EP 6
“ถ้าไม่มีฉันต่างหากล่ะ ฮัสซันจะมีปัญหา”
“ไม่จริง”
“ถ้าคุณไม่เชื่อ งั้นคืนนี้ คุณไปพักที่บ้านของฉัน และคุณจะรู้ว่าถ้าฮัสซันไม่ได้ฟังนิทานจากฉัน แกจะไม่มีวันนอนหลับได้อย่างแน่นอน”
เขามองหล่อนอย่างไม่เชื่อ แต่ก็อยากจะทำให้เรื่องนี้มันจบสิ้นลงเร็วที่สุด เพราะการที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเมียเก็บคนสวยของน้าชาย มันทำให้เขาคลั่ง
“ก็ได้ ฉันจะไปพิสูจน์”
มะลิยิ้มทั้งน้ำตาอย่างมีความหวัง
“แล้วถ้าฮัสซันเป็นอย่างที่ฉันบอกล่ะ คุณจะทำยอมให้ฮัสซันอยู่กับฉันไหม”
“บ้าน่า ฉันไม่มีทางปล่อยให้ฮัสซันอยู่กับเธออย่างแน่นอน ไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตาม”
“งั้นคุณจะแก้ไขปัญหายังไง หากฮัสซันต้องมีฉันน่ะ”
หล่อนเห็นเจ้าชายรูปงามเดินกลับไปกลับมา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ก่อนจะพูดออกมา
“ก็คงต้องหาพี่เลี้ยงสักคนที่เล่านิทานได้เก่งพอๆ กับเธอ”
“ไม่ได้ คุณต้องพาฉันไปด้วยต่างหาก”
หล่อนโพล่งออกไปสุดเสียง และเขาก็เค้นเสียงต่ำตอบกลับมาทันทีเช่นกัน
“เธอเข้าซาเรียไม่ได้หรอก”
“ทำไมคะ หรือว่าที่นั่นไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไป”
“นักท่องเที่ยวน่ะไปได้ แต่สำหรับเธอ พ่อของฉันไม่มีทางอนุญาตอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของเขาจริงจังจนหล่อนน้ำตาไหลออกมาอีก ร้องไห้ราวกับคนบ้า
“แล้วฉัน... ควรจะทำยังไงดี ฉันถึงจะไปกับฮัสซันได้”
“ทางเดียวที่เธอจะเข้าซาเรียได้ ก็คือต้องไปในฐานะผู้หญิงของฉัน”
หล่อนเบิกตากว้างมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรออกไป เซรีมก็พูดต่อออกมาเสียก่อน
“แต่ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก เพราะฉันไม่ได้มีรสนิยมใช้ผู้หญิงคนเดียวกันกับญาติพี่น้อง”
หน้าของมะลิแดงก่ำ ความอับอายระเบิดตูมในอก แต่หล่อนไม่มีทางเลือก และนี่ก็คือทางเลือกสุดท้ายในชีวิตแล้ว หากหล่อนต้องการติดตามไปดูแลฮัสซัน
“เรา... ก็ไม่ต้องมีอะไรกันจริงๆ นี่คะ ฉัน... ก็แค่อาศัยสิ่งที่คุณพูด เพื่อตามไปดูแลฮัสซัน”
“แล้วทำไมฉันจะต้องลงทุนทำแบบนั้น”
“ก็... เพื่อฮัสซันยังไงล่ะคะ แกต้องการฉัน”
เขาไหวไหล่กว้างเล็กน้อย มองหล่อนด้วยสายตาดูแคลน
“แต่ฉันไม่ต้องการเธอ”
มะลิรู้สึกไม่ต่างจากการถูกเขาจับเหวี่ยงลงไปในเหวลึก เจ็บและอับอาย แต่ก็ไม่มีทางเลือก
“ฉันทราบค่ะว่าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์อย่างคุณไม่มีทางมองฉัน แต่จุดประสงค์ของฉันคือการติดตามไปดูแลฮัสซัน อย่างน้อยๆ ฉันขอเวลาดูแลจนกว่าแกจะคุ้นชินกับบ้านเมืองของคุณ ได้ไหมคะ ฉันขอแค่นี้เอง กรุณาเถอะค่ะ”
มะลิยกมือขึ้นไหว้เจ้าชายรูปงามตรงหน้า เขามองหล่อนด้วยสายตามืดลึก อ่านความรู้สึกไม่ออก ก่อนที่ริมฝีปากหยักสวยของเขาจะขยับ
“แน่ใจนะว่าเธอจะไปซาเรียในฐานะผู้หญิงของฉัน”
“แน่ใจค่ะ”
หล่อนยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะต้องหน้าซีดเผือดกับคำพูดต่อมาของเจ้าชายทะเลทราย
“แล้วแน่ใจนะว่าเธอจะยอมรับสิ่งที่จะตามมาในฐานะผู้หญิงของฉันได้”
“คุณหมายถึง...”
“ฉันไม่ต้องการความสัมพันธ์จอมปลอม”
“คะ?”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เธอคงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดคืออะไร จริงไหม มะลิ กรองอักษร”
เขาพูดแบบนี้ออกมา แน่นอนว่าหล่อนพอจะเข้าใจได้ไม่ยาก เขาต้องการขึ้นเตียงกับหล่อน แต่... แต่หล่อนจะรับมือกับเซ็กซ์ของเจ้าชายทะเลทรายได้เหรอ ในเมื่อกิตติศัพท์ที่เคยได้ยินมา พวกเขาดิบเถื่อน และรุนแรงมาก
“ฉันให้เวลาเธอคิดจนถึงเย็นนี้นะ”
เซรีมเกลียดตัวเองที่ไม่อาจจะปฏิเสธสิ่งหอมหวานจากเมียเก็บของน้าชายได้ สมองสั่งให้ผลักไสหล่อนไปให้ไกลสุดขอบฟ้า แต่ร่างกายกลับโหยหาบ้าคลั่ง
“เพราะฉันไม่ต้องการบังคับจิตใจของใคร” เขาอมยิ้มเลือดเย็น “ฉันไปละ”
แล้วผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดลำลองเรียบหรูก็เดินจากไปด้วยท่าทางสง่างาม
ลมหายใจของมะลิชะงักติดอยู่ที่ลำคอ สิ่งที่หล่อนได้ยินมันคือความจริงเหรอ
‘ฉันไม่ต้องการความสัมพันธ์จอมปลอม’
คำพูดของเซรีมบอกอยู่โต้งๆ ว่าเขาต้องการอะไรจากสิ่งที่หล่อนขอร้องให้เขากระทำ
แล้วนี่หล่อนจะทำยังไงดี?
มะลิจ้องมองเซรีมที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าของฮัสซันด้วยความทึ่งจัด ใบหน้าหล่อจัดที่เคร่งขรึมและเย็นชาตลอดเวลาของเจ้าชายหนุ่มตอนนี้เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
ฮัสซันที่ไม่เคยให้ความสนิทสนมกับคนแปลกหน้ามาก่อน ตอนนี้กำลังหัวเราะร่วนด้วยความถูกอกถูกใจกับของเล่นนับสิบชิ้นที่เซรีมขนซื้อมาเอาใจ แถมเขายังเสียสละเวลานั่งเล่นของเล่นพวกนั้นกับฮัสซันอีกต่างหาก
ภาพที่เห็นทำให้หล่อนน้ำตาซึม แม้ตลอดเวลาที่ฮัสซันอยู่กับหล่อนจะมีความสุขมาก แต่ฮัสซันก็ไม่เคยได้รับของเล่นดีๆ แบบนี้มาก่อน เพราะหล่อนไม่มีเงินพอจะซื้อให้ หลายครั้งที่หล่อนจูงมือฮัสซันเดินผ่านร้านขายของเล่น และเด็กชายหยุดมองตาละห้อย หล่อนสงสารเด็กน้อย แต่ก็ไม่อาจจะช่วยให้ความหวังของฮัสซันสมหวังขึ้นมาได้
หรือว่าหล่อนควรจะยินยอมให้ฮัสซันกลับไปอยู่ในสถานที่ที่เขาควรอยู่กันนะ
หญิงสาวคิดอย่างสับสน ใจหนึ่งก็อยากจะเสียสละยอมให้ฮัสซันจากไป แต่อีกใจก็อดที่จะเป็นห่วงฮัสซันไม่ได้ เด็กชายไม่เคยห่างจากหล่อนเลยตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา
“ฮัสซันครับ ถึงเวลานอนแล้วครับคนเก่ง”
หล่อนตัดสินใจกระแอมและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผ่านการปั้นแต่งมาเรียบร้อยแล้ว
“ว้า... ผมยังอยากเล่นต่ออีกครับน้ามะลิ”
เด็กน้อยผมสีดำขลับมองหล่อนอย่างวิงวอนขอต่อเวลา แต่หล่อนส่ายหน้าและเปล่งเสียงเข้มงวดออกไป
“ไม่ได้ครับคนเก่ง พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนครับ”
สีหน้าของฮัสซันเต็มไปด้วยความผิดหวัง และเซรีมก็ฉวยโอกาสที่จะทำคะแนนอย่างหน้าไม่อาย
“ฉันต่อเวลาให้อีกสิบนาที โอเคไหม”
“จริงนะครับ เจ้าชาย”
แม้เซรีมจะมีอายุห่างจากฮัสซันยี่สิบกว่าปี แต่ตามศักดิ์แล้วเขาสองคนก็คือลูกพี่ลูกน้องกันนั่นเอง ทำให้ฮัสซันไม่อาจจะเรียกเซรีมว่า น้า อา หรือว่า ลุงได้
“จริงสิครับ”
“ไม่ได้จ้ะ ฮัสซัน น้าไม่อนุญาต”
หล่อนเดินเข้ามาใกล้และดึงรถของเล่นในมือของฮัสซันออกไป พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“น้าจะไม่ว่าเลยถ้าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์”
“เธอไม่ควรจะเข้มงวดกับฮัสซันมากเกินไป เขายังเด็กมาก”
เซรีมตำหนิหล่อน แต่หล่อนที่โมโหกลับไม่คิดจะยอมให้ถูกตำหนิอยู่ฝ่ายเดียว
“ฉันจะไม่มีทางเลี้ยงแกให้โตขึ้นเป็นเจ้าชายที่ไม่เอาไหนหรอกค่ะ กฎต้องเป็นกฎ”
ใบหน้าหล่อจัดของเซรีมตึงเครียดขึ้น แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังคงราบเรียบเช่นเดิม ก็แน่ละ เจ้าชายอย่างเขาเก่งในเรื่องการควบคุมอารมณ์อยู่แล้วนี่
“ใช่ กฎต้องเป็นกฎ แต่ก็ไม่ควรตึงเกินไป อีกสิบนาที คงไม่ทำให้ฮัสซันต้องตื่นสายหรอก”
“แต่คุณไม่มีสิทธิ์...”
“แน่ใจหรือว่าฉันไม่มีสิทธิ์”
หล่อนเผลอตัวสบตากับดวงตาคมกริบสีทองของเซรีมอีกครั้ง และสิ่งที่ตามมาก็เหมือนเดิม นั่นก็คือความปั่นป่วนในช่องท้องราวกับมีคลื่นยักษ์อยู่ภายในนั้น หล่อนไม่อาจจะละสายตาจากผู้ชายตรงหน้าได้เลย เขาหล่อ... ใช่... หล่อนตระหนักมานานแล้วว่าเจ้าชายพระองค์นี้หล่อเหลากว่าผู้ชายทุกคนในโลกที่หล่อนเคยเห็นมา เขาหล่อยิ่งกว่าพระเอกหนัง หล่อราวกับไม่ใช่มนุษย์โลกจริงๆ ก็แน่ละ เขาน่าจะเดินลงมาจากสวรรค์นี่นา
“น้ำลายเธอไหลน่ะ เช็ดเสียด้วย”
น้ำเสียงราบเรียบแต่มีความขบขันปนเปอยู่ด้วยทำให้มะลิรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังมีไฟลุกพรึบขึ้น สติสัมปชัญญะที่มักจะหนีหายไปทุกครั้งที่สบตากับเขากลับคืนมา หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายเช็ดน้ำตาที่มุมปาก และก็ตีหน้าบูดใส่เขา
“คุณควรจะกลับไปได้แล้วละค่ะ เพราะฉันจะพาฮัสซันเข้านอนแล้ว”
ศีรษะทุยได้รูปสวยของเจ้าชายหนุ่มรูปงามส่ายไปมา และเขาก็ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าของหล่อน มันใกล้มากจนหล่อนตื่นตระหนก และต้องเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังหนี
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าคืนนี้ฉันมาที่บ้านของเธอด้วยสาเหตุอะไร”
นั่นสินะ เซรีมมาที่นี่เพราะต้องการพิสูจน์ว่าฮัสซันติดหล่อนจริงหรือเปล่า
มะลิสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนจะหันไปพูดกับฮัสซันที่ยืนทำหน้ามึนงง ไม่เข้าใจกับสิ่งที่หล่อนกับเซรีมพูดตอบโต้กัน
“คนเก่งของน้ามะลิ ไปนอนนะครับ”
“แต่ว่าผม...”
“ฮัสซันไม่รักน้ามะลิแล้วหรือครับ”
เด็กน้อยรีบวางรถของเล่นบนพื้น และลุกขึ้นมาสวมกอดร่างของมะลิ
“ผมไปนอนก็ได้ครับ แต่น้ามะลิต้องเล่านิทานให้ผมฟังเพิ่มเป็นสองเรื่องนะครับ”
“ได้สิจ๊ะ”
มะลิไม่ได้ให้ความสนใจในตัวของเซรีมอีก หล่อนช่วยฮัสซันเก็บของหล่อนจนเป็นระเบียบ ก็พาเด็กชายไปยังห้องนอน หล่อนแง้มประตูเอาไว้เล็กน้อย เพื่อให้เซรีมได้มองเข้ามา
“วันนี้ฮัสซันอยากฟังนิทานเรื่องอะไรน้า”
“เด็กเลี้ยงแกะครับน้ามะลิ”
“แล้วเรื่องที่สองล่ะครับ”
มะลิระบายยิ้มกว้าง ขณะยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กชายด้วยความเอ็นดูจากหัวใจ
“หนูน้อยหมวกแดงก็ได้ครับ”
“เอ้... น้ามะลิจำได้ว่าเรื่องนี้เคยเล่าให้ฮัสซันฟังแล้วนะครับ”
“ผมชอบเรื่องนี้ครับ อยากฟังอีกรอบ”
มะลิหัวเราะเบาๆ จูบหน้าผากของฮัสซัน “ได้สิครับ น้ามะลิจะเล่าให้ฟัง แต่ฮัสซันต้องสัญญานะครับว่าจะนอนหลับตาฟัง”
“ครับน้ามะลิ”
แล้วมะลิก็เริ่มต้นเล่านิทานให้กับฮัสซันฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มือเล็กก็ลูบศีรษะของเด็กชายไปด้วย สักพักหนึ่ง คนที่กระตือรือร้นจะฟังนิทานสองเรื่องก็ผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่นิทานเรื่องแรกยังเล่าไม่จบเลยด้วยซ้ำ
มะลิขยับตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวังเพราะเกรงว่าเด็กน้อยจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ดึงผ้าห่มคลุมให้อย่างอ่อนโยน หล่อนมองฮัสซันผ่านความมืดสลัวด้วยความรักใคร่
“น้ามะลิรักฮัสซันนะครับ”
หล่อนพึมพำแผ่วเบา น้ำตาไหลคลอ ขณะก้าวออกจากห้องนอนของฮัสซัน เพื่อที่จะมุ่งหน้ากลับไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
“อุ๊ย...”
ร่างนุ่มนิ่มเดินชนเข้ากับความแข็งแกร่งกำยำดุจดั่งแผ่นศิลา หล่อนเซถลาไปด้านหลัง แต่โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ ที่มือใหญ่ตวัดรวบเอาไว้ได้ทัน
“นี่คุณยังไม่... กลับอีกเหรอคะ”