“ พรุ่งนี้จะมีพิธีดูตัวคู่หมั้นของท่านหญิงนะเจ้าคะ รีบเข้านอนพรุ่งนี้เช้าท่านต้องตื่นมาแต่งตัวให้สมกับเป็นลูกสาวของนายท่านนะเจ้าคะ”หญิงชรามองเด็กสาววัยแรกรุ่นที่มีใบหน้าเย็นชาดั่งหิมะแรกของฤดู หญิงชราชื่นชอบให้ท่านหญิงของเธอมีรอยยิ้มบนใบหน้าสวยๆสมัยช่วงเยาว์วัยมากกว่าตอนนี้เป็นที่สุด
“ดูตัวงั้นหรือ…ท่านป้าเคยคิดบ้างมั้ยเจ้าคะ คนที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนมีหรือจะมาเป็นคู่ครองต่อกันได้”
“มีสิเจ้าคะ การคลุมถุงชนเป็นเรื่องที่ทั้งสองครอบครัวได้ตัดสินใจกันเป็นที่เรียบร้อย ไม่ใช่เพียงประโยชน์ทางการเมืองแต่เพื่อลูกหลานในรุ่นถัดไปด้วยนะเจ้าคะ”
“แต่ท่านป้า ข้าไม่คิดว่าข้าจะรับหมั้นจากผู้ชายที่เป็นถึงคนแปลกตระกูลสูงส่งได้หรอกนะ”
“ท่านหญิงอานากะ ท่านต้องลองนึกดูว่าท่านจะทำตามหัวใจหรือหน้าที่ สิ่งไหนต้องมาก่อนหรือเจ้าคะ เรื่องการคลุมถุงชนถึงช่วงแรกคู่บ่าวสาวจะไม่ลงรอยกัน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันไปนานๆทั้งสองก็จะเกิดความรักและให้กำเนิดเมล็ดชั้นดีกันมาหลายตระกูลก็มีให้เห็นกันบ่อยๆนะเจ้าค่ะ”
“ท่านนี้คงจะซื่อสัตย์กับเจ้านายของตัวเองมากเลยสินะเจ้าคะ ”
“ราตรีสวัสดิ์เจ้าคะ ท่านหญิง”
รุ่งเช้า
ข้าถูกปลุกให้ลุกขึ้นตื่นตั้งแต่สี่นาฬิกาของช่วงโก๊ะเซ็น(ตั้งแต่เที่ยงคืนถึง 11.59 น ) การเตรียมตัวพบกับแขกผู้มาเยี่ยมเยียนปราสาทไม่ว่าจะเรื่องการเจรจาทางสงครามหรือการพูดเรื่องการปกครอง ปากท้องของชาวบ้านที่อพยพหนีสงครามการฆ่าฟันมาที่เมืองแห่งนี้ และการนัดหมายคู่ดูตัววันนี้
ยุคไทโชนั้นสำหรับข้ามันช่างสงบสุขยิ่งนัก แต่ข้าพูดได้ไม่เต็มปากเพราะมันคือยุคสมัยของการเกิดสงครามที่เรียกว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวบ้านพูดกันปากต่อปากจนข่าวได้ยินเข้ามาถึงในปราสาทภายใน เขาพูดกันว่าเป็นช่วงที่พวกคนใหญ่คนโตกำลังเสพความสุขทำนาบนหลังคนยากไร้
และใช่….ข้าเห็นด้วยกับพวกชาวบ้าน ข้าเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองแห่งนี้ต้องวางท่าทางกิริยาให้เหมาะสมในสายตาทุกคนคงมองว่าข้าเป็นเด็กดีที่เชื่อฟังคำบุพการีอย่างถ่องแท้ แต่หารู้ไม่ว่าคนดีของพวกเขานั้นก็ไม่ต่างจากนกในกรงที่ต้องการอิสระ
วันไหนที่ข้ามีชั่วโมงของการจัดดอกไม้หรือเรียนมารยาทสำหรับกุลสตรี ข้ามักจะให้ตัวแทนทำให้เสมอเพราะไม่อนุญาตให้คนนอกล่วงรู้เห็นใบหน้าของท่านหญิงแห่งเรือนหลังนี้
ข้ากับพี่เลี้ยงมักจะออกไปเดินเล่นนอกปราสาทเป็นประจำ ข้าเห็นผู้คนต่างยิ้มแย้มและพูดคุยกันอย่างออกรส เด็กๆตัวเล็กตัวน้อยต่างออกมาวิ่งเล่นไล่จับกัน บ้างก็จับกลุ่มนั่งเล่นลูกข่างอย่างน่ารักน่าชัง
และบางครั้งข้าก็เจ็บปวดเวลาที่ประตูเมืองเปิดออก ประตูฝั่งทางเข้าสำหรับผู้อพยพที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อ ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนจากการหนีสงครามแย่งชิงดินแดน การมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของที่นี่ไม่ต่างจากสวรรค์สำหรับพวกเขา
“ท่านหญิงเจ้าคะ ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ”
“ท่านป้าเจ้าคะ ข้าต้องทำแบบนี้จริงๆหรือ”ข้าหันไปถามหญิงชรา นางเป็นถึงแม่นมที่คอยดูแลของแม่ของข้าก่อนที่จะได้แต่งเข้าเป็นนายหญิงของปราสาทหลังนี้
ท่านป้าไม่ได้พูดอะไร นางเพียงเดินนำข้าไปยังห้องรับแขก การนัดพบครั้งนี้ไม่ได้เหมือนงานหมั้นหรืองานแต่งที่ต้องมีผู้คนมามากมาย เป็นเพียงการมาเจอหน้าเจรจาหารือของผู้ใหญ่สองตระกูลเพียงเท่านั้น
“ขออนุญาตเจ้าค่ะ ท่านหญิงอานากะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“เชิญ เข้ามาได้”เสียงของท่านพ่อลอดออกมาจากในห้อง ท่านป้าเลื่อนโชจิออกและหันข้างในท่าพับเพียบตามมาตราฐาน
ข้าเดินเข้าไปและย่อตัวลงในท่าคุกเข่าก่อนจะขยับเข้าไปนั่งที่เบาะรองนั่งที่ว่างเยื้องกับท่านพ่อเล็กน้อย ตามธรรมเนียมของที่นี่ลูกห้ามอยู่สูงกว่าบุพการีผู้ให้กำเนิดถือเป็นการดูหมิ่น
"ข้ามีนามว่าฟุโดว ฟูมิ อานากะเจ้าค่ะ บุตรีของท่าเจ้าเมืองแห่งฟูมิเจ้าค่ะ ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ" ข้าก้มหัวลงในการแนะนำตัวกับผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย ข้าเงยหน้าก่อนจะใช้สายตาคมกริบของข้ามองดูอย่างเร็วสำรวจว่าที่คู่หมั้นในอนาคต
บุรุษแปลกหน้าว่าที่คู่หมั้นของท่านหญิงแห่งเมืองฟูมิ เจ้าของดวงตาสีฟ้าครามชายหนุ่มผู้นี้จัดว่าหน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่องพอตัว ผมยาวสีองุ่นแดงมัดเกล้ารวบขึ้นม้วนเป็นจุกอยู่ด้านหลัง สวมชุดสีแดงทองขาวเลยลงมาถึงเท้าข้างในสวมเสื้อสีขาวสีนวล สีแดงทองบ่งบอกเป็นคนมีสถานะชั้นสูงหรือมีเชื้อสายของเจ้าอยู่ในตัว คงจะเป็นเครือญาติของกษัตริย์เป็นแน่แท้
การปรากฏตัวของชายหนุ่มถือเป็นเกียรติเหล่าวงศ์ตระกูลของเจ้าเมืองฟูมิ เมืองนี้นับว่าโชคดีจากภัยสงครามเพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงและสนามรบที่เป็นจุดก่อสงครามแย่งชิงอันเป็นเหตุวุ่นวาย เจ้าเมืองอย่างฟุโดว ฟูมิ ฮิบิกิทำคุณงามความดีสั่งสมจนกษัตริย์มอบอำนาจให้มาเป็นผู้ปกครองเมืองแห่งนี้ เหตุเพราะประชาชนต่างยกย่องเขาและให้เขาได้ใช้เวลาที่สงบสุขมากกว่าเข้าเชิงรบศึกสงคราม
ว่ากันว่าเมืองฟูมิแห่งนี้เปรียบเสมือนที่พักพิงอันสงบสุขของประชาชนผู้ยากไร้ ผู้อพยพ หรือผู้ที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่จากการหนีภัยสงครามเพราะฟุโดว ฟูมิ ฮิบิกิผู้เป็นเจ้าเมืองต้องการทำให้เมืองของเขาเป็นสถานที่เยียวยาจิตจ ผู้คนต่างอยู่อย่างมีความสุข ไร้สงครามทำให้ข่าวลือต่างแพร่สะพัดไปทั่วหัวเมืองต่างๆ มีผู้คนอพยพเข้ามาที่เมืองฟูมิในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก
สมัยที่เจ้าเมืองยังหนุ่มๆ เขาใช้สติปัญญาที่เจนจัดด้านสงครามนำมาพัฒนาเมือง เขามองการณ์ไกลเห็นว่าถ้าที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่อย่างเขานึกฝันไว้ ต้องมีการเพิ่มพื้นที่การขยายอาณาเขตออกไปให้มากที่สุด เขานำทหารและเหล่าประชาชนที่มีใจร่วมรบกับเขาออกไปล่าแผ่นดินนอกรอบของตัวเมือง
จนเมืองแห่งนี้มีเนื้อที่ขยายกว้างจนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นรองเมืองหลวงเลยก็ว่าได้ ความสงบสุขและความเจริญ สิ่งสวยงามเริ่มเข้ามาสู่เมืองแห่งนี้มากขึ้นคงเป็นเพราะนายหญิงแห่งคฤหาสน์ฟูมิที่เพิ่งมีการจัดพิธีแต่งงานได้ไม่นานหลังจากการขยายเมืองออกไปให้หลังสองปีต่อมา รินะ มิโยโกะ หรือชื่อฟุโดว ฟูมิ มิโยโกะภรรยาอันดับหนึ่งนางเดียวของท่านเจ้าเมือง นางเปรียบเสมือนดอกไม้งามของเมือง ประชาชนต่างรักรอยยิ้มของนาง แสงสว่างของเมืองเป็นที่นับหน้าถือตาของคนใหญ่คนโต นางมักจะออกมาจากปราสาทเยี่ยมเยียนเหล่าผู้คนของเมือง ถามความเป็นอยู่ของผู้คนที่นางไปเจอ
ไม่นานข่าวที่ว่าแม่ดอกงามได้ให้กำเนิดบุตรีก็ประกาศไปทั่วเมือง ประชาชนต่างแห่มาที่หน้าปราสาทเพื่อมาแสดงความยินดีกับนาง และต้องการยลโฉมลูกสาวของดอกไม้งาม เจ้าเมืองตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาของเขาคลอดลูกสาวออกมาเขามักจะออกว่าราชการน้อยลงเพื่อยกเวลาทั้งหมดให้กับภรรยาและลูกสาวตัวน้อยของเขา
หลายปีผ่านไปจากทารกก็เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาววัยหกขวบหน้าตาน่ารักน่าช่าง กลายเป็นภาพปกติของประชาชนที่ทุกวันจะมีขบวนรถม้ามาจอดอยู่สวนดอกไม้ที่ถูกครอบไว้เป็นเรือนกระจกอยู่ในใจกลางของเมือง เป็นสถานที่โปรดของนายหญิงที่มักจะพาลูกสาวตัวน้อยและสามีที่มักจะติดตามนางมาเพื่อใช้เวลาอยู่กับพวกนางทั้งสองก่อนจะออกไปปฏิบัติราชการ ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นในการใช้ชีวิตที่สงบสุขของเมืองนี้ แต่ไม่นานความสุขที่ว่านั้นก็พลันมลายจางหายไป
หนึ่งปีถัดมาข่าวที่ว่าดอกไม้งามแห่งฟูมิเกิดล้มป่วยนอนซมอยู่ที่เตียงตลอดอย่างไม่มีสาเหตุ ข่าวที่ปิดไม่มิดจากการพูดคุยของบ่าวข้ารับใช้ในคฤหาสน์ที่เล็ดลอดออกมาจนชาวบ้านต่างก็รู้ทั่วหน้า ทุกคนต่างนำดอกไม้ไปสักการะที่รูปปั้นเทพเจ้าของเมืองอธิษฐานให้นายหญิงปลอดภัยายจากอาการป่วย
แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นตามคำขอเมื่อมีลางบอกเหตุ มีการบุกรุกภายในปราสาทเกิดขึ้นในคืนหนึ่งกลุ่มโจรบุกเข้ามา แต่ไม่นานเกินรอก็ถูกปราบปรามจนหมดสิ้น เจ้าเมืองโกรธมากที่ไม่รู้จุดประสงค์ของการบุกเข้ามาในปราสาทในครั้งนี้ ภรรยาของเขาที่นอนป่วยตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ล้มป่วยอาการหนักกว่าเดิมจากภาวะจิตใจ เขาเลยสั่งให้ทหารตัดศีรษะโจรพวกนั้นไปเสียบประจานอยู่ที่หน้าประตูเมือง
ไม่นานลางบอกเหตุก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ แม่ดอกไม้ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ เสียงเศร้าโศกเสียใจดังระงมไปทั่วไปปฐพี หลังจาหเหตุการณ์นั้นทำให้เมืองทั้งเมืองถูกปิดตาย ทหาถูกวางกำลังล้อมเมืองเพิ่มความปลอดภัยมากกว่าเท่าตัว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าหลังประตูเมืองนั้นเกิดอะไรขึ้น เหตุที่ต้องทำแบบนี้เพราะเจ้าเมืองไม่ต้องการให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนนี้สิ่งมีค่าในชีวิจของเขารองจากภรรยาที่ตนรักถัดมาคือบุตรสาวของตน
เสียงเล่าขานประวัติศาสตร์ของเมืองที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของท่านหญิง นางไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านพ่อและญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายพูดถึงไหนกันแล้ว รู้ตัวอีกทีเสียงเรียกของเจ้าเมืองก็ดังขึ้นอยู่ตรงหน้า
“อันนะ อันนะ…เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือลูกสาวข้า”
“ข ข้าสบายดีท่านพ่อ เพียงแต่ข้าเพียงคิดะไรเพลินๆ ไปหน่อย ต้องขออภัยที่ข้าทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าทุกท่าน ท่านพ่อ ท่านลุง และท่าน….”
อานากะหรืออันนะ วาดมือไปข้างหน้าโค้งศีรษะลงเล็กน้อบเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส เธอไม่ได้ฟังว่าว่าที่คู่หมั้นของเธอมีื่อเรียกว่าอะไรจึงไม่กล้าเอ่ยนาม
“ข้ามีนามว่าโอดะ อิซาโอะ มาซารุ เรียกข้าว่ามาซารุเถอะ ท่านหญิง” มาซารุที่นั่งอยู่ด้านหลังญาติผู้ใหญ่ฝั่งเขา ตลอดเวลสที่ผู้ใหญ่ทั้งสองพูดคุยเขาเองก็แอบมองเพื่อยลโฉมว่าที่เจ้าสาวของเขาในอนาคตว่าจะจริงอย่างที่ผู้อื่นร่ำลือกันหรือไม่
บุรุษผู้มีศักดิ์เป็นถึงเครือญาติของผู้ปกครองประเทศยังคงมองหญิงสาวไม่วางตาจนดูเป็นการเสียมารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่ ดวงตาสีฟ้าครามของชายหนุ่มที่ดูจดจ้องด้วยท่าทางเย่อหยิ่งไม่สบอารมณ์ท่านหญิงอันนะเท่าไหร่ นางเองก็ไม่ได้เป็นรูปปั้นที่นั่งไม่รู้สึกรู้สาถึงสายตาที่มองมาที่เธอ
“ไม่เป็นไรหรอกท่านหญิง ข้าเข้าใจว่าคนวัยหนุ่มสาวช่วงนี้คงมีเรื่องให้คิดเยอะนะขอรับโดยเฉพาะการที่เราทั้งสองตระกูลกำลังจะได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันเยี่ยงนี้ ข้าน้อยรู้สึกภูมิใจแทนบรรพบุรุษเป็นอย่างยิ่ง” ผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายพูดขึ้น
“ลูกคงเบื่อที่จะฟังการเสวนาของผู้ใหญ่อย่างพวกพ่อเป็นแน่ ลูกออกไปรับลมเล่นดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ งั้นข้าขอตัว”
หญิงสาวรับคำผู้เป็นพ่อก่อนขอตัวออกจากวงเสวนาของพวกผู้ใหญ่ อันนะเดินตามทางเดินตรงกลับไปที่ห้องของเธอ แต่ขาเจ้าก็หยุดเดินชั่วขณะเพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเธอเดินเร็วเกินไป คงดูไม่เหมาะสมสำหรับลูกสาวของเจ้าเมืองและเมื่อมีคนมายืนบังเส้นทางเดินของเธอ
“ท่านโอดะ!”
คนที่มายืนขวางทางเดินของท่านหญิงแห่งตระกูลฟูมิไม่ใช่คนไกลที่ที่ใดคือว่าที่คู่หมั้นของเธอนั่นเอง ชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มหน้ามื้นชื่นบานเมื่อเห็นใบหน้าตกใจของว่าที่คู่หมั้น ใบหน้าหวานเบนสายตาจากร่างสูงหันข้างมาทางพี่เลี้ยงทั้งสองที่ติดตามเธอมา พี่เลี้ยงทั้งสองต่างรู้หน้าที่นี่ดี
“ท่านโอดะ ข้าเกรงว่าท่านทำแบบนี้ดูไม่เหมาะสมกระมังเจ้าค่ะ” มายุพี่เลี้ยงเอ่ย
“ข้าต้องขอโทษด้วยท่านหญิง ข้าเพียงต้องการคนนำทางพาเยี่ยมชมปราสาทหลังนี้เท่านั้น พอดีที่ท่านหญิงออกมา ข้าเลยถือโอกาสมาขอให้ท่านช่วยพาข้าเยี่ยมชมที่นี่” เสียงทุ้มดูหยิ่งยโสโอหังของชายหนุ่มเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่เขาหมายปองน้ำเสียงกลับแตกต่างจากทุกทีขณะที่สายตาเบนไปทางพี่เลี้ยงของนางเพื่อข่มไม่ให้ผู้ใดเข้ามาสอด พี่เลี้ยงทั้งสองได้แต่ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตา
“ท่านโอดะเจ้าคะ ข้าเกรงข้าว่าจะล่วงเกินท่านแล้ว แต่ในช่วงนี้ข้าต้องไปเรียนการจัดดอกม้เกรงว่าท่านคงมาเสียเที่ยงแล้วกระมัง ข้าขอแนะนำให้ท่านหาผู้อื่นพาเยี่ยมชมเถิด ข้าขอตัวเจ้าค่ะ”
โอดะ อิซาโอะเห็นอีกฝ่ายกล่าวลาเขาเลยหลบทางให้อีกฝ่ายได้เดินต่อทำได้เพียงมองตามหลังท่านหญิงจอมเย็นชาที่เดินกลับไปยังเรือนข้างในจนไร้เงา เขายกพัดที่ซ่อนไว้ภายในเสื้อออกมากางก่อนจะอมยิ้ม “น่าสนใจจริงๆ ท่านหญิงผู้นี้ช่างไม่เหมือนผู้ใดที่ข้าเคยพบมาก่อน