เดินเที่ยว

1771 คำ
ทั้งสี่คนเดินทางไปยังตลาดในเมืองด้วยรถม้าประจำตระกูลแสนจะหรูหรา รถม้าเคลื่อนตัวเข้าจอดบริเวณหน้าร้านของหวาน ลักษณะคล้ายกับเหลาอาหารและโรงน้ำชาไม่น้อย เพราะที่ร้านมีทั้งอาหาร ขนมแปลกตาและน้ำชาให้บริการ ตัวร้านค่อนข้างใหญ่ ทั้งยังตกแต่งอย่างสวยงาม ราวกับว่าอยู่ในสวนที่แสนจะสงบ เจ้าของร้านช่างคิดนัก แม้นางจะย้อนกลับมา แต่นางก็ไม่เคยรู้ตัวตนของเจ้าของร้านแห่งนี้เลย คงจะเป็นคนใหญ่คนโตสักคน หรือไม่ก็อาจจะมีคนรู้ เพียงแต่นางไม่รู้ก็เท่านั้น เรื่องนั้นใครสนกัน “ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ ต้องการโต๊ะหรือไม่เจ้าคะ”เพราะร้านมีทั้งซื้อกลับและนั่งทานที่ร้าน เป็นปกติที่จะได้เจอคำถามแบบนี้ แรก ๆ ก็มีคนสงสัยกับคำถามอยู่บ้าง แต่พอได้ใช้บริการจึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใด “ข้าขอโต๊ะริมหน้าต่าง ยังมีว่างหรือไม่”นางชอบมานั่งตรงนั้นบ่อย ๆ เพราะมันค่อนข้างเงียบสงบ ที่อื่น ๆ ในร้านมักจะมีคุณหนูคุณชาย ไม่ก็คู่รักมานั่งพูดคุยกันเสียงดัง นางไม่ชอบเสียงรบกวน นางต้องการความสงบ “เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”นางรู้อยู่แล้วว่าที่ตรงนั้นจะไม่ค่อยถูกเลือกมากนัก ส่วนมากคนที่มาล้วนเป็นคนหนุ่มสาว ใครก็อยากเจอผู้คนเยอะ ๆ ที่สำคัญคือ ไม่ว่ามุมใดในร้านก็งดงามด้วยกันทั้งสิ้น เพราะงั้นนั่งตรงไหนก็เหมือนกันหมด เมื่อได้โต๊ะเป็นที่เรียบร้อย นางจึงเริ่มสั่งอาหารอย่างเคยชิน ทั้งท่านปู่ท่านย่าและหย่งเยว่ต่างมองการสั่งอาหารอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเคยมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน จนคนเป็นย่าอดถามออกมาไม่ได้ “เจ้าเคยมาที่นี่หรืออาเวย เหตุใดจึงสั่งอาหารได้คล่องนักเล่า” “...ไม่เคยเจ้าค่ะ นี่ครั้งแรก ท่านย่าก็รู้ว่าหลานพึ่งกลับมาจากสำนัก หลานจะเคยมาได้อย่างไรเจ้าคะ” “นั่นสิ เจ้าก็ถามอะไรแปลก ๆ อาเวยอยู่สำนักเป็นถึงหัวหน้าศิษย์ การวางตัวย่อมเป็นเรื่องที่คุ้นชินอยู่แล้ว แม้ว่าจะมาครั้งแรกก็เถอะ”คนเป็นปู่ไม่ได้คิดมากอะไร เขาคิดตามที่พูดจริง ๆ หลานสาวคนนี้เก่งกาจทั้งการเรียน การวางตัว เสียอย่างเดียว นางอารมณ์ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้อื่นมากนัก จะว่าเข้มงวดก็ไม่ผิด “งั้นรึ ย่าคงจะแก่แล้ว คิดอะไรไร้สาระจริง ๆ เลย ฮ่าฮ่าฮ่า” “แก่อันใดเจ้าคะ ตอนเดินเข้ามาหลานเห็นหนุ่ม ๆ เหลียวมองท่านย่ากันให้วุ่น ท่านปู่ระวังตัวไว้นะเจ้าคะ บุรุษหมายปองท่านย่าเยอะนัก หลานกังวลแทน คิกคิกคิก” “หื้มม ขยับมานั่งใกล้ ๆ ข้าสิ เหตุใดจึงนั่งห่างนัก”พอเห็นหลานเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา คนเป็นปู่ก็อดไม่ได้ที่จะรับมุขของนาง จึงแกล้งดึงภรรยาเข้ามานั่งใกล้ตนเองมากขึ้น หย่งเยว่นั่งมองทั้งสามคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ นางไม่กล้าเปิดบทสนทนา กลัวว่าบทสนทนาที่สนุกนี้จะต้องกร่อยเพราะนางเอ่ยสิ่งใดไม่เข้าท่า “อาเยว่ เรียนเป็นอย่างไรบ้าง เห็นตั้งใจอ่านตำราและฝึกฝนตลอดเวลาเลย เครียดสิ่งใด ให้ข้าแนะนำให้ดีหรือไม่”นางรู้ว่าหย่งเยว่ไม่กล้าพูดขัดหรือร่วมวงสนทนา เพราะงั้นนางจะต้องเข้าหาน้องสาวให้ได้ ครั้งก่อนหย่งเยว่ดีกับนางมาก ทั้งที่คุยกันน้อยนัก “ข้า ข้าไม่ได้ติดขัดสิ่งใดเจ้าคะ เพียงแค่ แค่อยากทำให้มันดี เท่านั้น”หย่งเยว่ไม่คิดว่าพี่รองจะเอ่ยกับนางก่อน นางไม่กล้าพูดกับพี่รอง พี่รองดูเป็นคนเข็มงวด ทั้งยังไม่สนใจว่าคำพูดของตนจะรุนแรงมากเพียงใด นางอยากทำได้เช่นนั้นบ้าง ทุกครั้งที่พี่รองต่อว่าแม่ใหญ่ นางได้แต่แอบชื่นชม นางอยากทำได้บ้าง ท่านแม่ของนางทุกข์ใจไม่แพ้ผู้ใด มีสามี สามีก็ไม่รักใคร่ หากได้แยกกันอยู่ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มีกฎที่ต้องให้พบหน้ากันอยู่ทุกวัน จากเสียใจก็เริ่มไม่ชอบใจ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ นางเห็นแล้วได้แต่สงสารมารดา หากไม่มีแม่ใหญ่ ท่านพ่อคงจะมาเหลียวแลท่านแม่บ้าง “ทำให้ดีมันก็ดี แต่อย่ากดดันตนเองมากเกินไป เจ้าเป็นสตรี อยากจะเก่งไม่ใช่เรื่องผิด เพราะงั้นมีสิ่งใดให้มาหาข้า ข้ายินดีช่วยเหลือเจ้าเสมอ อย่างไรเจ้าก็เป็นน้องสาวข้า เข้าใจหรือไม่” “...เจ้าค่ะ”จื่อเวยมองน้องสาวนั่งก้มหน้างุด แก้มนวลแดงอย่างน่ารัก นางหันไปมองท่านปู่ท่านย่า ก็เห็นว่าทั้งสองคนมองดูนางและหย่งเยว่คุยกันอยู่ก่อนแล้วด้วยรอยยิ้ม นี่ล่ะนะคนแก่ จะมีสิ่งใดชื่นใจไปกว่าลูกหลานรักใคร่กันได้อีก อ้อ เว้นกรณีของพี่หญิงใหญ่และน้องสามไว้ก็แล้วกัน นางไม่เห็นโอกาสที่น้องสามจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้เลย แม้จะขยันหมั่นเพียรมากเพียงใด แต่กลับไม่มีเส้นสายพอจะหนุนนำตระกูลให้ก้าวหน้าได้เลย อีกข้อสำคัญที่ทำให้นางคิดว่าบุตรของแม่ใหญ่ไม่มีทางได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคือสายเลือด ทั้งพี่หญิงใหญ่และน้องสาม ทั้งสองคนได้มารดามามาก แม้จะพยายามและขยันมากเพียงใด แต่กลับไม่เฉลียวฉลาดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ชาติก่อนนางได้แต่สะใจและสมเพชที่น้องสามต้องกดดันตนเอง เพื่อที่จะทำตัวให้สมกับเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจ้าว เผื่อว่าวันหน้าจะต้องขึ้นเป็นผู้นำตระกูล และยิ่งนางทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยมมากเพียงใด น้องสามและแม่ใหญ่ก็ยิ่งกดดันมากเท่านั้น เพราะแบบนั้นนางจึงได้ทำตัวให้โดดเด่นอยู่เสมอ แม้จะไม่ค่อยออกไปสุงสิงกับใครนักก็เถอะ แต่เรื่องความสามารถและเส้นสายของนางนั้นดูแคลนไม่ได้เลย นี่สินะที่เรียกว่าแข่งเรือแข่งพายมันแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นมันไม่ได้จริง ๆ “อาหารมาแล้ว นี่ของเจ้า ข้าสั่งมาเผื่อ อยากได้สิ่งใดเพิ่มก็สั่งเสีย สั่งไปเผื่อเจ้าห้ากับแม่รองแม่สามด้วยก็แล้วกัน ข้ามอบหน้าที่ให้เจ้าไปจัดการ” “เจ้าค่ะพี่หญิงรอง”หย่งเยว่รับขนมสีเขียวหน้าตาสี่เหลี่ยม ๆ หอมกลิ่นชาจากมือพี่สาวอย่างดีใจ เหมือนนางได้สนิทกับพี่สาวขึ้นอีกมากทีเดียว ดูสิ พี่สาวให้นางรับหน้าที่ซื้อของกลับไปฝากท่านแม่และพี่สี่ด้วย “อาเยว่รีบกินเร็วเข้า ดูพี่สาวเจ้ากินราวกับว่าไม่เคยได้กินงั้นแหละ หื้ม”ผู้เป็นย่ารู้สึกมีความสุขกับการออกมาเที่ยววันนี้มาก หลานสาวทั้งสองคนเข้ากันได้ค่อนข้างดี ตอนแรกนางแอบกังวลว่าจื่อเวยจะรังแกน้องสาวหรือเปล่า แต่กลับไม่ใช่เลย กลายเป็นว่าเจ้าหลานตัวดีนั้นไม่ได้รังเกียจรังงอนหย่งเยว่แม้แต่น้อย ท่าทางดูจะอยากสนิทด้วยเสียมากกว่าด้วยซ้ำ “ท่านย่าก็ ข้าหิวนี่เจ้าคะ แล้วที่สำคัญคือมันอร่อยมาก ๆ ด้วย อาเยว่ หากไม่กินพี่จะกินแทนนะ ว่าอย่างไร” “กิน ๆ กินเจ้าค่ะพี่สาว คิกคิกคิก”หย่งเยว่หลุดหัวเราะออกมากับท่าทีหยอกล้อของพี่สาวไม่ได้ นางมีความสุขมากจริง ๆ พี่สาวไม่ได้รังเกียจนางอย่างที่คิด หลังจากกินเสร็จ ทั้งสี่คนเลือกเดินแทนที่จะนั่งรถม้าตรงไปยังร้านเครื่องประดับ ระหว่างทางจื่อเวยเกาะแขนคนเป็นปู่ไม่ปล่อย ทิ้งให้หย่งเยว่เดินจูงมือกับท่านย่าสองคน “นี่หย่งเยว่ วันนี้ท่านปู่จ่ายเงินล่ะ เจ้าเลือกคนผิดแล้ว”จื่อเวยเดินตามหลังท่านย่าและหย่งเยว่เอ่ยหยอกน้องสาวและท่านย่าอย่างอารมณ์ดี นานมากแล้วที่นางไม่ได้ออกมาเดินเล่นแบบไม่ต้องคิดกังวลกับสิ่งใด “เหอะ อาเยว่ไม่ต้องไปสนใจ มานี่ ย่าจะไปซื้อเครื่องประดับกับผ้าใหม่ ดูซิคนแถวนี้จะอิจฉาหรือไม่ ตามย่ามาเร็วเข้า”คนเป็นย่ารู้สึกราวกับตนมาเดินตลาดกับบุตรสาวและสามีไม่มีผิด คนหนึ่งดื้อรั้น คนหนึ่งขี้อาย “คิกคิกคิก เจ้าค่ะ”ทั้งสองคนเดินนำออกไปทางร้านเครื่องประดับท่านที นางหันไปมองหน้าท่านปู่ยิ้ม ๆ “ตามไปกันเถอะ ของเจ้าก็เยอะมากแล้ว วันนี้ให้เป็นวันของย่าเจ้ากับน้องไป ดีหรือไม่” “เจ้าค่ะ ท่านปู่เองถ้าเงินหมดก็ยืมหลานก่อนได้นะเจ้าคะ คิดดอกไม่แพงหรอกเจ้าค่ะ” “เจ้าหลานคนนี้นี่!!!” ทั้งสี่คนไม่ได้สนใจว่าใครจะมองมายังพวกตนบ้าง ก็จะไม่ให้มองได้อย่างไร ท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวออกมาเดินเที่ยวตลาดกับหลานสาวทั้งสองคน ข่าวลือเรื่องชาติตระกูลฮูหยินจ้าวที่เดิมคนเอาไปนินทากันอยู่แล้วยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ นี่ไม่ใช่ว่าแม้แต่ผู้เฒ่าทั้งสองก็ไม่ต้อนรับสามแม่ลูกนั้นหรอกหรืออย่างไร วันนี้ช่างมีเรื่องให้พูดอีกมากยิ่งนัก ระหว่างเดินไปร้านเครื่องประดับ สายตาของนางเหลือบไปเห็นน้องสี่กำลังถูกฝูงชนรุมล้อมอยู่อย่างกดดัน หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับน้องสี่ พอนึกดี ๆ แล้วก็มีจริง ๆ ด้วย ชาติก่อนนางไม่ได้ออกมาเดินเที่ยวเช่นนี้ นางเพียงได้ข่าวในตอนเย็นว่าท่านพ่อสั่งลงโทษน้องสี่ให้อยู่แต่ในจวนตลอดช่วงหยุดยาวนี้ “ท่านปู่เจ้าคะ นั่นน้องสี่เจ้าค่ะ ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” “เจ้าสี่งั้นรึ ไปสิ่ พวกเจ้าไปแจ้งแก่นายหญิงและอาเยว่ว่าข้าสองคนจะไปดูเจ้าสี่ก่อน เดี๋ยวจะรีบตามไป” “ขอรับนายท่าน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม