“พอทำได้น่ะ”
“งั้นต่อไปต้องมีคนช่วยทำอาหารให้กินแล้วค่ะ” เธอรีบอาสาอย่างอ้อมๆ สบายท้องไปอีกหลายมื้อเชียว มีเจ้านายแสนใจดีอยู่ห้องข้างๆ มันดีแบบนี้นี่เอง
เอาจริงๆ นิรันดร์ก็ไม่ได้ดูร้ายกาจอย่างที่เธอคิดเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก
“คุณจะมาทำอะไรให้ผมกินหรือไง”
“ถ้าท่านประธานไม่ว่าอะไร ท่านประธานบอกว่าเพลินต้องทำเป็นทุกอย่างไม่ใช่เหรอคะ” เธอรีบอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง
“เอาสิ” ได้ยินประโยคนั้นเธอก็รู้สึกว่าลาภปากสุดๆ คิดว่าต้องทนกินมาม่า ไข่และปลากระป๋องทั้งเดือน แต่สวรรค์ก็ประทานท่านประธานสายเปย์มาให้เธอ ถือว่าที่เธอเคยมีปัญหาบาดหมางกับเขาในตอนแรกที่เจอกัน เธอให้อภัยเขาก็แล้วกัน
“เสร็จแล้วค่ะ ข้าวต้มกุ้งหอมกรุ่น” เธอยกข้าวต้มกุ้งมาเสิร์ฟให้เจ้านายหนุ่มที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“หอมนี่” เขามองข้าวต้มหอมกรุ่นตรงหน้าแล้วเอ่ยชม
“ต้องลองชิมดูนะคะ เผื่อจะติดใจฝีมือของเพลิน จะได้เรียกใช้เพลินมาทำอาหารให้กินอีก” เธอยิ้มหวานให้เขา
นิรันดร์เลยมองเธอนิ่งๆ คล้ายอยากจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ นั่นทำให้เพลินตาตกประหม่าเมื่อถูกมองเอาๆ แบบนั้น
“ชิมดูสิคะ” เธอรีบเชื้อเชิญให้เขากินข้าวต้มแทนการมองเธอเหมือนจะกลืนกินแบบนี้
นิรันดร์เองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมองเธอไปนานขนาดไหน เขาค่อยๆ ตักข้าวต้มรับประทานอย่างไม่รีบร้อน เธอมองเขาอย่างลุ้นๆ เห็นเขาตักกินอีกเรื่อยๆ ก็ยิ้มออก แสดงว่าข้าวต้มกุ้งของเธอถูกปากเขา เขาเลยตักกินไม่หยุดแบบนี้
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารเช้าแสนอร่อย” เธอยิ้มกว้างให้เขา หลังจากล้างถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว กำลังจะกลับห้องของตัวเองเพื่ออาบน้ำอาบท่าและแต่งตัวไปทำงาน
“เอาไว้ว่างๆ ผมจะพาคุณไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”
“คะ?” เธอหลุดอุทานออกมา มองเขาตาปริบๆ
“ตามนั้น” เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะปิดประตู เธอกำลังอ้าปากจะถามก็ถึงกับหุบฉับ
อีตานี่คิดจะปิดประตูใส่หน้าเธอก็ทำหน้าตาเฉย แต่เดี๋ยวนะเขาจะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าใส่อย่างนั้นเหรอ นี่เขาหาว่าเธอแต่งตัวเชยหรือไง
เพลินตาไม่มีเวลาคิดนาน เธอมองนาฬิกาข้อมือก็ต้องรีบวิ่งกลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน ถ้าเธอช้าอาจจะโดนตำหนิเอาได้
เสียงกริ่งหน้าประตูห้องทำให้เธอถอนใจอย่างโล่งอก เธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จพอดิบพอดีกับคนที่มากดกริ่งหน้าประตูห้องของเธอ
“เสร็จแล้วค่ะท่านประธาน” เธอวิ่งทะเล้อทะล่าออกมา สะดุดขาตัวเองจนแทบล้มหัวคะมำ ดีที่เขาคว้าตัวของเธอเอาไว้ได้
“ซุ่มซ่ามจริงเชียว” เขาทำเสียงดุใส่ เธอรีบพาร่างตัวเองออกห่างจากอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเขา หัวใจเต้นโครมครามอีกแล้ว
“ขอบคุณค่ะ” เธอรีบกล่าวขอบคุณแม้จะโดนเขาต่อว่าก็ตามที
“ไม่เป็นไร” เขาตอบเสียงเรียบ เดินนำเธอไปที่ลิฟต์
“ท่านประธานขับรถไปทำงานเองทุกวันเลยเหรอคะ”
“ไม่นะ ปกติผมเดิน”
“คะ?” เธอหลุดอุทานออกมา
“ทำไมเหรอ”
“ท่านประธานบอกว่าเดินไปทำงานเหรอคะ”
“ใช่ ได้ออกกำลังกายด้วย ผมชอบขยับร่างกายไปมาน่ะ มันทำให้ร่างกายแข็งแรง ที่ทำงานก็อยู่ใกล้แค่นี้ เอง ไม่ได้ไกลอะไร เดินไปจะได้บริหารช่วงขาด้วย”
“ก็ดีนะคะ เพลินเองก็อยากเดินไปทำงานเหมือนกัน” เธอไม่กล้าบอกเขาหรอกว่าที่เธอเดินไปทำงานเพราะประหยัด
การทำงานกับเขาไม่ได้ยากอะไร และเหมือนกับว่าเธอกับเขาจะเข้าขากันดี
เธออาสาไปทำอาหารให้เขา และฝากท้องที่ห้องของเขาอย่างเนียนๆ แต่พฤติกรรมแปลกๆ ของเจ้านายเธอก็คือ เขาชอบมาเคาะห้องเธอดึกๆ ดื่นๆ
ให้เธอไปช่วยดูเอกสารให้บ้าง ให้เธอไปเลือกชุดทำงานให้บ้าง บางครั้งเขาก็ชวนเธอไปดูหนังด้วยกันหน้าตาเฉย!!!
แรกๆ เธอก็เกร็ง แต่หลังๆ เธอก็เพลิดเพลินไปกับการดูหนังที่ห้องของเขาไปเสียได้
“วันหยุดผมจะไปดูไร่”
“ไปด้วยได้ไหมคะ” ประโยคออดอ้อนนั้นทำให้เธอได้นั่งรถจี๊ปเข้าไร่ไปกับเขา
“ว้าว... ไร่ของท่านประธานมีต้นไม้เยอะแยะเลยค่ะ” เธอมองอย่างตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศของไร่ที่เต็มไปด้วยผลหมากรากไม้เต็มไปหมด
“อาหารการกินสำคัญกว่าเงินทองของนอกกาย เคยได้ยินไหม เงินทองเป็นมายาข้าวปลาเป็นของจริง”
“เคยได้ยินค่ะ แต่ไม่มีเงินแล้วจะซื้ออะไรกินได้ยังไงคะ”
“ก็ทำกินไง ทำมาหากิน”
“ท่านประธานพูดได้สิคะ ตัวเองมีที่ดินตั้งเยอะแยะ”
“ทุกคนก็มีทางออกของการทำมาหากินแตกต่างกันนะ”
“ใช่ค่ะเหมือนเพลินไงคะต้องมาเป็นลูกน้อง ทำงานเป็นเลขาไม่งั้นอดตาย”
“ไม่หรอก คนเรามันต้องมีหนทางสักอย่างที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่อดตาย เราเกิดเป็นคนมีสมอง มีสองมือ มันต้องมีทางออกสักอย่างให้เรา”
“ก็จริงนะคะ”
“หากคนเราสร้างปัจจัยสี่พื้นฐานในการดำรงชีวิตได้ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”
“เพลินไม่ค่อยเข้าใจหรอกค่ะ แต่จะนำไปขบคิด” ประโยคน่าเอ็นดูของเธอ ทำให้เขาเผลอยิ้ม เขาจอดรถก่อนจะพาเธอเดินลงมาชมไร่ เธอสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดแรงๆ ลึกๆ รู้สึกชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้ยิ่งนัก
ต่างจังหวัดอากาศดีจนเธอหลงใหลไม่อยากกลับเข้าเมืองใหญ่ที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีอีก
อาจไม่ทุกคน เพลินตาคิด จริงๆ แล้วเมืองใหญ่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย หลายคนก็ชอบการอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เพราะมันมีเงิน มีงาน มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจมากมาย
เธออาจไม่เคยสัมผัสกับสิ่งของฟุ่มเฟือยพวกนั้น เธอทำงาน กลับบ้าน และเข้านอนอย่างเหนื่อยล้าในทุกๆ วัน การได้มาอยู่ต่างจังหวัดที่อากาศดีๆ จึงทำให้เธอค้นพบว่า เธอไม่ได้ชอบชีวิตอันแสนวุ่นวายเหมือนในเมืองกรุงฯ
“ที่นี่ปลูกอะไรบ้างคะ” เธอชวนเขาคุย
“ปลูกผลไม้ทุกอย่างที่กินได้”
“ว้าว...”
“ร้องว้าวทำไม”
“อุ๊ย!” เขาหยุดเดิน ทำให้เธอชนเข้ากับเขาอย่างจัง นิรันดร์รีบประคองร่างของเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้ม
“ขะ... ขอโทษค่ะ” เธอเอ่ยขอโทษเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ร่างกายอบอุ่นของเขาที่แนบชิดเข้ามาหาทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เดินระวังหน่อย ซุ่มซ่ามไม่มีใครเกิน” เขาทำเสียงดุแต่แววตาดูห่วงใยจนเธอเผลอยิ้ม
“ยิ้มอะไร”
“เปล่าค่ะ”
“ที่นี่ไม่ได้ปลูกผลไม้อย่างเดียวนะ” เขาเห็นว่าเธอสนใจกับสิ่งรอบกายจึงเริ่มอธิบายต่อ จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่เวลางาน แต่ไม่รู้ทำไม เขาอยากหอบหิ้วเธอไปไหนมาไหนด้วยในทุกๆ ที่ที่ต้องเดินทาง และดูเหมือนว่าเธอจะเต็มใจเสียด้วย
“ปลูกอะไรอีกคะ” เธอยิ้มให้เขา ทำให้นิรันดร์เผลอยิ้มตาม
“ฮันแน่! ท่านประธานยิ้มแบบนี้น่ามองกว่าเวลาทำหน้าตาดุๆ อีกค่ะ”
นิรันดร์หุบยิ้มก่อนจะเดินจ้ำอ้าวนำเธอไปก่อน ทำให้เพลินตายิ้มตามหลังคนขี้เก๊กแล้ววิ่งตามเขาไปติดๆ
“ระวังหน่อยสิคุณ หกล้มขึ้นมาผมไม่ช่วยนะ”
“ไม่หกล้มหรอกค่ะ เมื่อกี้ท่านประธานบอกว่าที่นี่ปลูกพืชหลายอย่าง มีอะไรบ้างคะ”
“มีไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัวด้วย”
“ว้าว! นี่ไร่ในฝันของเพลินเลยนะคะ เพลินน่ะอยากซื้อที่ดินสักแปลง ปลูกทุกอย่างที่กินได้เหมือนกัน”
“ทำสวนเหนื่อยนะคุณ”
“เหนื่อยก็ไม่ท้อไม่หวั่นหรอกค่ะ”
“แต่ถ้าใจรักก็ไม่ยากเกินความพยายาม” เขาพูดต่อ เมื่อหันมามองดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเธอ
“ขอบคุณนะคะ” เธอกล่าวขอบคุณเขา
“ขอบคุณอะไรผม”
“ขอบคุณที่ท่านประธานจุดไฟในตัวเพลินอีกครั้ง เมื่อก่อนเพลินทำงานเยอะมาก ทำงานตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย จนขึ้นมหาวิทยาลัย อยากทำโน่นทำนี่ ชอบหาเงิน ชอบเก็บเงิน เรียนจบเพลินก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งนะคะ อยากจะหาซื้อที่ต่างจังหวัดที่อากาศดีๆ ขุดสระ เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงเป็ดไข่ ปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ และปลูกผลไม้ทุกอย่างที่กินได้ พวกไม้เนื้อแข็งที่เป็นไม้ใช้สอยและมีราคา เพลินปลูกไว้เป็นบำนาญของชีวิต ไม้พวกนี้ราคาดี ถ้าเพลินไม่ได้ทำงานประจำ หรือรับราชการก็ยังมีอะไรให้ขายกินตอนแก่” เธอพูดถึงความฝันของตัวเอง