บทที่ 9
ทิมหัวเราะเบาๆ และเริ่มต้นผูกขาดการสนทนากับวินซ์ทันที หล่อนได้ยินผู้ชายสองคนพูดถึงมาเฟีย พูดถึงการปะทะกัน และก็พูดถึงแซนด์ เอเมอร์ตัน ชื่อนี้คงจะเป็นชื่อของญาติพี่น้องของวินซ์แน่นอน เพราะหล่อนสังเกตเห็นสีหน้าและสายตาของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง เคียดแค้นทันทีที่ชื่อนี้หลุดออกมาจากปากของทิม สเป็คเตอร์
“พี่วินซ์ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจัดการตามแผนของเราทุกอย่าง รับรองว่าซีร์ยานอฟและเซอร์คอฟได้ฆ่ากันเองอีกครั้งหนึ่งแน่”
คำพูดของทิมที่ดังมาเข้าหูทำให้ขวัญชีวาต้องเบิกตากว้าง วินซ์หันมาจ้องหน้าหล่อน ไฟในตาของเขาแทบจะเผาหล่อนให้ไหม้เกรียม ก่อนที่เขาจะหันกลับไปพูดกับทิมอีกครั้ง
“ดีมาก พี่หวังว่าเรื่องที่เรากำลังทำอยู่มันจะสำเร็จในอีกไม่นาน”
“แน่นอนครับพี่วินซ์ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นให้กับแซนด์เพื่อนรัก”
คราวนี้น้ำเสียงและดวงตาของทิมลึกลับจนขวัญชีวาอ่านไม่ออก ลางสังหรณ์ลึกๆ เตือนว่าผู้ชายคนนี้อันตราย มีเรื่องเลวร้ายซ่อนอยู่ แต่หล่อนก็ยังคิดไม่ออกว่าคนอย่างทิม สเป็คเตอร์จะเลวร้ายไปได้ยังไง ในเมื่อเขาออกจะอัธยาศัยดีขนาดนี้ หล่อนคงเพ้อเจ้อไปเองนั่นแหละ
“ขอบใจมากนะทิม และพี่ก็ยินดีด้วยนะกับการเลื่อนตำแหน่งของนาย”
ทิมยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยนัยน์ตาที่อ่านไม่ออก
“ก็แค่การเลื่อนขั้นเล็กๆ น่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก นี่ถ้าแซนด์ยังอยู่ คงเป็นแซนด์ที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง”
วินซ์ถอนใจออกมายาวเหยียด ดวงตาคมกริบสีน้ำเงินอมดำนั้นยอมให้หล่อนอ่านได้เป็นครั้งแรก ซึ่งมันก็มีแต่ความเศร้าหมองและเจ็บปวดเท่านั้นที่อัดแน่นอยู่ในดวงตาของวินซ์ เขาเจ็บปวดทรมานอะไรกันนะ หรือว่าเพราะคนที่ชื่อแซนด์ เอเมอร์ตัน ขวัญชีวาพยายามไขปัญหาให้กับตัวเองแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะจนแล้วจนรอดหล่อนก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย กินข้าวเถอะ”
“ผมคงอยู่ทานมื้อค่ำกับพี่วินซ์และคุณขวัญชีวาไม่ได้แล้วล่ะครับ”
คิ้วเข้มที่ยาวขนานกับดวงตาคมกริบเลิกขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมล่ะ ก็เรานัดกันออกมาทานข้าวไม่ใช่หรือ”
“ใช่ครับ แต่พอดีผมพึ่งนึกได้ว่าต้องรีบไปจัดการอะไรบางอย่างน่ะครับ”
รอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยมิตรของทิมระบายขึ้นเต็มไปใบหน้าคมสันของเขา หล่อนได้ยินเสียงวินซ์ถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนที่น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความผิดหวังน้อยๆ จะเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่หล่อนเคยพิสูจน์มาแล้วว่ากระด้างดุดันแค่ไหนอย่างแผ่วเบา
“งั้นก็ตามสบายเถอะ ไว้คราวหน้าเราค่อยกินข้าวด้วยกัน”
ทิมลุกขึ้น ก่อนยิ้มกว้างอีกครั้ง
“ขอบคุณครับพี่วินซ์ที่เข้าใจผม ไว้เจอกันใหม่ครับ”
ทิมพูดล่ำลากับวินซ์จบก็เบนสายตามายังขวัญชีวาทันที รอยยิ้มกว้างนั้นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานฉ่ำเกินความจำเป็นจนวินซ์ที่นั่งมองอยู่อดหมั่นไส้ไม่ได้
“เสียดายจังที่จะต้องจากคนสวยๆ อย่างคุณขวัญชีวาไปเร็วอย่างนี้ แต่รับรองว่าครั้งหน้าถ้าเราเจอกันอีก ผมจะอยู่คุยกับคุณขวัญทั้งวันเลยครับ”
ขวัญชีวาทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มบางๆ ตามมารยาท รู้สึกอึดอัดไม่น้อยกับสายตาหวานฉ่ำที่ทิม สเป็คเตอร์ทอดมองมา นี่ถ้าสายตาแบบนี้เป็นของวินซ์ เอเมอร์ตันก็คงจะดีไม่น้อย หญิงสาวแอบฝัน แต่พอรู้สึกตัวก็รีบผลักไสความคิดน่าละอายนั้นออกไปจากสมองทันที เพราะหากวินซ์จะมองหล่อนก็คงจะมองแบบขยะแขยงชิงชังเท่านั้นแหละ
“ให้มันน้อยๆ หน่อยทิม บอกแล้วไงว่าผู้หญิงคนนี้ของพี่”
เสียงกระด้างถูกเค้นออกมาจากปากของวินซ์ แม้จะแผ่วเบา แต่มันก็มีผลทำให้คนฟังอย่างขวัญชีวาต้องรีบก้มหน้างุด เสียงหัวเราะเบาๆ ของทิมคล้ายกับอารมณ์ดีนักหนาดังขึ้นในเวลาต่อมา
“ครับ ผมรู้แล้วว่าคุณขวัญชีวาคือผู้หญิงของพี่วินซ์”
“ถ้ารู้แล้วก็เลิกยิ้มหวาน ทำตาเชื่อมใส่แม่นี่สักทีสิ พี่เห็นแล้วจะอาเจียน”
ยิ่งพูดน้ำเสียงของวินซ์ก็ยิ่งกร้าวกระด้าง และมันก็ทำให้ขวัญชีวาสะท้านสะเทือนในอกด้วยความสะพรึงกลัว นี่ทิมจะรู้ไหมว่าเขากำลังสร้างความลำบากมหาศาลให้กับหล่อนน่ะ
“โธ่! ใจเย็นสิครับพี่วินซ์ ผมก็แค่ล้อเล่น”
“แต่พี่ไม่ชอบ” วินซ์ตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อนรักของน้องชาย ดวงตาสีน้ำเงินอมดำล้ำลึกและน่าสะพรึงกลัว
“งั้นผมไปนะครับ อยู่นานกว่านี้มีหวังสงครามโลกครั้งที่สามเกิดแน่”
ทิมอมยิ้มและค้อมศีรษะให้กับวินซ์ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หันมายิ้มให้กับหล่อนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทอดทิ้งให้หล่อนอยู่ท่ามกลางสงครามที่ข้าศึกกำลังบ้าเลือดเพียงลำพัง ขวัญชีวารีบก้มหน้ามองตักของตัวเอง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะอึดใจต่อมาเสียงเดือดดาลก็กระเด็นออกมาจากริมฝีปากสุดกระด้างของพ่อจอมมารดังลั่น
“หว่านเสน่ห์เก่งนักนะขวัญชีวา”
คำกล่าวหาของเขาทำให้คนที่นั่งหน้าซีดอยู่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมาปกป้องตัวเอง แต่พอสบประสานกับดวงตาคมกริบที่มีแต่กองไฟเท่านั้นก็จำต้องก้มหน้าลงไปอีกครั้ง ก่อนจะอุบอิบแก้ตัวออกมาเสียงแผ่วเบา
“ฉัน...ไม่ได้ทำอะไร”
“ไม่ได้ทำอะไรเหรอ ก็ผมเห็นอยู่ว่าคุณยิ้มให้เจ้าทิม ทำตาหวานใส่มัน นี่ถ้าผมไม่นั่งเป็นหัวหลักหัวต่ออยู่ตรงนี้ คุณก็คงจะกระโดดขึ้นไปคร่อมตักมันเลยใช่ไหม” ยิ่งพูดคนตัวโตก็ยิ่งหยาบคาย แถมเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เจ้าของแก้มนวลแสนจะอับอายยิ่งนัก
“คุณมันคนจิตใจสกปรก”
หญิงสาวต่อว่าเขาทั้งน้ำตา แต่ดูพ่อคุณไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เพราะเขายังคงเดินหน้าโจมตีหล่อนด้วยวาจาเจ็บแสบต่อไปอย่างไม่ลดละ
“ถึงผมจะสกปรกแค่ไหนแต่ผมก็ไม่ได้ทำเลวทำชั่วเหมือนมาเฟียตระกูลของคุณก็แล้วกัน ดังนั้นก่อนจะด่าจะว่าคนอื่น หัดส่องกระจกมองเงาของตัวเองก่อนนะว่าเป็นยังไง”
“แล้วคุณล่ะมีดีแค่ไหน ใช้อิทธิพลทำร้ายคนอื่น อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าทำไมพ่อของฉันถึงไม่ได้รับการประกันตัว คุณใช้อำนาจทำร้ายท่าน”
แทนที่คนตัวโตจะมีทีท่าสำนึกผิดบ้าง แต่เปล่าเลยพ่อเจ้าประคุณสุดหล่อหัวเราะสะใจซะงั้น ดวงตาคมกริบจ้องมองมาราวกับจะแผดเผาหล่อนให้ไหม้เกรียมกลายเป็นเถ้าธุลี
“แล้วไง...ผมทำแล้วไงล่ะ” เขาหัวเราะ และไหวไหล่กว้างทรงพละกำลังของตัวเองอย่างไม่สะทกสะท้าน
“คนใจร้าย คุณมัน...”
“เก็บปากสวยๆ ของคุณเอาไว้ให้ผมขยี้ดีกว่า เพราะไม่ว่าคุณจะสรรเสริญผมแค่ไหน ผมก็ไม่มีทางล้มเลิกความคิดแน่ พวกซีร์ยานอฟจะต้องย่อยยับ มันจะต้องตายทั้งเป็นเหมือนกับที่น้องชายของผมต้องตายอย่างไร้ค่า”
คำว่า ‘น้องชาย’ ที่หลุดจากปากของผู้ชายตรงหน้า ทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“แซนด์ เอเมอร์ตันคือน้องชายของคุณหรือคะ”
วินซ์หรี่ตามองหล่อน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“ใช่ และเขาก็ตายเพราะฝีมือมาเฟียบ้าคลั่งอย่างตระกูลของพวกคุณยังไงล่ะ”
ความคั่งแค้นเจือความเจ็บปวดทรมานที่เจือออกมากับน้ำเสียงแผ่วเบาของวินซ์นั้นทำให้ขวัญชีวาพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมวินซ์ถึงได้ร้ายกาจและจองเวรจองกรรมซีร์ยานอฟแบบนี้ เขาสูญเสียคนที่เขารักไปเพราะมาเฟีย ดังนั้นจึงไม่ผิดอะไรที่เขาจะเอาคืน
“ฉันเสียใจด้วย”
เอ่ยขึ้นจากความรู้สึกแท้จริงในหัวใจ แต่คนฟังอย่างวินซ์หาได้ต้องการความเวทนาสงสารจากใครไม่ เขาหรี่ตาแคบมองหล่อนเขม็ง ก่อนจะแค่นยิ้มหยันส่งคืนมาให้
“คำว่าเสียใจของคุณมันลบความแค้นในใจของผมไม่ได้หรอกขวัญชีวา”
“แล้วคุณต้องการอะไรคะวินซ์ อะไรที่จะทำให้คุณเลิกแค้นและปล่อยพ่อของฉันได้”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่อะไรทดแทนชีวิตของแซนด์ได้” คนตัวโตกำหมัดแน่น ดวงตาคมกริบอัดแน่นไปด้วยความคั่งแค้น
“นอกจากเลือดของซีร์ยานอฟและเซอร์คอฟเท่านั้น”
แล้วผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งสมบูรณ์แบบไปทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างวินซ์ เอเมอร์ตันก็ผุดลุกขึ้นยืนกะทันหัน เขาจ้องมองหล่อนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“กลับกันได้แล้ว”
ทิ้งคำพูดกระด้างเอาไว้แค่นั้น คนตัวโตก็ก้าวยาวๆ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ขวัญชีวาถอนใจออกมาแผ่วเบาอย่างเศร้าหมอง วินซ์ใจแข็งและร้ายกาจเหลือเกิน แล้วอย่างนี้เมื่อไรสงครามระหว่างเขากับพ่อของหล่อนจะสงบลงนะ และหล่อนจะทำยังไงดีเพื่อทำให้พ่อของตัวเองได้รับอิสรภาพแม้จะแค่ในช่วงสั้นๆ ก็ยังดี