บทนำ

1368 คำ
เกริ่น.. ‘อบอุ่น’ เด็กสาว อายุ 14 ย่าง 15 ผิวกายขาว รูปร่างบางเล็ก ดวงตากลมโตขนตาเรียงเส้นงอน สีแก้มอมชมพูหวาน ริมฝีปากเล็กทรงกระจับ รอยยิ้มน่ารักแสนละมุน จนไม่อาจละสายตาจากใบหน้าหวานของเธอได้ ตำแหน่งน้องสาวคนเล็กของพี่ชายฝาแฝดที่คอยเป็นแบลค เฝ้าเอาอกเอาใจทุกเรื่องไม่เคยขัด ด้วยที่ฐานะทางครอบครัวและความใหญ่โตของตระกูลที่แผ่ขยายอำนาจทำให้คนนอกมองว่าเธอเป็นเพียงคุณหนูขี้เอาแต่ใจ ไม่มีใครอยากคบหา ส่วนคนที่เข้ามาก็หวังเพียงผลประโยชน์จากครอบครัวของเธอเท่านั้น ..ฉันมีพี่ชายฝาแฝด ชื่อเวหากับศิลา พวกเขาใจดีและเอาใจใส่ทุกอย่าง และไม่ว่าจะมีสาวๆสักกี่คนเข้ามา แต่น้องสาวอย่างฉันก็มักจะได้สิทธิ์เป็นอันดับหนึ่งเสมอ พวกเขาเป็นหนุ่มหล่อที่สุดในโรงเรียนเท่าที่จำได้ ฉายาปริ๊นซ์ ก็มีมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม มัธยม จนกระทั่งเข้ามหาลัย เรื่องควงสาวไม่ซ้ำหน้าถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว อาจจะฟังเหมือนอวดพี่ชายไปหน่อย แต่มันคือเรื่องจริง ในฐานะน้องสาวฉันเองก็ไม่ค่อยชอบให้ผู้หญิงพวกนั้นมาวุ่นวาย เอาอกเอาใจเพื่อหวังทำคะแนนจะได้เข้ามาเป็นพี่สะใภ้ของฉัน เพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไร มันยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิดรำคาญมากๆ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ฉันมีชื่อโซ่ เรารู้จักกันตั้งแต่เข้า ม.ปลาย อาจเพราะเป็นพวกไม่มีคนคบเหมือนกัน เลยทำให้เราทั้งคู่เข้าอกเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี โซ่กับฉันมักพูดคุยปรึกษากันทุกเรื่อง และเธอก็มาค้างที่บ้านบ่อยๆจนสนิทกับทุกคนที่บ้าน ยกเว้นก็แต่พี่ศิลา คนเดียว! ‘กร’ เด็กหนุ่มมัธยมปลาย อายุวัย18 ปี ใบหน้าคม นัยน์ตาดุสีน้ำตาลเข้ม สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปากเรียบอิ่ม ท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำอางค์ หากแต่มีรูปร่างกำยำสูงใหญ่และเป็นถึงนักกีฬาของโรงเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม ความกังวนในการสืบทอดทายาทจึงถูกตัดออกไปจากความคิดของผู้เป็นพ่อ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนักธุรกิจรถยนต์นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ธุรกิจใต้ดินที่ไม่มีใครเคยรู้ การสูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุ10ขวบ ด้วยโรคเชื้อราในสมองทำให้เด็กชายที่กำลังอยู่ในช่วงเล่นสนุก ร่าเริง กลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่พูดจา เลี่ยงการพบปะกับผู้คน ไร้ชีวิตชีวาและตัดขาดจากโลกภายนอก แม้ว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามทดแทนด้วยทุกอย่างที่เขามีก็ตาม แต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยให้ลูกชายของเขากลับมาสดใสเหมือนเดิมได้อีก จนกระทั่งเข้าเรียนในระดับมัธยมต้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเพื่อน(สนิท)คู่แฝดร่วมห้องที่ทำให้เขายอมเปิดใจอีกครั้ง ..ผมไม่อยากทำความรู้จักหรือผูกพันธ์กับใคร เพราะความรู้สึกที่ต้องสูญเสียพวกเขาไปมันเจ็บปวด ผมยังจำความรู้สึกในวันที่แม่หายไปได้เป็นอย่างดี พ่อโกหกทั้งที่ควรบอกความจริงให้ผมได้รู้ตั้งแต่วันนั้น แต่เขากลับบอกว่าแม่แค่ออกไปซื้อของเล่นเท่านั้น การรอคอยของเด็กที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังจากวันเป็นเดือน แต่แม่ก็ยังไม่กลับมาจนวันที่พ่อพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้าน พ่อยกเธอขึ้นมาแทนที่แม่และคนที่บอกความจริงทุกอย่างให้ผมรู้ ก็คือเธอ! ผมแยกตัวทั้งที่ยังอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ออกจากบ้านคนละเวลา กินข้าวคนละมื้อ ไม่มีเทศกาลหรือวันหยุดของครอบครัว เพราะลึกๆผมยังเสียใจและรับไม่ได้ที่พ่อโกหกและให้คนอื่นเป็นคนบอกมันแทนที่จะเป็นตัวเขาเอง ผมไม่อยากรู้สึกรัก ไม่อยากรู้สึกผูกพัน และไม่คิดจะสนใจใคร แต่.. ก็นั่นแหละครับ การอยู่คนเดียวมันไม่มีอยู่จริงในโลก เวหากับศิลาเป็นคนเปลี่ยนความคิดผม ถึงพวกมันจะเป็นคู่แฝดจอมหื่นกินไม่เลือก แต่มันสองคนก็มีสาระในแบบที่หลายคนคิดไม่ถึง ‘เพราะปัญหาเข้ามาทุกทิศ นักรบจึงต้องมีเพื่อนคอยช่วยเหลือ’ และประโยคนี้เอง ที่ทำให้ผมได้รู้ว่า ความประสาทแดกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นกับชีวิตของผม นั้นเพราะว่า ถ้าเราเปิดประตูรับใครเข้ามาแล้ว การจะไล่พวกมันออกไป มันยากยิ่งกว่าการไปเหยียบดวงจันทร์ซะอีก โดยเฉพาะไอ้สองตัวนี้ที่ผมเพิ่งรับมันเข้ามา.. ... @โรงเรียนเอกชน หลังเลิกเรียนเวลาเกือบห้าโมงเย็น ม้านั่งตัวยาวใต้ต้นไม้มีเด็กหนุ่มใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลาย ผิวกายสะอาด ใบหน้าเรียบนิ่ง สายตาคมเข้มกำลังนั่งพินิจมองแผ่นผับในมือเงียบๆ แววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างภายในหัว “อ้าว! ยังไม่กลับเหรอวะ? กูเห็นออกมาตั้งนานแล้ว” เสียงทักดังมาจากประตูรั้วของสนามฟุตซอลที่อยู่ไม่ไกล ทำให้คนที่นั่งอยู่หันไปมอง “นั่นสิ! บอลก็ไม่เตะ บ้านก็ไม่กลับ มานั่งทำหน้าปวดขี้ทำไมตรงนี้ แล้วกระดาษในมือนั่น อะไร?” เด็กหนุ่มอีกคนพูดเสริม แม้น้ำเสียงจะต่างโทนหากแต่ทั้งสองคนที่เข้ามาทัก กลับมีใบหน้าคล้ายกันแทบทุกอย่าง “กูกำลังคิด! พวกมึงจะเรียนต่อไหม?” คำถามย้อนกลับแทนคำตอบ ใบหน้านิ่งหันมองเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาหา “กูคิดว่า กูจะไม่เรียน” ผมยื่นแผ่นพับรับสมัครของมหาลัยเอกชนแห่งหนึ่งให้กับเพื่อน เวหารับแผ่นพับไปเปิดอ่าน ไม่ถึงนาทีมันก็หันกลับมามองหน้าผม “ทำไมวะ? อย่าบอกนะ ว่ามึงยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอยู่ ถ้ามึงมัวแต่กลัว แบบนี้เมื่อไหร่มึงจะโตวะ” “มนุษย์เป็นสัตว์สังคมมึงก็รู้? เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่อยากรู้สึกผิด ไม่อยากสูญเสียทั้งคนที่มึงรู้จัก คนที่รัก มึงก็เรียนหมอสิวะ จะได้ช่วยคนอื่นได้” “เอ่อ! อันนี้กูเห็นด้วย แต่กูว่ามึงไม่เหมือนว่ะ ท่าทางมึงไม่ได้” ผมเงยหน้ามองเวหากับศิลา ที่กำลังวิเคราะห์ชีวิตของผมราวกับเป็นหมอดูประจำตัว แต่ยังไม่ได้เอ่ยปากโต้แย้ง “จริง! มึงคิดดู ตอนนี้มึงยังเป็นประสาทคิดมากขนาดนี้ ถ้าเรียนหมอ กูว่าไม่เรียนหมอจิตเวช ก็คงเป็นบ้าซะเอง” “เอ่อ กูคงไม่กล้าไปหาหมอ เพราะมันเป็นหมอนี่แหละ” ฮ่า~~/ฮ่า~~ เสียงหัวเราะชอบใจของเพื่อนสนิท ทำให้ใบหน้าที่กำลังตึงเครียดของเด็กหนุ่มผ่อนคลายลง “ไอ้เวหา ไอ้ศิลา ถ้ากูเป็นหมอ กูจะเอาพวกมึงไปหั่นทิ้งลงท่อขี้ แล้วเอามาให้หมาแดกอีกที ไอ้เพื่อนเวร!” เสียงสบทด่า ก่อนยิ้มให้เพื่อน ทั้งสามหยอกล้อพูดคุยกันตามประสาเด็กหนุ่ม จากใบหน้าเรียบนิ่ง นัยน์ตาครุ่นคิด บัดนี้เหลือเพียงแววตาของความสุขและรอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าคมคายนี้แทน “พรุ่งนี้วันหยุด มึงไปค้างที่บ้านกับพวกกูไหม? ตอนเช้าจะได้ออกไปสนามแข่งพร้อมกัน” คำชวนจากเพื่อนสนิทเหมือนรู้ใจ เปิดทางให้คนถูกชวนตอบกลับอย่างไม่ต้องคิด “ไปสิ! ดีเลย กลับบ้านไปก็น่าเบื่อ” ผมส่งข้อความบอกคนที่บ้าน ถึงไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ใช่ว่าผมจะไม่สนหรือใส่ใจความรู้สึกของคนในครอบครัว พวกผมนั่งรถออกมาจากโรงเรียนมัธยม โดยมีเวหาเป็นคนขับ ก่อนจะแวะมารับน้องสาวตัวเล็กของพวกมันที่โรงเรียนมัธยมต้นที่อยู่ไม่ไกล
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม