รอยยิ้มของหญิงสาวจืดเจื่อนลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมาอีกครั้งพลางทำทีเป็นหัวเราะเบา ๆ
“มีน้องสาวอย่างยายพลอย พี่ธามคงปวดหัวน่าดูเลยใช่ไหมคะ ตอนสมัยเรียนพวกเรารู้กันดีค่ะว่ายายพลอยน่ะขี้เหวี่ยงขี้วีนแค่ไหน แต่เพื่อน ๆ ทุกคนก็ไม่มีใครถือสาอะไรหรอกค่ะ”
ธามยิ้มบาง ๆ เมื่อฟังจบ เขาหยิบน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้วก่อนจะพูดว่า
“บางครั้งเขาก็เหมือนเด็กไม่โตครับ ถ้าพลอยก่อเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ผมก็ขอโทษแทนน้องเขาด้วย”
กนกลดายิ้มอ่อน หากแต่มือที่จับช้อนกับส้อมนั้นกำแน่นจนเห็นเส้นเลือด ธามไม่เห็นอากัปกิริยานี้ของหญิงสาวเพราะมัวแต่หันไปมองบรรยากาศด้านนอกโรงแรม ขณะที่เขามองไปเรื่อยเปื่อยนั้น ชายหนุ่มก็เห็นร่างคุ้นตาของพลอยพัดชากำลังเดินเข้ามาในโรงแรมกับผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นนักแสดงชื่อดัง และเป็นเพื่อนสนิทของเธอ
วันนี้พลอยพัดชาคงมีเพื่อนกินข้าวแล้ว
“จะเสียดายผู้ชายห่วย ๆ อย่างเธอทำไม คบกันไม่รู้จะพาชีวิตฉันไปทางไหน”
เสียงร้องใส่อารมณ์เต็มไปด้วยความสะใจของหญิงสาวสองคนดังลอดออกมาจากห้องคาราโอเกะ ทำให้คนที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปถึงกับเบิกตากว้าง และเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาที่สองสาวร้องประสานเสียงกัน
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร แค่เสียผู้ชายห่วย ๆ อย่างเธอ...”
จินตวาตีเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงจนกระทั่งมายืนอยู่ข้างจอแอลซีดี เมื่อพลอยพัดชากับนลินทราเห็นก็กรีดร้องด้วยความดีใจจนเสียงดังลั่นห้อง
“กรี๊ด...น้าจินนี่ขา นึกว่าจะไม่ยอมมาซะแล้ว” พลอยพัดชาวิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นน้าทันที
“แหม น้าก็อยากปลดปล่อยพลังบ้างกำลังนึกเบื่ออยู่พอดี พอพลอยโทร. ชวนให้มาร้องเกะมีหรือที่น้าจะพลาด แล้วนี่พวกหล่อนเมารึยัง” จินตวาตีมองหลานสาวอย่างสำรวจ
“มันเมาดิบน่ะสิน้าจินนี่ สั่งมาการิต้ามาแค่แก้วเดียวเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่หมดสักทีเพราะมัวแต่แหกปากร้องเพลงนี่แหละ” นลินทราฟ้องผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เล็กน้อย
“แต่หล่อนเมาแล้วใช่ไหมยะนังนิ้ง” จินตวาตีเอานิ้วผลักศีรษะอีกฝ่ายไม่แรงนัก ก่อนจะหันไปแบมือขอไมโครโฟนจากพลอยพัดชา
“เอาไมค์มาค่ะ! องค์แม่มาช่าประทับร่างฉันแล้ว”
“เย้ งั้นพลอยจะแดนซ์เอง” พลอยพัดชายื่นไมโครโฟนให้น้า ส่วนตัวเองก็ถอดรองเท้าเต้นเย้ว ๆ อยู่ข้างจอพร้อมกับร้องตามไปด้วยทุกเพลงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ธามเดินออกจากลิฟต์มาที่อาคารจอดรถเพื่อเตรียมตัวขับกลับบ้าน ทว่าสายตาของเขากลับเห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวคันคุ้นตายังคงจอดอยู่ที่เดิม ซึ่งเป็นที่จอดรถประจำของพลอยพัดชา หัวคิ้วของชายหนุ่มจึงขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติทันที
เขาก้าวไปหารถคันนั้นพลางเพ่งมองเข้าไปในรถแม้จะรู้ดีว่าไม่มีคนอยู่ด้านใน จากนั้นชายหนุ่มก็ดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ หัวคิ้วจึงยิ่งขมวดมุ่นมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว
“ไปเที่ยวไหนกันป่านนี้ยังไม่กลับมาเอารถ”
ธามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. ไปที่แผนกต้อนรับส่วนหน้า เมื่อมีคนรับสายแล้วเขาจึงกรอกเสียงพูดลงไปทันที
“ผมธามเองนะ คุณช่วยไปดูร้านพัดชา เจมส์ให้หน่อยสิว่าปิดรึยัง แล้วอีกสิบนาทีผมจะโทร. มาใหม่”
เขาวางสายแล้วเดินไปที่รถของตัวเอง จากนั้นก็ติดเครื่องนั่งรอในรถ ขณะที่รอเขาก็คิดไปด้วย
เมื่อตอนกลางวันพลอยพัดชาออกไปกับนลินทรา เพื่อนสนิท สองสาวคงไปหาอะไรกินกันข้างนอกโดยไปรถของนลินทราแน่ เพราะรถของพลอยพัดชายังจอดอยู่ที่เดิม แต่นลินทราเป็นนักแสดงที่คิวงานค่อนข้างแน่น จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่หญิงสาวทั้งสองคนจะพากันไปเที่ยวต่อจนมืดค่ำขนาดนี้ และที่สำคัญ พลอยพัดชาน่าจะกลับมาเอารถของตัวเองเพราะหญิงสาวอาศัยอยู่เพียงลำพังที่คอนโดมิเนียม ส่วนผู้เป็นน้าอย่างจินตวาตีนั้นอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งตอนนี้ใช้เป็นสตูดิโอถ่ายแบบ และเป็นที่ฝึกสอนสำหรับนักแสดงฝึกหัดอีกด้วย
ธามโทรศัพท์เข้าไปถามแผนกต้อนรับส่วนหน้าอีกครั้ง และคำตอบที่ได้รับคือ
“ร้านปิดแล้วค่ะ ปิดตั้งแต่ทุ่มหนึ่งแล้ว”
“โอเค ขอบคุณครับ” เขาวางสายแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะโทร. ไปถามเจ้าตัวก็กลัวอีกฝ่ายจะคิดไปไกลว่าเขาคิดถึง แล้ววันต่อมาจะยิ่งเจ๊าะแจ๊ะมากกว่าเดิม ทั้งที่ความจริงแล้วเขาก็แค่เป็นห่วงเธออย่างน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น
ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะทำอย่างไรดี สายตาของเขาก็หันไปเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้า ชายหนุ่มจึงลงจากรถแล้วเดินไปหา
เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นผู้บริหารเดินเข้ามาหาจึงยกมือตะเบ๊ะเพื่อทำความเคารพ
“ผมรบกวนหน่อยครับ ถ้าเจ้าของรถคันนี้กลับมาเอารถเมื่อไร รบกวนแจ้งให้ผมทราบด้วย จะโทร. หรือส่งข้อความเข้ามาก็ได้ครับ”
เขาพูดพลางหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งให้พร้อมกับเงินสินน้ำใจเล็กน้อย จากนั้นก็เดินกลับมาที่รถของตัวเองแล้วขับกลับบ้าน ขณะที่ขับรถอยู่นั้น ชายหนุ่มก็อดบ่นเจ้าของรถสีขาวไม่ได้
“ยายเด็กไม่รู้จักโต อายุตั้งยี่สิบห้าแล้วยังไม่รู้จักดูแลตัวเองอีก”