้านั้นเขาเช็ดตัวให้แม่นางน้อยพร้อมนำยาแก้ฟกช้ำของเขามาทาแผลให้ แน่นอนว่าเขาทาให้ได้แค่ส่วนที่ไม่ถือเป็นการล่วงเกินนางเท่านั้น
ยามใบหน้านวลสะอาดสะอ้านทำให้เขาได้ยลโฉมที่แท้จริงของนาง คิ้วโก่งโค้งได้รูป ขนตางอนยาวเป็นแพ หางตาชี้ดูเป็นคนมั่นใจในตนเอง จมูกโด่งรั้นเชิดขึ้น ริมฝีปากบางแตกแห้งเพราะขาดน้ำ เส้นผมนุ่มสลวยสีน้ำหมึกแม้จะยุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามลดลง โดยรวมแล้วนางเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเลยทีเดียว มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นถึงทำให้นางมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ เสื้อผ้าบางจุดเป็นรอยขาดลากยาวเผยให้เห็นผิวขาวผ่องขึ้นรอยแดงจากการตากแดดเป็นเวลานาน มือหนาห่มผ้าบางๆ ขึ้นมาให้จนถึงคอด้วยภาพเบื้องหน้าช่างวาบหวิวชวนให้บุรุษเพศเช่นเขามีความคิดที่ไม่เหมาะไม่ควร
“อืออ นะ น้ำ” ดรุณีน้อยบนที่นอนรู้สึกตัวขึ้น เสียงหวานแหบแห้งร้องหาน้ำด้วยความกระหาย จิ้นเจิ้นเทียนจึงไปรินน้ำเปล่าที่ต้มไว้มาประคองร่างบางขึ้นพิงหน้าอกแกร่งแล้วค่อยๆ ป้อน
“อึก อึก แค่กๆ” เพราะรีบดื่มจนเกินไปเธอจึงสำลักออกมา
“ค่อยๆ ดื่มเถิด” ชายหนุ่มอดที่จะลูบหลังแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนมิได้ ท่าทางของนางช่างดูน่าสงสารนัก คงมิได้ดื่มน้ำมานาน
“อะ อื้อ” คนตัวเล็กรับคำแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ดื่มน้ำอีกครั้ง ดวงตาหงส์หลุบมองจอกชาที่ทำจากไม้อย่างใช้ความคิด ตอนที่เธอพบเขาเธอก็อ่อนระโหยโรยแรงมากแล้ว การเดินเท้าในป่า ทั้งยังสร้างบาดแผลให้ร่างกายไม่ยอมดื่มกินเป็นเวลากว่า 2 วันนั้นทรมานตนเองมากเกินไป ถ้าไม่ติดที่พบชายหนุ่มเสียก่อน เธอคงทนไม่ไหวหาอะไรกินไปแล้ว
“เจ้าพอจะบอกข้าได้รึไม่ว่าเจ้าเป็นใคร” จิ้นเจิ้นเทียนถามอีกฝ่ายพร้อมกับประคองให้นอนลงกับเตียงเช่นเดิม ก่อนที่เขาจะถอยออกมานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงที่เขายกมาวางเพื่อเฝ้าคนป่วย
“ขะ ข้า…ข้า อึก” เฟิ่งหงสวมบทบาทที่ตนได้เตรียมไว้ในทันที ใบหน้างดงามฉายแววหวาดกลัวและเจ็บปวด มือบางกุมที่ศรีษะ ดวงตาหงส์รื้นน้ำอย่างน่าสงสาร
“เป็นอะไรรึไม่” ชายหนุ่มถามด้วยความกังวล ท่าทางของหญิงสาวดูไม่ปกตินัก
“ข้า…ข้า ข้านึกอะไรไม่ออกเลยเจ้าค่ะ ฮรึก ข้าเป็นใคร ละ แล้วท่านเป็นใครกัน” ร่างบางมีท่าทีหวาดกลัวคนตัวโตพร้อมกับถอยกรูดจนชิดผนัง หยาดน้ำตาไหลรินลงมาราวกับสั่งได้ ไม่เสียชื่อนักแสดงชั้นนำเลยจริงๆ
“เจ้าใจเย็นลงก่อน ค่อยๆ นึก ข้าเป็นคนที่ช่วยเจ้าเอาไว้ในป่า พอจะนึกอะไรออกรึไม่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงน่าฟังกว่าปกติ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ทันสังเกต
“ฮึก ข้า ข้าจำได้เพียงว่าตนเองมีนามว่าเฟิ่งเฟิ่ง นอกเหนือจากนี้ข้านึกไม่ออกแล้วเจ้าค่ะ ตะ แต่…รู้เพียงว่ารู้สึกหวาดกลัวมากๆ เพียงเท่านั้น” เสียงหวานสะอื้นพร้อมตอบคำถาม ร่างกายบอบบางสั่นเทาราวกับลูกนกพาให้ใจแกร่งอ่อนยวบ ปกติเขาก็มิได้ใจดีกับคนแปลกหน้าถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าควรปกป้องนางกัน
“อืม คราแรกข้าคิดว่าจะพาเจ้าไปแจ้งทางการ แต่ดูจากที่เจ้าไม่มีสิ่งใดยืนยันตัวตนได้เลย คงไม่สามารถพึ่งพาทางการได้” อีกสิ่งหนึ่งคือบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย เหมือนโดนทุบตีมา คงมีคนปองร้ายนางเป็นแน่ ถ้าการส่งนางให้ทางการทำให้นางต้องกลับคืนสู่มือคนร้าย คงไม่ดีนัก
“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ดรุณีน้อยหวาดหวั่นจนเสียงเครือ ริมฝีปากบางแห้งแตกเม้มจนเป็นเส้นตรง ท่าทีครุ่นคิดอย่างหนักทำให้คนตัวโตถอนหายใจออกมา
“ในเมื่อข้าเป็นคนช่วยเจ้าเอาไว้ ข้าคงต้องดูแลเจ้าไปก่อน จนกว่าความทรงจำของเจ้าจะกลับคืนมา” จิ้นเจิ้นเทียนยื่นขอเสนอที่ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะพูดออกไป แต่ทำอย่างไรได้ เขาไม่ต้องการเห็นน้ำตาของนาง
“จะดีหรือเจ้าคะ ข้า…ข้าคงเป็นภาระให้ท่าน ข้าไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดตอบแทนท่านได้บ้าง เอ่อ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณที่ท่านช่วยข้าเอาไว้เลย ขอบคุณท่านมากเลยนะเจ้าคะ” แม่นางน้อยรีบเอ่ยด้วยความกังวล ทั้งยังลุกลี้ลุกลนโค้งคำนับขอบคุณอีกฝ่ายจนชายหนุ่มผุดรอยยิ้มเอ็นดูออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ข้าเป็นเพียงพรานป่า ไม่ได้มีเงินทองอะไร มีเพียงแค่บ้านไม้หลังนี้เท่านั้น” จิ้นเจิ้นเทียนบอกออกไป แม้เขาจะมีเงินกว่าหลายสิบตำลึงทองจากที่พี่ชายให้ไว้ แต่เขาก็อยากรู้ว่าถ้านางรู้ว่าเขาไม่มีอะไรเลยเป็นเพียงคนยากจน นางยังจะอยู่กับเขารึไม่