บทนำ
*は、**のように*かい*だ。
“เขาเป็นคนที่อบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์”
(นั้นเป็นประโยคที่ผุดขึ้นมาในจิตใจของข้าเมื่อได้พบกับเขาครั้งแรก)
การที่พวกเราได้มาพบเจอกันนั้นไม่ใช่ "ความบังเอิญ" จะมีก็เพียงแต่ "พรมหมลิขิต" คนเราถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่
เต็มใจได้ แต่ไม่มีใครจะสามารถหยุดยังพันธะแห่งพรหมลิขิตได้ การถูกพรากจากกันนั้นมันเป็นเรื่องปกติเพราะ
ทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว คนสองคนคือของคู่กัน ท่านหญิงนางหนึ่งที่ถูกหมั้นหมายด้วยเส้นด้ายสีแดงอันบางเบา
กับชายหนุ่มคู่หมั้นนิรนามผู้ที่บิดาเลือกมาให้ เธอถูกจองจำอยู่ในกรงขังด้วยความเต็มใจ เธอเพียงแค่หวัง…..เธอ
หวังว่าสักวันจะมีคู่แห่งโชคชะตาที่มีด้ายแดงเส่นใหญ่เหมือนดั่งของเธอมาช่วยปลดล็อคกรงขังอันน่าเบื่อของชีวิต
สุดท้ายท่านหญิงจะเลือกอะไรระหว่าง ‘โชคชะตา’ หรือ ‘พรมหมลิขิต’แห่งพันธะสัญญา
“แฮก…แฮกๆ …"
เสียงหอบหายใจท่ามกลางพื้นดินที่เฉอะแฉะ ทัศนวิสัยไร้การตอบสนอง
วิ่งเข้าไป วิ่งให้ไวเท่ากับความเร็วของสายน้ำที่ไหลผ่าน
เสียงหอบหายใจจากความเหนื่อยท่ามกลางพื้นดินที่เฉอะแฉะแบบเฉียบของคืนที่ฝนตก มีร่างบางสวมกิโมโนสีขาวบางกำลังวิ่งด้วย
ความเร็วเพื่อหนีจากบางสิ่ง ใบหน้าที่ต้องควบคุมความกังวลและความสั่นสะเทือนในร่างกาย เธอพยายามมองหาทางออกและยินเสียง
ของธาราเส้นน้ำที่ไหลผ่านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก จึงวิ่งไปให้ไวตามสายน้ำ จังหวะการหายใจขึ้นลงตามแรงวิ่งการสั่นสะเทือนของหน้า
อกแบบเฉียบแหลม ในขณะที่ทัศนวิสัยไม่มีการตอบสนองร่างบางกำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงและอาจต้องพบกับอันตราย
ตลอดเวลา
“หาตัวนางให้เจอ!”
“ค้นที่นี่ให้ทั่ว อย่าให้เว้นแม้แต่หลังพุ่มไม้หรือก้อนหินเด็ดขาด!”
“ขอรับ!”
กุบ! กับ! กุม! กับ!
คืนที่พระจันทร์ขึ้นสุดฟ้าเต็มดวง ท่านหญิงบุตรีของเจ้าเมืองกำลังวิ่งอยู่ในป่าเข้าไปตามลำพัง จากกลุ่มของทหารที่กำลังตามไล่ล่าตัวเธออย่างสุดชีวิต เพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง และก็หวังว่าจะหาทางออกจากสถานการณ์นี้ได้เร็วที่สุด แต่หญิงสาวก็ไม่มีทางออกที่สามารถหลีกเลี่ยงพวกทหารที่ระดมกำลังพลมาเพื่อตามล่าตัวเธอได้
ทำให้เธอต้องหลบหนีไปในป่าที่ต้องห้ามเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมไว้ แต่หญิงสาวไม่รู้ว่าพื้นดินที่เธอกำลังเหยียบย่ำเข้ามานี้คือป่าที่มีเรื่องเล่าขานตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในละแวกนี้ที่ต่างก็รู้ดี ถ้าเป็นคนพื้นที่มีหรือจะย่างกายเข้ามาในที่แห่งนี้มีเรื่องเล่าต่างๆอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็กตัวเล็กทุกคนต้องหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามาเล่นในป่า เธอหวังว่าจะพ้นจากเหตุการณ์อันตรายได้เร็วที่สุดที่เป็นไปได้
"ท่านหญิง! หายไปไหนแล้ว?" พวกทหารที่ระดมตัวตามหน้าที่เพื่อจับกุมท่านหญิง เธอไม่สามารถหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ทำได้แต่ต้องวิ่งต่อไปข้างหน้าเท่านั้น
ร่างบางสวมยูกาตะสีขาวคลุมด้วยฮะโอริแจ๊คเก็ตสำหรับสวมทับกิโมโนเสื้อตัวหนาสีน้ำเงินลายปลาคราฟ หลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่อาศัยความมืดของเมฆหนาที่เคลื่อนตัวมาบดบังแสงจันทร์ พรางตัวหลบซ่อนจากกลุ่มคนที่กำลังไล่ล่าเธอ ท่านหญิงกลับหันไปมองที่เพลิงที่ไหม้เดิมๆอย่างเศร้าหมองพลางนึกในใจ
‘อนึ่งที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้า ที่เคยเป็นที่อยู่ของคนในครอบครัวข้า และตอนนี้กลับถูกทำลายไปหมดสิ้น ข้าไม่อาจแสดงความเสียใจที่ใจฉันออกมาได้ด้วยคำพูดเพราะความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกมันมากกว่าเกินกว่าจะบรรยายออกมา ทุกคนที่อยู่ที่นั่น ทุกคนที่เคยเป็นเพื่อนของข้า หายไปแล้ว…… ข้าไม่รู้ว่าจะไปทำอย่างไรต่อไป ข้าเห็นมากับดวงตาคู่นี้ว่าทุกอย่างที่ข้ามี ทุกอย่างที่ข้ารักกำลังไหม้ไปในเพลิงนี้ และข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย’
ในสมัยก่อนปราสาทของเจ้าเมืองในญี่ปุ่นถือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและเป็นสถานที่สำคัญในการปกครองและบริหารราชการ ด้วยความสำคัญของมันปราสาทของเจ้าเมืองมักจะมีขนาดใหญ่และสวยงาม รวมไปถึงการประดิษฐ์และตกแต่งด้วยศิลปะศาสตร์อีกหลายแขนงด้วย
เมื่อหญิงสาวหันกลับไปมองปราสาทที่ถูกเพลิงลุกไหม้ขนาดใหญ่ เธอเห็นว่าส่วนใหญ่ของโครงสร้างมันยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ แต่ส่วนใหญ่ของบ้านเรือนและโครงสร้างที่ตั้งอยู่ภายในปราสาทนั้นถูกทำลายไปหมด การที่ปราสาทถูกทำลายเป็นสัญลักษณ์ว่าอำนาจและความเป็นมากับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นไม่สามารถทนได้ หลายสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของมนุษย์สามารถถูกทำลายได้ทั้งโดยธรรมชาติและโดยเฉพาะฝีของมนุษย์ด้วยกันเอง
หญิงสาวเผชิญกับการหลบหนีจากเหล่าทหารที่ตามล่าเธออย่างไม่มีพักตลอดคืน นอกจากนั้นเธอยังต้องเผชิญกับความกลัวและความไม่แน่ใจว่าเธอจะเป็นอย่างไรหากไม่สามารถหลบหนีได้ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเช่นอาหารและน้ำไม่เพียงพอ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในป่าลึก
เธอใช้ประสาททั้งห้าพยายามเพ่งสมาธิจดจ่อหาการเคลื่อนไหวแปลกปลอมรอบตัว เธอกลัวจะถูกศัตรูจับได้ เพียงนิ่งเงียบไม่ขยับไหวติงเพื่อลดความเสี่ยงในการเรียกความสนใจ
“เจอตัวแล้ว!”
หญิงสาวตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ได้เมื่อเสียงตะโกนดังอยู่ใกล้มาก เธอถูกจับได้แล้วงั้นเหรอ?
“อ้อมไปทางนู้น!”
“จับตัวมาให้ได้”
“หนีไปแล้ว!”
โชคดีเหลือเกินที่ไม่ใช่เธอ คนที่พวกนั้นพูดถึงเป็นเพียงกลุ่มชาวบ้านที่อพยพหนีเพลิงไหม้จากตัวเมืองเพื่อหาเส้นหลบหนีไปที่เมืองอื่นถึงกระนั้นใช่ว่าเธอจะวางใจได้ มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในหัวก่อนเธอจากมา
"วิ่งต่อไป! อย่าหันหลังกลับมา! ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ไม่ต้องกลัวอะไร! ข้าสัญญาว่าจะกลับไปหาท่านแน่นอนขอรับท่านหญิง! "
“อ๊ะ โอ๊ย ขาของข้ามัน…” หญิงสาวตั้งใจหนีออกไปให้ห่างจากพวกทารให้มากขึ้น แต่เธอเพิ่งดันรู้สึกถึงความเจ็บที่แล่นมายังปลายเท้าของเธอ เธอคงวิ่งอย่างสุดแรงเกิดจนไม่ได้สังเกตถึงอาการบาดเจ็บที่เท้าของเธอเลย
“ไม่ได้ ข้าจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว ข้าไม่สามารถ…อึก….ที่จะมานั่งทำตัวเป็นหุ่นเชิดได้อีกแล้ว”
เธอดึงพลังของตัวเองออกมา พยายามรักษาสมดุลค่อยๆ เดินจากต้นไม่อีกต้นไปยังอีกต้น ถึงจะไม่สะดวกต่อการเคลื่อนไหว ยังไงก็ตามดีกว่าจะมัวมานั่งแอบเฉยๆ รอให้พวกนั้นจับได้เธอไม่ยอมเด็ดขาด
แผลสดจากการถูกกิ่งไม้ใบหญ้าบาดจากการวิ่งหลบหนี และหัวเข่าถลอกจากการล้มลุกคลุกคลานสุดชีวิตเท่านี้ก็สาหัสสำหรับร่างบางเต็มที
“อึก….เจ็บจังเลย ทำไมตอนที่วิ่งหนีลูกระเบิดออกมาข้าถึงไม่ยักกับรู้สึกเจ็บเลยนะ” เธอประคองตัวเองเดินมาจนถึงแม่น้ำสายเล็กๆ กลางป่า อีกฟากของแม่น้ำคือป่าทึบที่ถูกเล่ากันมาเป็นจากเรื่องเล่าสยองขวัญว่าที่นี่มีเหล่าปีศาจที่อาฆาตแค้นมนุษย์อาศัยอยู่เป็นเขตที่ไม่มีใครอยากก้าวเท้าเข้ามา
“ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าต้องมาถูกฆ่าด้วยเงื้อมมือของพวกศัตรูก็ยังดี ปีศาจก็ปีศาจเถอะ….ในตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว” เธอค่อยๆ ก้าวเท้าเดินลงแม่น้ำ แม่น้ำนี้ไม่ลึกเท่าไหร่สูงเพียงระดับเอวของหญิงสาว เพียงไม่กี่อึดใจก็ข้ามมาอีกฝั่ง
“แฮก…แฮก..” เสียงหอบหายใจจากความเหนื่อยล้าและอาการบาดเจ็บจากแปลต่างๆ บนร่างกายเสมือนยาพิษบั่นทอนร่างกายทีละเล็กทีละน้อย ไม่นานดวงตาคู่สวยเหลือบเห็นแสงไฟจากคบเพลิงกลุ่มไม่ใหญ่มากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เธอรีบเดินเท่าที่จะทำได้เพื่อเข้าไปหลบอยู่ในป่ารกทึบนี้ให้ลึกที่สุด
เหนือศิลาที่สูงใหญ่ของต้นไม้ขนาดใหญ่ที่หักโค่นลงจากอายุที่อยู่มานานจนรากที่ฝั่งอยู่ข้างล่างไม่สามารถยึดไหวมาจนเป็นโพรงจากธรรมชาติที่ต้องการนำมันกลับมาสู่ผืนดิน หญิงสาวเลือกที่จะหลบภายในโพรงขนาดใหญ่ของต้นไม้ที่ถูกโค่นลงมาจากพายุ นั่งกอดเข่าอยู่ไม่นานเสียงที่ดังสะท้อนจากการเอาแก้มแนบพื้นดินบกบอกถึงมีการเคลื่อนไหวของฝีเท้ามากมาย เสียงกลุ่มทหารดังขึ้นเรื่อยๆในทิศทางเดียวกัน
บางครั้งก็ขึ้นเป็นเสียงตะโกนที่เข้ามาตามไปด้วยเสียงฉาบฉวยที่ตะโกนว่ากันเองต่างในทุกๆทิศทาง หญิงสาวจึงต้องรีบหาทางเข้าไปในป่าที่มีเรื่องเล่าของภูต ผี ปีศาจสิงสถิตย์อย่างเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพบเห็นจากทหารมากมายที่กระจายอยู่รอบๆวงล้อม
แกร็บ…..กร็อบ….. แกร็บ
เสียงเหยียบใบไม้ หรือกิ่วไม้แห้งของฝีเท้าดังจากทางด้านหลัง หญิงสาวขนลุกทั้งตัวเป็นไปไม่ได้ที่พวกทหารจะตามเธอมาเร็วได้ถึงเพียงนี้ เธอคาดการณ์ไว้แล้วอีกอย่างเสียงฝีเท้าการเดินก็ไม่เหมือนของทหาร การจะหาตัวเธอเจอนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเธอมีเสื้อคลุมตัวใหญ่สีที่กลมกลืนไปกับราตรียากมากที่จะมองเห็นในยามนี้ หญิงสาวเร่งฝีเท้าข้างขวาให้มากขึ้นทดแทนแรงของเท้าซ้ายที่บาดเจ็บ
เธอหันกลับมองไปด้านหน้าและรีบวิ่งหนีไปในทิศทางตรงข้ามกันกับเสียงฝีเท้าที่เธอได้ยิน หญิงสาวเห็นเจอโพลงของต้นไม้ที่โค่นลงมาอีกครั้ง เธอคิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินจึงรีบเข้าไปหลบ
‘ดีหล่ะ..ข้าจะรอดูหน้าของคนที่ตามข้ามา ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าคงต้องจัดการสินะ’
หญิงสาวคิดแผนในใจที่เหมือนจะเพิ่งคิดมาสดๆ สำหรับการเอาตัวรอดในสถาการณ์น่าสิ่งน่าขวางแบบนี้ ค่อยๆ หมอบลงและหยิบมีดสั้นออกมาจากฝัก เธอจะใช้มีดสั้นในการป้องกันตัวเองถึงจะเป็นเพียงอาวุธสั้นๆแต่ก็หาไร้ประโยนช์ไม่ และเธอต้องคิดหาทางหลบไปยังเส้นทางน้ำที่เธอได้ยินเสียงก่อนหน้านี้
ไม่นานเกินรอสัมผัสที่แตะที่แผ่นหลังของเธอเย็นเฉียบ ไม่ต้องนับเลขในใจ หญิงสาวหันคมมีดเข้าหาศัตรูทันที!
“แฮร่!…”
“กรี๊ดดดด”
ใบหน้าเห่ยเก รูปร่างเหมือนมนุษย์แต่ใยเนื้อตัวของเขาเหมือนคนที่ตายแล้วฟื้น สีผิวซีดและที่น่าตกใจเธอมั่นใจว่าเธอได้ลงมือแทงเข้าที่ร่างกายของคนตรงหน้า ไร้รอยแผลและกลิ่นคาวเลือด
‘อย่าบอกนะว่า….วิญญาณ’
หญิงสาวนิ่งอึ้งไม่ไหวติง แต่จนแล้วจนรอดติก็กลับมาเพราะเสียงของทหารม้าที่เข้ามาใกล้มากแล้ว แสงคบเพลิงที่ห่างจากตัวเธอไม่กี่ิบก้าว เธอตัดสินใจถีบสิ่งมีชีวิตประหลาดตรงหน้าและออกวิ่งทันที
‘ไม่เจ็บเลย ขาของข้าหายแล้วแน่ๆ’
หญิงสาวปลอบใจตัวเอง ทั้งๆ ที่ความจริงเกิดจากความกลัวตายทำให้ร่างกายตื่นตัวจนชา วิ่งไปเรื่อยๆ จนสับสนทิศทาง
“แสง แสงสว่าง ข้าเจอทางออกแล้ว” เหมือนเป็นสัญญาณที่ดี ร่างบางเร่งฝีเท้าห้เร็วมากขึ้น เสียงฝีเท้าจากด้านหลังยคงไล่ตามเธอมาอยู่ดีพร้อมกับส่งเสียง
“นางอยู่นั่น!”
“จับนางเลย!”
“ล้อมไว้!ๆ”
หัวใจสูบฉีดอย่างแรง จังหวะการเต้นของชีพจรรัวเร็ว อีกนิดเดียวจะถึงแสงสว่างที่ว่านั่นแล้ว กล้ามเนื้อขาเองก็คงมาถึงขีดจำกัดทำให้เธอไถลไปทั้งตัว
“ข้ารอดแล้ว” เด็กสาวหรี่ตาเพราะแสงข้างหน้าสว่างจ้ามาก หญิงสาวพึมพำออกมาจากปากที่ซีดเพราะขาดน้ำ เธอก้มหน้าหลับตาเอหัวซบกับแขนที่พื้น เธอรู้สึกว่าได้ว่าพวกนั้นไม่ตามเธอมาแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าที่นี่คือป่าน่ากลัวที่มีเรื่องเล่าเธอจะนอนแผ่อยู่ที่นี่ให้หายเหนื่อยไปเลย
อิสระ…..
คำนี้ช่างหาได้ยากนักสำหรับหญิงสาวในตอนนี้
“เจ้าคิดว่าเจ้าทำอะไรอยู่”
!!!
‘ไม่นะ! เป็นไปไม่ได้’
เสียงที่เหมือนเข็มตอกทะลุหัวจนกระทั่งยังคงอยู่ในหัวใจ น้ำเสียงที่เธอต้องยอมจำไว้เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืม ภาพตรงหน้าเป็นเหมือนเงาสะท้อนตัวเธอที่บอกให้เธอเห็นว่าต้องเผชิญหน้ากับความจริง แม้ว่าแสงสว่างจะบอกให้เธอเห็นว่าเช้าวันใหม่ แต่หน้าผาสูงชั่นที่มีแม่น้ำสายใหญ่รอพาความตายมาให้เธอ เปรียบเหมือนกับการเผชิญหน้ากับความยากลำบากและภัยคุกคามในชีวิต ซึ่งมักจะเป็นสำหรับคนที่ไม่ยอมหันไปที่อื่น แต่ต้องหาวิธีรับมือและเอาตัวรอดในสถาการณ์ที่อยู่ในกระแสของชีวิต
“เจ้าคิดว่าจะหนีรอดหรือ ข้าไม่ดีตรงไหน! เจ้าถึงหนีข้าไป!” เสียงสวบสาบเดินเข้ามาใกล้ เด็กสาวยังคงอยู่ในท่านั่งหันหลังให้กลับเสียง เธอก้มหน้าลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ฝ่ามือทั้งสองกำดินเข้าหาหันแน่น ร่างบางสั่นเล็กน้อยเหมือนลูกไก่ที่ตกอยู่กำมือของสัตว์ใหญ่กว่า
ตลอดสามวันสามคืนเพื่อหลบหนีจากเหล่าทหารที่ตามล่าตัวเธอ แม้ว่าเธอจะเดินผ่านป่าลึกๆ และเจอกับสภาพแวดล้อมที่ทำให้เธอหวาดหวั่นอย่างมาก แต่เธอยังคงเข้าใจถึงความสำคัญของการหนี ว่าการเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอต้องดำเนินการให้ได้เพื่อรอดชีวิตของตัวเอง สุดท้ายเธอเห็นเส้นทางที่จะช่วยให้เธอหนีจากพวกทหารได้ เพราะเธอเชื่อว่าเธอจะมีอนาคต มีช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตกับคนที่เธอรัก แต่ไหงเธอถึงต้องถูกโซ่ของชะตาผูกติดลากเป็นตรวนหนากับดวงจิตของเธอแบบนี้กัน ใยเธอถึงไม่มีสิทธิ์กำหนดชีวิตของตัวเองโปรดวอนขอให้เบื้องบนมอบความเมตตาแก่มนุษย์ผู้หนึ่งด้วยเถิด
‘คามิสามะ ได้โปรดช่วยข้าด้วย’