“อ๋อ... พ่อเลี้ยงหมายถึงคุณวิไลกับลูกสาวของเธอใช่ไหมคะ”
“ก็จะใครเสียอีกล่ะป้า... ยัยสองแม่ลูกนั่นละ”
“คุณวิไลเธอเคยเป็นนักร้องอยู่ที่คาเฟ่ในตัวเมืองเชียงใหม่จ้ะ เจอกันก็เพราะคุณบัญชาแวะไปเที่ยวที่นั่นบ่อยๆ ก็เลยถูกใจกันอย่างที่เห็น”
ป้าช้อยบอกถึงที่มาของวิไลและลูกสาวของหล่อนคร่าวๆ เท่าที่ได้รู้มาจากปากของบรรดาแม่ค้าในตลาดอีกที เพราะดูเหมือนว่าผู้คนในแถบถิ่นนี้ต่างก็ให้ความสนใจกับตำแหน่ง ‘เมียใหม่’ ของเศรษฐีไร่ส้มอย่างนายบัญชาจนกลายเป็นประเด็นซุบซิบนินทาไปทั่วทั้งอำเภอ
“อ๋อ... เป็นแบบนี้นี่เอง จริงอย่างที่ผมรู้มา ที่แท้ก็เป็นพวกผู้หญิงหากินกลางคืน คอยจับอาเสี่ยเงินหนาตามเลาจน์ตามบาร์ ผมว่าอีกไม่นานคุณพ่อจะโดนสูบเลือดสูบเนื้อจนหมดตัวเข้าสักวันแน่ๆ”
เขตต์ตะวันพูดเหมือนมองเห็นอนาคตของผู้เป็นบิดา
“ว้าย! พ่อเลี้ยงอย่าพูดแบบนี้ให้คุณพ่อได้ยินเชียวนะคะ เรื่องที่ได้ยินมานั้นจริงหรือไม่จริงเราก็ไม่รู้แน่ ป้าคิดว่าเราไม่ควรเหมารวมว่าคนที่ทำงานกลางคืนจะต้องขายตัว บางทีคุณวิไลกับลูกสาวของเธออาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราฟังคนอื่นมาก็ได้นะคะ”
ป้าช้อยรีบปราม
“ก็ผมพูดความจริงนี่นา... แหม ยัยลูกสาวก็ทำตัวราวกับว่าวิเศษวิโสมาจากไหนนักหนา ที่แท้ก็เคยพากันหากินกลางคืนมาก่อน สงสัยว่ายัยแม่จะมีทีเด็ด ไม่งั้นคุณพ่อคงไม่ขลุกอยู่แต่ในห้องนอนทั้งวัน... ยิ่งช่วงข้าวใหม่ปลามันแบบนี้ก็คงฟาดกันทั้งวันทั้งคืนเล่นเอาฟ้าเหลือง”
“เอ่อ... ถ้ามันเป็นความสุขของคุณท่านก็ปล่อยๆ ไปเถอะค่ะ”
ป้าช้อยกล่าวปลงๆ
“เดี๋ยวผมจะทำให้พวกกาฝากเผ่นออกจากบ้านไม่ทันทั้งแม่ทั้งลูก... ป้าคอยดูนะ”
เขตต์ตะวันกัดกรามกรอด
“ว้าย!... พ่อเลี้ยงคิดจะทำอะไรคะ ป้าบอกตรงๆ ว่าสงสารหนูฟางข้าว”
ป้าช้อยอดไม่ได้ที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน
“ผมจะขยี้สวาทยัยลูกสาว... ”
สุ้มเสียงของพ่อเลี้ยงไม่ได้บอกว่าพูดเล่นเลยสักนิด
“อุ๊ย... สงสารหนูฟางข้าวค่ะ พ่อเลี้ยงอย่าใจร้ายนักเลย”
ป้าช้อยพูดให้คิด แต่ดูเหมือนว่าเขตต์ตะวันจะไม่สนใจเลยสักนิด
“ผมจะให้บทเรียนกับคนที่คิดว่าจะเข้ามากอบโกยทรัพย์สมบัติของคุณพ่อได้ง่ายๆ ผมจะสอนให้รู้ว่าผู้หญิงสองคนนี้มีค่าแค่โสเภณี แค่นางบำเรอชั่วคราว... พอผมกับคุณพ่อเบื่อก็จะโดนเขี่ยทิ้งด้วยการเฉดหัวออกจากบ้าน”
เขตต์ตะวันเอ่ยถึงสองแม่ลูกอย่างสาดเสียเทเสีย ก่อนที่เสียงสนทนาระหว่างเขากับแม่นมจะหยุดลงกลางคัน เพราะว่าคนที่กำลังโดนลูกชายของตัวเองนินทาเดินเข้ามาถึงห้องครัวพอดี
“หิวจัง... วันนี้มีอะไรกินบ้าง”
นายบัญชาชะโงกใบหน้าเข้ามาในครัว
“แหม... พอออกมาจากห้องนอนก็หิวเลยนะครับป๋า แต่ผมไม่แปลกใจหรอก เพราะว่าช่วงนี้ป๋าคงออกแรงเยอะเป็นพิเศษ... อิอิ”
ถ้าไม่ใช่เขตต์ตะวันก็คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าเอ่ยปากแซวนายบัญชาเช่นนี้
“แหม... แก่แล้วนี่หว่า อายุปูนนี้แล้วจะให้กำลังวังชาเหมือนคนหนุ่มๆ ได้ยังไงวะ”
นายบัญชารู้ทันว่าลูกชายแซวอะไร แม้จะยอมรับว่าตัวเองแก่ แต่อันที่จริงใบหน้าของนายบัญชาก็ยังดูอ่อนกว่าวัยอยู่มาก หากเปรียบเทียบกับผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันในวัยใกล้แซยิด
“ไวอะอร้าอย่ากินมากนะพ่อ... หักโหมเกินไปเดี๋ยวหัวใจวาย”
ลูกชายเหน็บแนม แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงจริงจัง
“เออน่ะ... รู้”
คนเป็นพ่อพยักหน้าเขินๆ นมช้อยรีบวางมือจากงานตรงหน้าแล้วหันมากล่าวกับนายใหญ่ของบ้าน
“ถ้าคุณท่านหิวประเดี๋ยวช้อยจะสั่งให้เด็กรีบตั้งโต๊ะอาหารนะคะ เย็นนี้มีแต่กับข้าวของโปรดคุณท่านทั้งนั้น”
นมช้อยเรียกนายบัญชาว่าคุณท่านด้วยความเคยชิน
“ให้ไวเลยละกันนมช้อย... ประเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วฉันจะรีบลงมา”
คนหิวข้าวจนตาลายสั่งเสียงเข้ม ได้ยินแล้วนมช้อยก็รีบกระวีกระวาดสั่งให้คนรับใช้ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวพม่าหน้าตาซื่อๆ สองคน จัดการตั้งโต๊ะอาหารเตรียมเอาไว้รอท่าในทันที
ที่ห้องนอนของฟางข้าว
“คุณแม่คะ... วันนี้หนูไม่ลงไปทานข้าวนะคะ”
ฟางข้าวรีบปฎิเสธเมื่อมารดาชักชวนให้ลงไปทานข้าวเย็นพร้อมกัน ป่านนี้นายบัญชากับเขตต์ตะวันคงนั่งรออยู่พร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร
“อ้าว... ทำไมล่ะลูก”
วิไลทำหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“หนูยังไม่หิวค่ะ”
ฟางข้าวจำต้องโกหกออกไปเช่นนั้น ไม่กล้าบอกความจริงกับมารดาว่าพ่อเลี้ยงเขตต์ตะวันคือ ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เธอไม่อยากลงไปเห็นหน้าเขา เพราะว่าร่องรอยจากจุมพิตเร่าร้อนที่เขาฝากเอาไว้ยังซ่านสยิวอยู่ในอุ้งปากของเธอทุกครั้งที่นึกถึง ริมฝีปากยังบวมเจ่อขึ้นมาน้อยๆ เป็นรอยแดงฝากเอาไว้
หลังจากฟางข้าววิ่งหนีพ่อเลี้ยงจอมหื่นเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง หญิงสาวก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกซาบซ่านอันประหลาดล้ำออกไปจากอารมณ์
เธอยอมรับว่าความซ่านสยิวจากรสชาติจูบดื่มด่ำของพ่อเลี้ยงเขตต์ตะวันยังรบกวนอยู่ในห้วงอารมณ์ซึ่งไม่ง่ายที่จะสลัดให้พ้นไปจากความนึกคิด
บ้าจริง!
ฟางข้าวนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่เผลอไผลปล่อยใจหวามไหวไปกับจูบร้อนแรงของพ่อเลี้ยงผู้ดิบเถื่อนและหยาบคายที่สุด
“ยัยฟาง... เป็นอะไรใจลอย”
วิไลรู้สึกสงสัยในอาการแปลกๆ ของลูกสาว เมื่อเห็นฟางข้าวออกอาการเหม่อลอยเหมือนไม่ได้ยินที่หล่อนกำลังถาม
“คะ... คุณแม่ว่าอะไรนะคะ?”
“นั่นไง ใจลอยจริงๆ ด้วย... แม่ถามว่าจะให้คนใช้ยกข้าวขึ้นมาให้บนห้องหรือเปล่า”
“มะ... ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวถ้าหิวแล้วหนูจะลงไปเองค่ะ”
สาวน้อยตอบอึกอักจนคนเป็นมารดาจับพิรุธได้ในน้ำเสียงและท่าทีที่ปกปิดไม่มิดว่าเธอจงใจจะหลบหน้าใครบางคน