"เอาสิคะ ถ้าน้าตบหนูอีก หนูบอกไว้เลยนะว่าหนูสวน" เธอชูกำปั้นที่กำแน่น เคยมีสักครั้งไหมที่พ่อแม่ทำร้ายร่างกาย ไม่เคย! ท่านทั้งสองถนอมเธอมาเป็นอย่างดี แล้วอรทัยเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาตบตีเธอ
จำต้องลดมือลงแล้วใช้ปากสาปแช่งหลานสาวแทน ด้วยกลัวว่ามัทนาจะสวนกลับ แม้นางตัวใหญ่กว่านังเด็กนี่มาก แต่อายุไม่ใช่น้อยแล้ว เกิดกระดูกหักหรือบาดเจ็บขึ้นมาใครจะดูแล "ฉันขอให้แกไม่เจริญ ทำอะไรก็ฉิบหายล่มจม ให้สมกับที่แกทำกับผู้มีพระคุณอย่างฉัน"
"ตอนพ่อแม่ยังอยู่ ท่านทั้งสองอวยพรหนูตลอดว่าให้หนูมีชีวิตที่ดี ระหว่างแรงแช่งจากคนอย่างน้า กับพ่อแม่ที่แสนประเสริฐของหนู น้าคิดว่าชีวิตหนูจะเป็นตามปากใครมากกว่ากันคะ"
"แม่ขอให้หนูมีชีวิตที่ดี มีความสุข เรียนเก่ง แล้วก็เป็นเด็กดีของพ่อแม่อย่างที่เป็นตลอดมานะจ๊ะลูกรัก" คำอวยพรจากเมยวดีในวันคล้ายวันเกิดครบรอบสิบห้าปี ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ได้ฉลองร่วมกับพ่อแม่พร้อมหน้า มัทนายังจดจำคำอวยพร รอยยิ้ม ไออุ่นจากอ้อมกอดของคนที่เธอรักทั้งสองได้ไม่มีวันลืม
พ่อแม่จากไปเพียงร่างกาย แต่ท่านไม่เคยหายไปจากหัวใจและความทรงจำ ทั้งคู่ยังอยู่กับเธอมาจนถึงปัจจุบัน นึกถึงทีไรกำลังใจในการใช้ชีวิตก็มาเต็มเสมอ
"มาค่ะทุกคน เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ของแท้ราคาย่อมเยา"
มัทนาเปิดเสียงกระดิ่งให้สัญญาณจากแอปพลิเคชันที่พัฒนามาเพื่อให้แม่ค้าออนไลน์ที่ไลฟ์สดขายสินค้าและคนอื่นๆ ได้ใช้งาน แน่นอน.. หญิงสาวเป็นหนึ่งในคนที่ไปโหลดมา เธอผันตัวจากนักเรียนที่พึ่งจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายมาเป็นแม่ค้าไลฟ์สด ไลฟ์ขายของที่อรทัยกับนุดีไปชอปปิงกระจายโดยใช้เงินเธอซื้อ
"กระเป๋าใบนี้ราคาชอปอยู่ที่หมื่นต้น สภาพใหม่เอี่ยมเหมือนพึ่งแกะห่อ แม่ค้าขอขายต่อที่หกพันบาทจ้า ใครรับพิมพ์เคเจตามด้วยห้าหกเข้ามาได้เลย"
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
หญิงสาวพูดจบก็เปิดเสียงกระดิ่งเหมือนแม่ค้าไลฟ์สดหลายคนชอบทำ มัทนาไม่คิดเหมือนกันว่าไลฟ์ขายของจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คนซื้อเหมือนแจกฟรี เอฟรัวๆ ไม่มีพัก อาจเป็นเพราะเธอขายถูก หรือไม่ก็เพราะปากอันศักดิ์สิทธิ์ของพ่อแม่ที่พร่ำอวยพรลูกสาว ส่วนคำสาปแช่งจากคนใจคดอย่างอรทัย จ้างให้ก็ไม่มีผลอะไรกับชีวิตเธอ มิหนำซ้ำอาจคืนกลับไปหาคนพูดนั่นแหละ ทำเลวที่ไหนจะได้ดี ไม่มีหรอก แค่ว่ากรรมจะตามทันช้าหรือเร็วเท่านั้นแหละ
"ไปที่กระเป๋าใบต่อไปกันเลยนะคะคุณลูกค้า"
หนึ่งคนรับทรัพย์อื้อซ่า อีกคนยืนมองหน้าเขียวหน้าดำ โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะนังหลานสาวตัวดีอ้างทั้งตำรวจ อ้างทั้งศาล หากนางไม่ยอมทำตามที่ต้องการ มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอานางเข้าคุก ทั้งยังมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนปลัดอบต. ที่มัทนาไปเชิญมาเป็นสักขีพยานว่าของทุกอย่างที่มันกำลังขาย นางเต็มใจคืนให้โดยไม่มีข้อแม้ใด และจะไม่เอาผิดหรือเรียกเงินทีหลัง เท่านั้นยังไม่พอ อีเด็กนั่นยังไปขอร้องทนายแถวบ้านให้ช่วยเขียนบันทึกข้อความให้นางเซ็นไว้เป็นหลักฐาน
รอบคอบ
รอบคอบจริงๆ!
กว่าจะขายของกองเท่าภูเขาที่อรทัยกับลูกสาวซื้อมาหมดทุกชิ้น มัทนาก็เจ็บคอไปหมด แต่นับว่าคุ้มกับเงินหลายแสนที่ไหลเข้าบัญชี ใช่แล้วล่ะ ไม่ผิดค่ะทุกคน หลายแสน ไม่ใช่หลายหมื่น หลายพัน หรือหลายร้อย นี่ยังไม่นับรวมของที่อยู่อพาร์ตเมนต์นุดีอีกนะ
"น้าน้ำอย่าลืมบอกพี่นุดีเอาของมาให้หนูด้วย" เธอไม่ลืมกำชับอรทัยก่อนเดินออกจากบ้านคนที่เป็นน้องสาวสายเลือดเดียวกันกับเมยวดี "ถ้าพรุ่งนี้สิบโมงพี่นุดียังไม่โผล่หน้ามาพร้อมของของหนู รู้ใช่ไหมคะว่าหนูจะทำอะไร"
"เออ! ฉันรู้ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ ไม่ได้ความจำเสื่อม" อรทัยตะคอกใส่หลานที่ใช้พื้นที่บ้านตนขายของหน้าระรื่นโดยไม่ได้สนใจน้ามันเลยว่าจะรู้สึกยังไง "ถ้าแกไม่มีธุระอะไรแล้วก็ไสหัวออกจากบ้านฉันไปสักที"
เข้าใจความรู้สึกอรทัยดีว่าเป็นยังไง คงคับแค้นใจที่เธอเอาของในบ้านไปขายจนแทบเกลี้ยง เหลือไว้เพียงโทรทัศน์ ตู้เย็น และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประเมินจากสายตาคิดว่าน่าจะซื้อมานานแล้ว
ของของตน มัทนาคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ แต่อะไรก็ตามที่เป็นของคนอื่น หญิงสาวก็ไม่คิดแตะต้อง เธอเพียงรักษาสิทธิ์และทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง อะไรที่เกินขอบเขตที่ทำได้ เธอก็ไม่ทำ นี่แหละมัทนา เด็กสาวผู้กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่วัยเยาว์
"ได้สิคะ หนูจะอยู่ทำไมในเมื่อขายของจนหมดแล้ว เงินก็เข้ากระเป๋าแล้ว เหลือแค่แพ็กส่งลูกค้าเท่านั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูให้น้องๆ แถวบ้านมาแพ็กช่วยที่บ้านน้าก็แล้วกัน อ้อ! แล้วอย่าคิดขโมยของไปล่ะ หนูจำได้ทุกชิ้นว่ามีอะไรบ้าง ถ้าพรุ่งนี้ของไม่ครบ น้าต้องชดใช้นะคะ เพราะหนูจะถือว่าน้าขโมย" ความจริงเธอหอบของกลับไปขายที่บ้านตัวเองซึ่งอยู่ติดกันก็ได้ แต่ที่ไลฟ์ขายที่บ้านอรทัยเพราะอยากแทงหัวใจคนเป็นน้า อยากเอาคืน แม้เทียบไม่ได้กับที่อรทัยทำ อย่างน้อยน้องสาวแม่ที่รับเป็นผู้ปกครองเธอเพราะหวังผลประโยชน์ก็ได้รับรู้ถึงความโกรธแค้นและเจ็บใจบ้าง