หลังจากเหตุการณ์ที่คนบุกเข้ามาในปราสาท ทำให้ท่านหญิงบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของท่านเจ้าเมืองฟูมิถูกกักบริเวณไว้ในห้องของตัวเอง ตามคำสั่งของผู้บิดาขี้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกสาวของเขา หญิงสาวต้องทำตามคำสั่งของพ่อโดยยอมรับสภาพเหตุการณ์ไว้อย่างเงียบๆ พี่เลี้ยงของตนทั้งสองคนทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแล้วแต่ท่านหญิงของพวกเธอจะสั่งในเขตของห้องเท่านั้น
อันนะที่ได้แต่นั่งนิ่งมองใบไม้ปลิวหล่นลงมาจากต้นไม้นอกห้องของตัวเองก็หวนนึกถึงดวงตาที่สวยงามของชายตัวการต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องถูกกักบริเวณ เธอรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างในอกที่เต้นออกมาจากหัวใจ แต่เธอไม่อาจบอกได้ว่าเป็นพลังงานด้านลบหรือด้านบวกกันแน่
บิดาของเธอได้ออกคำสั่งให้เหล่าผู้รับใช้และเหล่าทหารเวรจับตาดูบุตรสาวให้ดี และมีการเตือนว่าหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้จะถือว่าเป็นการละเมิดและอาจถูกพิพาทหรือโทษประหารได้ รายงานทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวให้บิดาประเมินความเสี่ยงและความปลอดภัยของลูกสาวตลอดเวลา และเฝ้าระวังเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสาวทำการลอบออกไปนอกปราสาทในเวลาที่ไม่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดใดๆ เกิดขึ้นทั้งหมดนี่คือหน้าที่เท่าที่คนเป็นพ่อจะทำได้
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่เลี้ยงทั้งสองยังคงวุ่นอยู่กับการขนหนังสือเล่มหนาสองสามปึกเข้ามาที่ห้องของอันนะ พ่เลี้ยงเองก็ตามใจท่านหญิงของพวกเธอเพื่อให้อันนะได้หาอะไรทำแก้เบื่อและไม่ให้เผลอไปคิดออกไปเที่ยวนอกปราสาท หญิงสาวคิดว่านี้ก็ผ่านมานานแล้วหลังจากเหตุการณ์ที่คนลอบเข้าปราสาท เธออ่านหนังสือ เรียนอย่างหนักตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน ก่อนหน้านี้เธอเองเห็นเงาปริศนาของคนคนเดิมยืนอยู่ที่หลังคาของเรือนสอบสวนที่หันหน้ามาทางห้องของเธอพอดีเลย หญิงสาวคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไปเพราะช่วงนี้ทำตัวให้ยุ่งใช้สายตาในการจดจ่ออยู่กับตัวอักษรมากเกินไปจนเผลอคิดไปเอง
“อันนะ”เสียงของเจ้าเมืองที่มีอ**บทบาทหนึ่งคือพ่อของหญิงสาว เรียกเธอที่ดูเหมือนเหม่อลอยคิดอะไรอยู่คนเดียว ความจริงก่อนหน้านี้พี่เลี้ยงทั้งสองบอกเธอว่าวันนี้บิดาจะมาเยี่ยม เธอลืมไปแล้วถึงได้ทำหน้าตกใจ
“เจ้านี่ขยันหาความรู้ซะจริง พ่อต้องขอบคุณมิโยโกะสินะ แม่ของลูกมักจะสรรหาหนังสือมาสะสมและคอยนั่งอ่านเป็นเพื่อนเจ้าทุกครั้งที่พ่อออกไปว่าราชการ”ฟุโดว ฟูมิ ฮิบิกิหยิบถ้วยชาที่ลูกสาวรินให้ยกขึ้นดื่ม ก้มมองใบชาที่ลอยแกว่งไปมาในถ้วย
“ท่านแม่มักจะสอนสิ่งใหม่ๆให้ข้าเสมอ ท่านมักจะพาข้าออกไปนอกปราสาทพบปะผู้คนเพื่อที่ภายภาคหน้าที่ข้-”
“อานากะ พ่อว่าเราหยุดพูดเรื่องพวกนี้ดีกว่า พ่อคิดว่าลูกลองไปเรียนวิชาจัดสวนกับอาจารย์มาฝีมือดีหรือไม่ พ่อจะให้อาจารย์จากวังหลวงเดินทางมาที่นี่เพื่อเป็นผู้ฝึกสอนเจ้า ลูกคิดเห็นว่าอย่างไร”หญิงสาวหันมาทางผู้เป็นพ่อด้วยท่าทางเรียบร้อยตามที่ได้เรียนมา
“ท่านพ่อข้าคิดว่าการเรียนด้านการบ้านเรือนสำหรับข้าแล้วถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ขอท่านพ่อได้โปรดเข้าใจด้วยว่าความสามารถบางอย่างข้านั้นมิอาจฝืนได้เช่น การจัดสวน หรือการเรียนชงชา….”
“อันนะ…..พ่อรู้ว่าเจ้าอยากออกไปข้างนอกปราสาท แต่พ่อคิดถี่ถ้วนแล้วว่าเจ้าจะมีอันตราย เจ้าคงไม่อยากเห็นพ่อเป็นแบบเมื่อสิบกว่าปีก่อนใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความผิดหวังของบุตรสาวของเขา ผู้เป็นพ่อรู้สึกเห็นใจตามไปด้วย เขาไม่อยากสนทนาเกี่ยวกับการอนุญาตให้ออกไปนอกปราสาทเรื่องนี้กับบุตรสาว ผู้เป็นพ่อระมัดระวังที่จะไม่ให้ความผิดหวังของบุตรสาวเกิดขึ้นเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ร่วมกันของครอบครัวในอนาคต ถึงนางจะโตเป็นสาวสวยวันสะพรั่งแต่ในสายผู้เป็นพ่ออันนะก็ยังเป็นลูกสาวตัวน้อยๆที่เดินเตาะแตะแสนน่ารักของเขาและภรรยาผู้ล่วงลับ
ภาพจำเมื่อครั้งที่ภรรยาของเขาจากไปพร้อมรอยยิ้มในอ้อมแขน ตอนนั้นหัวใจของผู้เป็นสามีถึงกับใจสลายเมื่อดอกไม้โฉมงามไร้ชีวิน ผู้คนในปราสาทแถบจะหลีกเลี่ยงท่านเจ้าเมืองนายเหนือหัวของตนเท่าที่จะทำได้ เขาแทบเหมือนปีศาจในร่างมนุษย์ เขาตกอยู่ในอารมณ์มืดมัวแทนรักอันแสนชื้นของเขาและภรรยา ใบหน้าที่หล่อเหล่าของท่านเจ้าเมืองที่อยู่ในอารทณ์ที่ไม่คงที่ กลายเป็นติดตาลูกสาวตัวน้อยที่มองเห็นพ่อของเธอเมื่อตอนนั้นจางหายไป ‘โฉมงามแต่น่าเกลียด’นี่คือคำนิยามของบุตรสาวตัวน้อยที่บอกกับพี่เลี้ยง เขาสั่งให้ทหารทุกคนจับตัวหญิงรับใช้ที่นำยาพิษมาให้ภรรยาเขาดื่มจนสิ้นใจ
‘ท่านพี่ได้โปรดอย่าได้ถือทิฐิโกรธคนเหล่านั้น เฮือก! ดูแลลูกของเรา…..คอยเฝ้ามองอันนะเติบใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ’
เสียงของภรรยาในนาทีสุดท้ายทำเอาไฟแค้นโหมกระหน่ำ ภายในคืนนั้นพวกกบฏถูกจับกุมที่ทำลงไปเป็นแผนที่มีคนต้องการล้มล้างเจ้าเมืองเพื่อที่จะได้ยึดครองเมืองฟูมิมาเป็นแผ่นดินปึกหนึ่งในน่านอาณาเขตนี้ เจ้าเมืองไม่สามารถข่มอารมณ์โกรธได้ กบฏถูกจับกุมและเจ้าเมืองต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่าเขาไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งได้ เขาต้องเรียนรู้การตัดสินใจที่ถูกต้องและยอมรับผลของการประพฤติประการของตัวเอง
เขาเป็นคนลงมือประหารกบฏเหล่านั้นด้วยตัวเองและให้ทหารนำศีรษะของคนพวกนั้นไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองต่อหน้าต่อบุตรสาวในวัยเจ็ดขวบ นับจากวันนั้นเขาและบุตรสาวก็แทบจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันตามประสาพ่อลูกเหมือนเมื่อก่อนที่ภรรยาเขายังอยู่
เขาต้องรับผิดชอบและมีความเสียใจอย่างมากต่อการกระทำของตนเอง แต่เขายังคงต้องดำเนินชีวิตต่อไปด้วยบุตรสาวของเขา การสูญเสียคนที่สำคัญในชีวิตอาจจะทำให้เขาเห็นชีวิตในมุมมองที่แตกต่าง แต่เขาจะต้องพยายามทำให้ชีวิตของเขาและบุตรสาวเป็นไปอย่างดีที่สุดที่เป็นไปได้ อาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวและเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับบุตรสาวของเขาตลอดเวลา
เขาเหลือเพียงลูกสาวคนเดียวที่พอจะเป็นหลักหรือจุดยืนในชีวิตนี้ จึงได้จัดการหารือเรื่องการหมั้นหมายโดยเลือกบุตรชายของเสนาฝ่ายซ้ายมาเป็นคู่หมั้นของบุตรสาว เขาไม่อยากให้ลูกสาวเผชิญอันตรายใดๆเขาอยากเห็นลูกสาวเติบโต อยู่ไม่ห่างตาเพราะสถานการณ์ในตอนนี้เสี่ยงที่จะมีศัตรูบุกเข้ามาเพราะมีทหารม้าเร็วรายงานว่าที่เมืองหลวงกำลังตกอยู่สภาวะการปกครองกำลังระส่ำระส่ายอยู่รอมร่อ
ยิ่งรับรู้ว่าบุตรสาวได้เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าที่กล้าบุกเข้ามาถึงถิ่นของเจ้าเมือง เขายิ่งห่วงความปลอดภัยของบุตรสาวหนักกว่าเดิมเพราะบุตรสาวไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษเพศเลยจึงถูกสั่งกักบริเวณ บุตรสาวเองก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
เจ้าเมืองรู้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเมืองฟูมิมา จึงได้สั่งให้ทหารรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในบริเวณที่บุตรสาวถูกกักตัว และเขายังเริ่มวางแผนการป้องกันและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เพื่อเตรียมพร้อมในกรณีที่มีการรุกรานจากศัตรู ในที่สุดเมื่อเจ้าเมืองได้รับรู้ว่าสถานการณ์มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเมืองอีกมากกว่าเดิม
เขาเห็นว่าการใช้เวลาให้กับการพูดคุยเรื่องภายนอกปราสาทกับบุตรสาวอาจทำให้เธอตกเป็นเป้าหมายของคนที่อาจต้องการทำร้ายเธอ ดังนั้นเขาตัดสินใจที่จะบอกเรื่องที่เขาเริ่มสอนบุตรสาวถึงวิธีการป้องกันตนเองด้วยการใช้ดาบและการตั้งค่าความตั้งใจในการป้องกันตนเอง เขาจะสอนให้บุตรสาวเรียนรู้การจัดการกับอารมณ์และการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“ท่านพ่อ ข้าคิดว่าท่านยังมีภารกิจดูแลบ้านเมืองอยู่อีกมาก ข้าคิดว่าท่านควรไปได้แล้วนะเจ้าคะ ข้าเองก็จะนั่งอยู่ภายในห้องนี้ท่านอย่าได้ห่วงว่าบุตรสาวของท่านจะหายไป”น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงในตอนแรกจบด้วยน้ำเสียงเมินเฉยต่อการสนทนาต่อ เจ้าเมืองถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ที่ให้เวลาให้บุตรสาวได้เท่านี้ เขาลุกขึ้นก่อนจะออกจากห้องตามด้วยขบวนของเหล่าองค์รักษ์
หญิงสาวหายใจหายคอโล่งขึ้นเมื่อบิดาจากไป เธอรู้สึกผิดหวังเมื่อบิดาไม่เข้าใจและไม่สนับสนุนความตั้งใจของเธอในการเดินทางหาความรู้และประสบการณ์ชีวิตภายนอกปราสาท ผู้เป็นบิดามักจะหาเหตุผลมาคัดค้านเธอได้เสมอ ถึงขั้นว่าเมื่อครั้งที่เธอบอกว่าอยากลองออกไปทัศนาจรร้านขนมไดฟูกุกับอาจารย์ผู้ฝึกสอน ผู้เป็นบิดาได้ออกคำสั่งให้เหล่าบรรดาคนรับใช้และทหารส่วนตัวยกขโยงจนชาวบ้านแถวนั้นไม่กล้าออกมา
แต่เนื่องจากเป็นบิดา เขาอาจมีหลักการและวิธีการที่ต่างกันจากที่เธอคิด เธออาจต้องพยายามเข้าใจและยอมรับว่าบิดาอาจมีความคิดต่างกับตัวเอง เธอเคยพูดคุยขอให้บิดาเข้าใจในความคิดของเธอบ้าง ในขณะเดียวกันเธอค้นหาวิธีการเชื่อมโยงความตั้งใจของตนเองกับแนวคิดของบิดา
“มายุ มายะ”
“เจ้าคะ ท่านอานากะ/เจ้าคะ ท่านอานากะ”พี่เลี้ยงทั้งสองที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่บิดาของเธอมา กลับปรากฏขานรับเสียงของหญิงสาวทันถ่วงที
“พวกเจ้าพอจะรู้กำหนดการของท่านพ่อในฤดูนี้หรือไม่”ประโยคคำถามทำเอาสองพี่เลี้ยงฝาแฝดมองหน้ากันก่อนคนที่เป็นแฝดพี่จะตอบออกมา
“เรียนท่านหญิง ขออภัยที่ข้าเสียมายาทถามว่าท่านอยากรู้ไปทำไมหรือเจ้าคะ”
“ข้าเพียงแต่อยากทำขนมสักอย่างไปให้ท่านพ่อ เห็นว่าหมู่นี้มีการเรียกประชุมอยู่บ่อยครั้งจนถึงดึกดื่นข้าเป็นลูกสาวจะยอมสบายกว่าบิดาของตัวเองที่เป็นเจ้าเมืองเชียวหรือ ข้าเองก็อยากเป็นประโยชน์ให้กับท่านบ้าง”เรื่องนี้เธอพูดความจริง ถึงเธอจะมีระยะห่างกับบิดามาตั้งแต่ที่มารดาเสียไปก็ใช่ว่าเธอจะไม่สนใจผู้เป็นบิดาเลย เธอเข้าใจเหตุผลของบิดาดี แต่ถึงยังไงเธอก็อยากที่ะออกไปเผชิญกับโลกภายนอกด้วยตัวเองบ้าง
ท่านหญิงในวัยอยากรู้อยากลองยังคงไม่เข้าใจว่าบิดาของเธอเป็นคนที่มีประสบการณ์และมีความรู้สึกดีกว่าใครในเรื่องการดำรงชีวิต เขามักบอกเธอเสมอว่าการเผชิญกับโลกภายนอกเสี่ยงอันตรายและเขากลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บ แต่เองก็คัดค้านด้วยเพราะเธอมีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการตามหาความเป็นตัวเอง อาจจะต้องหาทางในการสื่อสารกับบิดาและพูดคุยเพื่อเปิดเผยให้เขาเข้าใจในมุมมองของเธอด้วย
“รับทราบเจ้าคะ ข้าจะไปถามกับคนสนิทของท่านเจ้าเมืองให้นะเจ้าคะ”พูดจบมายุแฝดคนพี่เดินออกจากห้องไปเหลือเพียงมายะแฝดคนน้องที่คอยอยู่เป็นเพื่อนท่านหญิงของพวกเธอ
“ท่านหญิงอานากะเจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านอย่าหาเรื่องมาให้ท่านเจ้าเมืองจะดีกว่านะเจ้าคะ”มายะพี่เลี้ยงพูดเป็นแนวแนะให้กับท่านหญิงเพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่าท่านหญิงผู้สง่าของพวกเธอมีแผนจะหนีเที่ยวนอกปราสาทแน่นอน
ร่างบางผมยาวในชุดกิโมโนสีเหรียบดูหรูจากลวดลายที่นางใส่ อันนะได้ฟังที่เพียงเลี้ยงของเธอพูดคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว เพียงแต่เธออยากแสดงให้ผู้เป็นบิดาได้เห็นว่าเธอสามารถดูแลตัวเองได้ อีกอย่างเธออยากไปถามสารทุกข์สุกดิบกับชาวบ้านบ้าง นานแล้วที่เธอไม่ได้พูดคุยกับพวกเขาถึงแม้่าใบางครั้งนานๆทีบิดาจะอนุญาตให้เธอติดตามเขาไปสำรวจบ้านเมืองได้ แต่ก็เพียงระยะสั้นๆก่อนที่จะสั่งให้พี่เลี้ยงพาเธอกลับเข้าปราสาทจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับคนในเมืองสักเท่าไหร่
การออกไปสำรวจบ้านเมืองเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากจะช่วยให้เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ และอาจจะช่วยให้เธอเข้าใจสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนในการทำงานหรือในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น
เธอเคยอ่านบันทึกของท่านแม่สมัยยังสาว นางชอบเขียนเรื่องราวความรู้ต่างๆที่นางเจอมาลงในบันทุกเล่มหนา อันนะมักจะไปที่ห้องหนังของมารดาเสมอๆเมื่อรู้สึกเบื่อๆหรือเวลาที่เธอเหงา เธอค้นพบว่าบิดาของเธอมักจะวิตกกังวลเสมอๆเมื่อมีเรื่องของครอบครัวมาเกี่ยวพัน
ตามที่บันทึว่าไว้เพราะสาเหตุสมัยที่บิดายังคงชำนาญอาจหาญอยู่ในสนามรบ เขาเข้าร่วมสงครามตั้งแต่ยัเยาว์มากทำให้เติบโตมากับการทำสงครามหลากหลายด้าน
ฝ่ายครอบครัวของบิดาไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้ ทำให้บิดาตัดสินใจจากมาเข้าเป็นนายทหารเพื่อไม่ให้ครอบครัวต้องลำบากทำให้เขาต้องมาเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวเป็นเวลานาน แต่เมื่อมาเจอมารดาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาปกป้องเธอมาจนโตขนาดนี้ อันนะจึงคิดว่าการพูดคุยด้วยความใจเย็นคงจะเป็นทางออกที่ดีในการขอบิดาให้ตนได้ออกไปดูโลกข้างนอก แต่หลายปีมานี้ดูท่าบิดาของเธอมักจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องนี้แต่ก็หาทำให้ย่อท้อไม่
ฝ่ายครอบครัวของบิดาไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้ ทำให้บิดาตัดสินใจจากมาเข้าเป็นนายทหารเพื่อไม่ให้ครอบครัวต้องลำบากทำให้เขาต้องมาเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวเป็นเวลานาน แต่เมื่อพบกับมารดาของเธอทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มต้นปกป้องจนเธอเติบโตมาเป็นครอบครัวให้เขาาได้จนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะมารดาผู้แสนอ่อนโยนสอนสิ่งต่างๆและมอบความรักให้บิดาให้เข้าถึงคำว่าครอบครัว
อันนะจึงคิดว่าการพูดคุยด้วยความใจเย็นคงจะเป็นทางออกที่ดีในการขอบิดาให้ตนได้ออกไปดูโลกข้างนอก แต่หลายปีมานี้ดูท่าบิดาของเธอมักจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องนี้แต่ก็หาทำให้ย่อท้อไม่
“ท่านหญิงเจ้าคะ ท่านโอดะ อิซาโอะ มาซารุมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”คำบอกของพี่เลี้ยงทำเอาคิ้วข้างขวาของบุตรีเจ้าเมองกระตุกทันที
‘คนผู้นี้พอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของข้า เลยมีความพยายามอยากกระชับความสัมพัยนธ์กับข้าให้ได้จริงๆหรือนี่’และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เธอไม่พอใจบิดาของตน แต่พูดก็พูดไม่ได้เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของบุตรีเจ้าเมืองที่ต้องรับผิดชอบ
“ให้เขาเข้ามาได้”