กว่าฉันจะแพ็คของเตรียมย้ายบ้านเสร็จก็เมื่อตะวันลับขอบฟ้าไปนานโข เพราะมัวแต่พยายามเก็บสมบัติทุกชนิดติดตัวไปด้วยให้มากเท่าที่จะมากได้ ใส่กระเป๋าเท่าที่มีทุกใบ
“โอย เหนื่อยจังเลยน้า”
โอว... เพิ่งรู้ว่าฟูกนอนของฉันมันทั้งนิ่ม ทั้งหอมน้ำยาปรับผ้านุ่มมากๆ ก็เมื่อทิ้งตัวลงนอนหงายมองเหล่าดาวเรืองแสงที่ฉันติดไว้บนฝ้าตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก บ้านที่ฉันเติบโต... คงต้องลาจากกันสักพักใหญ่ๆ ละนะ อย่าเพิ่งพังเพิ่มก่อนที่ฉันจะกลับมาละ แค่ห้องครัวถล่มก็ทำร้ายจิตใจฉันมากเกินทนแล้ว T^T
ก๊อกๆ!
ฉันกัดริมฝีปาก ก่อนจับรีโมทมากดเปิดโทรทัศน์และเร่งเสียงดังคับห้องเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ได้ยินเสียงเคาะกระจกหน้าต่างที่คุ้นเคยนั่น แต่หูเจ้ากรรมก็ดันพยายามจะเงี่ยฟัง ชิ... ไอ้หูไม่รักดี!
‘พิ้งค์...’
ฉันเร่งเสียงเพิ่มขึ้นอีกเมื่อยังได้ยินเสียงเรียก
‘พิ้งค์ เปิดหน้าต่างหน่อย’
อ๊าก... หูจะแตก! เร่งจนสุดโวลุ่มแล้วทำไมยังได้ยินเสียงนังบลูเบอร์รี่นั่นอีกฟะ!
‘พิ...ว้าก’
ตุ้บ!
ฉันอ้าปากน้อยๆ กับเสียงนั้น ก่อนกดปิดโทรทัศน์ แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบงัน ไม่จริงน่า... บลูตกจากระเบียงบ้านฉันเหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่เคยได้ยินว่าลิงตกต้นไม้ได้นี่!
“บลู...”
ฉันเดินออกไปเปิดกระจกหน้าต่างพร้อมกับชะโงกมองลงไปเบื้องล่างของระเบียงห้องขนาดเล็กอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตกลงไปจากชั้นสองนี่จะตายไหมนะ ฉันไม่เคยลองด้วยสิ
“แฮ่!!”
“กรี๊ด!!! แม่หก! ตกบันได! ไหล่เคล็ด! เพชรไม่มี! บ้านหนูบ่จี๊! อย่าปล้นหนูเลยนะค้า TOT”
ฉันหลับตาปี๋ แหกปากร้องลั่นแบบที่ถ้าสมาชิกสิบกว่าชีวิตของครอบครัวข้างบ้านไม่ได้ไปกินโต๊ะจีนกันตั้งแต่ช่วงเย็น คงวิ่งออกมาเปิดหน้าต่างดูด้วยตกใจเป็นแน่ แต่เสียงหัวเราะคิกคักจากด้านซ้ายมือนั้นก็ทำเอาฉันปิดปากฉับ ก่อนค่อยหรี่ตามองไปอย่างไม่มั่นใจเท่าไรนักว่าผีหรือคน
“ไอ้...”
พอเห็นชัดว่าใครยืนแปะข้างฝาเป็นตุ๊กแกยักษ์อยู่บนตู้แอร์ฯ ฉันก็ชี้มือสั่นๆ ไปยังใบหน้าหล่อกิ๊งนั่นพร้อมกับที่คำด่าทุกคำถูกกลืนลงคอไปด้วยแค้นใจขั้นเทพ! อ๊าก... นังบลูเบอร์รี่! แกทำฉันอีกแล้ว >O<!
“หลบหน่อยสิ เกะกะ”
มือใหญ่เอื้อมมาดันหัวฉันให้หลบไปอีกทาง พร้อมกับปีนข้ามหน้าต่างเข้ามาในห้องอย่างง่ายแสนง่าย ทิ้งให้ฉันยืนเอ๋อ ชี้นิ้วค้าง ก่อนชะโงกมองลงไปข้างล่าง สลับกับหันไปมองอีตาบ้านั่นอย่างงงัน
“บลู เมื่อกี้เสียงอะไรอะ”