เรณูมองไปที่ผนังดินที่ค่อยๆแยกออกจากกัน เหมือนลิฟท์กำลังเปิด ทั้งสามคนกลับขึ้นไปบนรถ เขตชัยขับรถขึ้นเนินไปอีกประมาณห้ากิโลเมตร และมาจอดนิ่งอยู่ที่ลานกว้าง ด้านหน้ามีกลุ่มคนรออยู่แล้ว พวกเขารูปร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหาร คนรูปร่างสูงใหญ่กว่าทุกคน เดินนำหน้าทหารอีกสี่คน ตรงเข้ามาทักทายกลุ่มของหมออบเชย
“สวัสดีครับคุณหมออบเชย โพคะยา ยินดีต้อนรับอีกครั้งครับ คุณหมอมาได้เวลาพอดีเลย พวกเรากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”
“สวัสดีเจ้าสิงขร ฉันไม่ถามนะว่าสบายดีไหม แค่ไม่เห็นว่าร่างกายของคุณไม่มีบาดแผล ฉันก็ดีใจแล้ว และขอให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป”
“ขอบคุณครับคุณหมอ ดีใจครับที่ได้พบคุณหมออีกครั้ง”
“ฉันขอแนะนำ คนนี้เขตชัยหลานชายคนเดียวของฉัน เขาเป็นเจ้าของบริษัทฯนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์ทั่วไป รวมถึงยาด้วย ยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง เขาเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าอินทนนท์ “
“สวัสดีครับ เจ้าสิงขร ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“สวัสดีหลานชาย ขอบใจในทุกเรื่องที่สนับสนุนเรา”
“ครับเจ้า ผมเต็มใจ ผมกับเจ้าอินทนนท์เป็นเพื่อนสนิทกันครับ ตอนนี้เขาอยู่ในความดูแลของผม ไม่ต้องห่วงนะครับปลอดภัยทุกอย่าง คืนนี้ผมจะเดินทางกลับกรุงเทพฯเพื่อไปหาเขา”
“รับทราบ ผมฝากลูกผมด้วยนะ เขาเป็นความหวังของเรา”
“และฉันขอแนะนำอีกคน คนนี้คือหมอเรณู หรือหมอขวัญ เป็นหมอศัลยกรรม หลานสาวคนเล็กของฉัน เป็นน้องของเขตชัย อีกไม่นานหมอขวัญจะมาช่วยงานฉัน”
“สวัสดีค่ะเจ้าสิงขร” หญิงสาวยกมือไหว้ชายสูงอายุ เธอเคยได้ยินชื่อของเขา และเห็นตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์แต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริงรู้สึกว่าเขาน่าเกรงขาม สมกับเป็นผู้นำจริงๆ สมัยที่เป็นหนุ่มคงจะหล่อมาก หน้าตาคล้ายเจ้าอินทนนท์และนักรบมาก สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน
“สวัสดีหลานสาว ยินดีนะ ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเรา ดีใจที่ไม่ลืมกัน ขอบคุณอีกครั้ง“ เจ้าสิงขรพาทุกคนเข้าไปพักที่บ้านหลังใหญ่ มีรั้วรอบขอบชิด ด้านนอกมีทหารยืนยามอยู่มากมาย
ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่เคยมาที่คงจะตกใจไม่น้อย อยู่ฝั่งไทยดีๆนั่งรถมาไม่นานก็มาโผล่ฝั่งนี้ หญิงสาวเคยสงสัยว่า เขาขุดอุโมงค์กันตั้งแต่สมัยไหน การขุดอุโมงค์ใต้น้ำสมัยก่อน เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากๆสำหรับเธอ และต้องมีมาก่อนสมัยตาทวดแน่ๆ ยายเล่าว่าสมัยก่อน ลำห้วยที่เห็นปัจจุบันนี้กว้างใหญ่กว่านี้มาก ขนาดสมัยนี้ยายยังบอกว่าเล็กและแคบ แต่เธอคิดว่ามันก็ยังกว้างอยู่ดี
“ได้ยินข่าวว่าหมอขวัญเป็นคนผ่าตัดให้อินทนนท์ใช่ไหม”เจ้าสิงขรหันมาพูดกับหญิงสาว
“ใช่ค่ะ จริงๆหนูไม่ทราบว่าเป็นเจ้าอินทนนท์ จนพี่เขตมาบอก สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมส่งตัวมารวดเร็ว และย้ายเร็ว ไม่ต้องห่วงนะคะ พ้นขีดอันตรายแล้ว น่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งเดือน ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้”
“ลุงขอบใจหนูมากนะที่ช่วยชีวิตเขาไว้”
“มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วค่ะ เราช่วยทุกคนที่ป่วยและบาดเจ็บ”
“ยังไงก็ต้องขอบใจ คุณหมออบเชยช่วยเราทุกอย่าง ชาตินี้พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรที่จะช่วยได้เราก็ช่วย อ้อนี่คืนนี้นักรบกับพรรณรายและลูก ต้องเดินทางเข้าไปหาอินทนนท์นะ ไปกรุงเทพฯ เขตชัยกับเรณูเขาจะกลับกรุงเทพฯ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น”
“ครับ ผมห่วงลูกกับหลานมาก ขอให้พวกเขาเดินทางปลอดภัย”
“คุณหมอครับ นี่ครับ ผมไม่มีเงินสด รบกวนคุณหมอเอาไปแปลงเองนะครับ”
หมออบเชยผลักกล่องไม้ออกจากมือ หญิงชรารู้ว่ามันคืออะไร
“ไม่ต้องหรอก ครั้งนี้หลานชายอยากช่วยจริงๆนักรบให้ฉันไว้แล้ว แต่ก็ยังเอาออกไปแปลงเป็นเงินไม่ได้ คงต้องให้หลานพาไปที่กรุงเทพฯ ที่บ้านฉันเดี๋ยวชาวเมืองจะสงสัย ว่าฉันเอาทองคำแท่งมาจากไหนเยอะแยะ อ่อนี่ชาวบ้านฝั่งโน้นเขาฝากมาช่วยเยอะเลยนะ เขาเป็นห่วง “
“ครับหมอผมซาบซึ้งในน้ำใจของทุกคนจริงๆ ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา ครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้ง แต่ก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนช่วยทำให้สงบลงได้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เรียบร้อยดี”
“สำหรับของที่เอามาส่งวันนี้ เป็นของเพื่อนๆและชาวบ้านที่ฝากมาให้ ส่วนของเขตชัย พรุ่งนี้สองคันรถหกล้อ เป็นพวกเวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์ต่างๆ วันนี้เราเอามาบางส่วนเท่านั้น”
“ผมไม่คิดว่าคนรุ่นผมจะได้กลับมาใช้ทางเส้นนี้ จริงๆพ่ออยากมารับคุณหมอด้วยตัวเอง แต่ท่านไม่ค่อยสบาย ร่างกายทรุดโทรมลงตามวัยครับ”
“ไม่เป็นไร บอกเขาว่าไม่ต้องห่วงนะ สำหรับเราความเป็นเพื่อนยังคงเหมือนเดิม ได้ข่าวว่าได้รับความช่วยเหลือมีคนสนับสนุนแล้วใช่ไหม”
“ครับ ทุกอย่างมาเมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมา เรามั่นใจกันมากขึ้น ทางโน้นยอมเจรจากับเรา แต่ก็คงสงสัยว่าเราได้กำลังสนับสนุนมาจากไหน”
“ฉันหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีนะ ส่งกำลังใจเหมือนเดิมแค่มารู้เห็นว่ายังสบายดีกัน ฉันก็ดีใจแล้วไม่ต้องห่วง เอาล่ะได้เวลาแล้ว เดี๋ยวเด็กๆต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯกัน ไว้พรุ่งนี้ฉันจะขอไปตรวจอาการของเจ้าสายลมนะ ฝากบอกเขาด้วยว่าเพื่อนจะไปหา ”
เจ้าสิงขรเดินมาส่งทั้งสามคนที่รถจิ๊ป ไม่มีคำพูดใดออกมาอีกหลังจากนั้น สั้นๆง่ายๆแค่เห็นแววตาก็รู้ว่าเขาดีใจสิ่งของทั้งหมดที่ได้รับสำคัญมากกับประชาชนของเขา แค่ได้ยินข่าวของลูกชายทั้งสองคนว่าปลอดภัยแล้ว เจ้าสิงขรก็สบายใจ มีแรงที่จะดูแลประชาชนของเขาต่อไป
หมออบเชย กับหลานทั้งสองคนเดินทางกลับ ภายในใจของทุกคนอิ่ม สุขใจที่ได้ช่วย
“เขต พรุ่งนี้ยายรบกวนให้กำชับคนรถ ลงของให้เร็วที่สุดนะ ยายจะรีบมาส่งให้เขา ต้องแวะดูอาการของเจ้าสายลมด้วย กลัวว่าจะกลับมาฝั่งนี้ช้า เดินทางกลางคืนมีแสงไฟรถอันตรายถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในอุโมงค์ แต่ก็ไว้ใจอะไรไม่ได้”
"ครับยาย ผมจะกำชับให้ครับ"
ขากลับใช้เวลาไม่นาน กลับถึงบ้านทุกคนแยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว ตาจูนกับยายแสง เอกและอาร์มรายงานสถานการณ์รอบบ้าน ปกติดีทุกอย่าง
หกโมงเย็นทุกคนมารวมตัวกินข้าวเย็นด้วยกันที่โต๊ะอาหาร กำหนดออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หนึ่งทุ่ม นักรบกับพรรณรายไม่มีสิ่งของอะไรนอกจากย่ามคนละใบ เสื้อผ้าคนละสองชุด
“เอาล่ะได้เวลาแล้ว จูนกับเอก ขับรถนำหน้าไปนะ ใช้ถนนเส้นเก่า ช้านิดหนึ่งแต่ปลอดภัย นักรบ พรรณราย เดินทางปลอดภัยนะ ไม่ต้องห่วงอะไร ไปกันได้แล้ว มีอะไรให้ใช้สัญญาณห้ามโทรศัพท์เด็ดขาด”
“ครับผม ขอบคุณคุณหมอมากครับ ผมจะไม่ลืมที่คุณหมอบอก และขอบคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา ตาจูน ยายแสง เอก อาร์ม ไปก่อนนะครับ แล้วเราจะกลับมา”
หมออบเชยยืนมองตามท้ายรถของหลานชาย ที่แล่นหายลับไปกับความมืด นาฬิกาบอกเวลา หนึ่งทุ่มสี่สิบห้านาที หญิงชราถอนหายใจ หันกลับเข้าบ้านและเดินเลยเข้าไปที่ห้องทำงาน
“ยายแสง อาร์ม ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันทำงานอีกสักหน่อยก็จะนอนแล้วเหมือนกัน วันนี้เหนื่อยมาก”
“ค่ะคุณหมอ /ครับคุณหมอ” สองแม่ลูกรับคำพร้อมกัน
หมออบเชยนั่งนิ่งๆนึกถึงความหลังเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ทางที่พาหลานไปเมื่อบ่าย สมัยก่อนเป็นเส้นทางไปมาหาสู่กันระหว่างครอบครัวของอบเชยกับครอบครัวของเจ้าแสงคำ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกัน เจ้าสายลม กับเจ้านางแสงคำ รักชอบกันตั้งแต่สมัยเด็กๆสองคนข้ามมาเรียนฝั่งหมู่บ้านภักดีแผ่นดิน สมัยก่อนครูที่ประจำอยู่ที่โรงเรียนแถวชายแดน ก็สอนหมด เด็กฝั่งโน้นใครอยากเรียนก็ข้ามน้ำมาเรียน สองคนนี่ดีหน่อยที่ฐานะทางบ้านดี พ่อเป็นถึงพ่อเมือง เจ้าสายลมกับเจ้าแสงคำเรียนเก่ง อ่านเขียนภาษาไทยดี ทั้งสองเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯกับอบเชยด้วย สามคนสนิทกันมาก เรียนจบแล้วเจ้าสายลมกับเจ้าแสงคำแต่งงาน มีลูกชายคนเดียวคือเจ้าสิงขร
อบเชยเรียนหมอหนักมาก จบออกมาทำงานหลายปีก็ได้แต่งงาน กับชาญชัย สามีของอบเชยเป็นคนหมู่บ้านนี้ เข้าไปค้าขายในเมืองจนร่ำรวย ทั้งสองคนมีลูกสาวคนเดียวคือหมอเพียงใจ แม่ของเขตชัยกับเรณู ระหว่างที่อบเชยเป็นหมอ คอยช่วยเหลือเพื่อนตลอด ถ้าหากฝั่งโน้นมีปัญหา
ครั้งหนึ่งชาญชัยข้ามไปค้าขายที่เมืองหลวงของโพคะยา ถูกจับ เป็นช่วงที่มีการปะทะกัน เจ้าสายลมและพวกบุกเข้าไปช่วยชีวิตไว้ได้ ตั้งแต่นั้นมาอบเชยและสามีไม่เคยลืมบุญคุณของเพื่อนเลย และมีอีกหลายครั้ง ที่มีเหตุที่ต้องได้ช่วยเหลือกัน ไม่ใช่แค่รุ่นของอบเชย ตั้งแต่รุ่นตาทวด คนสองฝั่งเคยช่วยเหลือกันมานาน ผูกพันกันจนเรียกว่าเป็นญาติกันไปแล้ว
เจ้าสายลมและเจ้านางแสงคำ เป็นคนมีอุดมการณ์ รักบ้านเกิดรักในแผ่นดินถิ่นที่อยู่ ถึงแม้จะเดินทางไปเรียนที่ต่างประเทศแต่ก็ไม่ลืมบ้านเกิดเมืองนอน บริเวณเมืองที่ทั้งสองคนอยู่เป็นแหล่งทองคำ และแร่มีราคามากมาย ปัญหาเหล่านี้มีมาตั้งแต่โบราณ มีหลายฝ่ายที่อยากครอบครองผืนแผ่นดินนี้ ทำให้มีการต่อสู้และปะทะกันเรื่อยมา จากที่ต้องการเพียงทองคำ กลายเป็นเรื่องของการเมือง
เคยเสียพื้นที่ไปนานหลายปี แต่เจ้าสายลมรวบรวมคนยึดคืนมาได้ ต่อสู้กันมารุ่นต่อรุ่น กระทั่งมาถึงรุ่นลูกเจ้าสิงขร ก็มีเรื่องปะทะกันตลอด ว่างเว้นไป ไม่ถึงสิบปีวนๆอยู่แบบนี้ แต่ครั้งนี้หนักสุด มีต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ปัญหาชนชุมกลุ่มน้อย ปัญหาแบ่งแยกการปกครอง จนไม่รู้ว่าจริงๆแล้วปัญหาเกิดจากอะไรกันแน่
เมื่อสองปีที่ผ่านมา ข่าวการขุดพบแหล่งทองคำแห่งใหม่กระจายออกไป ทำให้หลายฝ่ายอยากครอบครอง เรียกว่าโพคะยามีคนหลายกลุ่ม พยายามแย่งชิงกันเพื่อที่จะอยากครอบครองพื้นที่
เป็นต้นเหตุให้เกิดการปะทะกัน รัฐสิขิมอ้างว่า โพคะยาเป็นส่วนหนึ่งของสิขิม ดังนั้นสิขิมจะทำอะไรก็ได้ แต่ประชาชนของโพคะยาอยากแยกตัวออกมาปกครองตัวเอง แน่นอนสิขิมไม่มีทางยอมแน่นอน มีการเจรจาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แต่โพคะยาก็พยามยามต่อสู้ เพื่อที่จะได้ปกครองตัวเองไม่ขึ้นกับสิขิม ก็ต่อสู้กันไป หมออบเชยมองว่า ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อน และเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ช่วยได้ก็ต้องช่วย แม้บางครั้งจะเป็นเป้าสายตาของเจ้าหน้าที่ก็ตาม
ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่ของหมออบเชย และสามีจะเสียชีวิตไปหมดแล้ว แต่หมอก็ยังคงช่วยเหลือเพื่อนตามปกติเหมือนเดิม จากรุ่นตายาย มาถึงรุ่นลูก และรุ่นหลาน แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปเพื่อนก็ยังคงช่วยเพื่อนเสมอไม่มีเปลี่ยนแปลง
สองทุ่มครึ่งตาจูนกับเอกขับรถกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
สี่ทุ่ม หลานชายและหลานสาวส่งข่าว ถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ หมออบเชยสบายใจแล้ว ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ได้เวลาพักผ่อน จากนั้นหญิงชราลงไปยังชั้นใต้ดิน คืนนี้หมออบเชยเลือกที่จะนอนพักภายในห้องใต้ดินส่วนตัว ซึ่งหลานทั้งสองคนยังไม่มีใครเคยเห็นห้องนี้