หลังจากที่เยว่เทียนออกจากบ้านไปแล้ว เยว่ชางและเยว่ชงก็เข้าไปพูดคุยกับแม่ของพวกเขาทันที เพราะกลัวว่าแม่จะใจออ่นยอมจ่ายค่ารักษาแขนให้น้องชายคนสุดท้องอีก เงินตั้ง200หยวนพวกเขาสามารถใช้จ่ายได้สบายไปหลายปีทีเดียวเชียวนะ เรื่องอะไรจะยอมแบ่งให้เจ้านั่นกัน โดยที่พวกเขาคงลืมคิดไปว่าเงินนั่นเป็นของเยว่เทียน !!
“ แม่ครับ เราจะทำยังไงดี นี่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเสียเงินไปกับค่ารักษาแขนของเจ้าสามหรือไง ” เยว่ชาง
“ นั่นสิครับแม่ หลานชายของแม่ต้องเรียนสูงๆนะครับ เขาต้องเป็นหน้าเป็นตาให้บ้านของเรานะครับ “
“ แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะ พวกแกมีหนทางไหมล่ะ “ แม่เฒ่าเยว่แย่งออกมาอย่างหงุดหงิดใจ ใช่ว่าหล่อนอยากจะเสียเงินไปเมื่อไหร่ล่ะ
“ คุณแม่ก็ให้เจ้าสามแยกบ้านไปสิคะ “ เสียงของสะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นหล่อนมายืนฟังอยู่หน้าห้องนานแล้วได้เสนอขึ้น
“ จริงด้วยครับแม่ “
“ ไม่ดีหรอกถ้าแยกบ้านเราก็ต้องแบ่งทั้งเงินทั้งอาหารให้เจ้าสามด้วย “
“ หึ เจ้าสามไม่ได้ช่วยงานในแปลงนานี่คะคุณจะกังวลไปทำไม อีกอย่างสะใภ้สามก็ไม่กล้าพูดหรอกค่ะว่าตนเองทำงานได้กี่แต้ม “
“นั่นสินะ ความคิดของเธอดีจริงๆ สะใภ้ใหญ่ หึฉลาดสมกับเป็นหลานสาวของฉัน “ แม่เฒ่าเยว่เอ่ยชมสะใภ้ใหญ่ที่พ่วงตำแหน่งหลานสาวของตนเองอย่างภูมิใจ หล่อนเป็นลูกสาวของญาติผู้พี่ของแม่เฒ่าเยว่นั่นเอง
“งั้นเอาตามนี้นะครับแม่รอให้เจ้าสามกลับมาก่อนเราค่อยพูดเรื่องนี้กับเขาอีกที “
ทางด้านสามคนพ่อแม่ลูกไม่รู้เลยว่าแผนการที่ตนเองวางไว้นั้นจะลุร่วงไปก่อนร่วงหน้าโดยที่พวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ แม่ครับอาเหอเหนื่อยแล้ว “ เยว่เหอบ่นออกมาเนื่องจากเขาเดินจากบ้านมาไกลพร้อมกับพ่อแม่ของเขา เพื่อที่จะเข้าเมืองในวันนี้ เพราะเกวียนรับจ้างที่วิ่งประจำนั้นมีคนเหมาไปเสียก่อนทั้งสามจึงต้องเดินเท้าเข้าเมืองด้วยตนเอง
“ มาพ่ออุ้มเอง “
“ ไม่ต้องหรอกค่ะแขนของคุณเจ็บอยู่ ฉันจัดการเองค่ะ “ ฟางหรูเอ่ยห้ามสามีเพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนแขนของเขาเข้า เธอนั่งยองๆลงแล้วหันหลังให้ลูกชายโดยบอกให้เขาขี่หลังของเธอไปแทน เด็กน้อยยิ้มหน้าบานเขายิ้มอย่างสุขใจที่ได้ขี่หลังของแม่ เขารู้สึกว่าแม่ของเขารักเขาที่สุดและแน่นอนว่า มากกว่าพ่อด้วย เพราะพ่อต้องเดินเท้าเข้าเมืองไปเอง ….
หลังจากที่เที่ยวเล่นในเมืองจนถึงช่วงบ่ายสามคนพ่อแม่ลูกก็อาศัยรถแทรกเตอร์กลับไปที่หมู่บ้านชุน กว่าจะถึงก็เย็นมากแล้ว
เมื่อทั้งสามกลับเข้ามาในบ้านก็ได้รับสายตาที่ไม่เป็นมิตรจาดทุกคนในบ้าน ยกเว้น เยว่จื่อ ที่ไม่สนใจใครนอกจากหนังสือเรียนตรงหน้าของตนเอง
" แม่ " เยว่ชาง
" นั่งก่อนสิ เจ้าสาม ส่วนเธอจะไปไหนก็ไป " แม่เฒ่าเยว่เอ่ยขึ้น ฟางหรูจึงพาลูกชายกลับเข้าห้องไป ส่วนเยว่เทียนเขานั่งลงเพื่อฟังที่แม่ของเขาจะพูดคุยด้วย
" อืม เจ้าสาม แกก็แต่งงานมีครอบครัวมานานหลายปีแล้ว แกคิดที่จะแยกบ้านบ้างไหม "
" นั่นสิเจ้าสาม " เยว่ชง
" ถ้าจะบอกว่าไม่คิดเลยก็คงโกหก ถ้าแม่จะยอมให้ผมแยกบ้านผมก็พร้อมครับ แม่คิดว่ายังไงครับ "
" ถ้าแกต้องการแบบนั้นก็แยกเถอะ แต่ว่า แม่ไม่มีส่วนแบ่งอะไรให้แกหรอกนะ นอกจากเงินกองกลาง 50หยวน "
" ครับ แค่นั้นก็พอแล้ว "
" เอ่อแม่คะฉันคิดว่าเราควรจะมีหนังสือตัดขาด เอ่อฉันหมายถึงแยกบ้านค่ะ "
" ผมว่างั้นเราก็ทำหนังสือตัดขาดไปเลยก็ได้ครับ เผื่อว่าวันหน้าผมจากไป ฟางหรูกับลูกจะได้ไม่มาวุ่นวายที่บ้านเยว่อีก ผมไม่แน่ใจว่าถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เธอทำอะไรได้บ้าง " เยว่เทียนแสร้งพูดขึ้นอย่างอึดอัดใจ นี่เขาทำตามที่ภรรยาสอนทุกอย่างเลยนะ ไม่แน่ว่าภรรยาอาจใจออ่นยอมมีลูกสาวตัวน้อยๆให้เขาอีกสัก2-3คน
" ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่เจ้าสามต้องการเถอะ " แม่เฒ่าเยว่เอ่ยขึ้นพลางแสดงสีหน้าหม่นหมอง
' ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเชียวนะนังเฒ่า ' ฟางหรูบ่นในใจ เธอแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องครัวนานแล้ว เยว่เทียนแอบลอบมองภรรยาของตนกอนจะลอบส่งยิ้มให้แก่กัน
" งั้นฉันจะไปตามหัวหน้าหมู่บ้านนะคะ " สะใภ้รองรีบเอ่ยขึ้นจากนั้นก็เร่งรีบออกจากบ้านไป ไม่ถึงอึดใจหล่อนก็กลับมาพร้อมกับหัวหน้าหมู่บ้าน และหัวหน้าหน่วยผลิตที่ถูกเชิญมาร่วมเป็นพยานในครั้งนี้ด้วย
" แม่เฒ่าเยว่เรื่องจริงหรือเปล่าที่เยว่เทียนขอให้ออกหนังสือตัดขาด " หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม
" ครับ ผมต้องการอย่างนั้นจริงๆ " เป็นเยว่เทียนที่เอ่ยตอบ
" ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำหนังสือตัดขาดให้ก็แล้วกัน แล้วส่วนที่เยว่เทียนควรจะได้ล่ะแม่เฒ่าเยว่ " หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถามเพราะรู้นิสัยของหล่อนดีว่าเป็นคนยังไง
" นอกจากเงิน50หยวน เจ้าสามไม่ยอมรับอะไรอีก แล้วก็เขียนให้ชัดเจนด้วย เป็นตายไม่ยุ่งเกี่ยว ยากดีมีจนไม่เกี่ยวข้อง " แม่เฒ่าเยว่เอ่ยตอบออกไป ก่อนจะลอบยิ้มอย่างสาแก่ใจที่ไม่เสียธัญพืชให้บ้านสามไปแม้แต่นิดเดียว