“อ่า... เหนื่อยจังเลย...” ปานวาดยกมือขึ้นก่อนจะนวดไหล่ตัวเอง
“พรุ่งนี้ค่อยทำต่อเถอะ” เจไดเอ่ยอย่างเหนื่อยล้าเช่นกัน
ทางด้านเกวลินนั้นไม่ได้พูดอะไร เธอนวดต้นคอเบา ๆ ด้วยการเรียนทั้งวันจนถึงค่ำทำให้เธอเพลียมาก
“กลับบ้านกันเถอะ... ตอนนี้ฉันหิวแล้วก็เหนื่อยมากเลย...” ปานวาดพูดพลงขยับศีรษะคลายกล้ามเนื้อที่เกร็ง พวกเขาโบกมือลาเจ้าหน้าที่ห้องสมุดแล้วเดินไปยังลานจอดรถ
เกวลินสอดตัวเข้าไปในรถแต่ยังไม่ได้สตาร์ตเครื่องยนต์ เธอเลื่อนกระจกรถลงสัมผัสถึงอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนที่พัดผ่านใบหน้า มองออกไปด้านนอกแล้วถอนหายใจหลายครั้ง หญิงสาวเพลิดเพลินไปกับความเงียบและอากาศเย็นยามค่ำคืนที่ปะทะผิว พลางคิดถึงเรื่องหลายเรื่องที่กวนใจมาตลอดนอกเหนือจากเรื่องเรียน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามักจะรู้สึกว่างเปล่าทุกครั้งที่อยู่คนเดียว การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยหรูหราไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขอย่างที่คิด เพราะเธอถูกเลี้ยงดูมาแบบให้เห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัว
น่าแปลกที่แม้แต่ที่ที่เธอเรียกว่าบ้านก็ยังว่างเปล่า เกวลินหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง และสตาร์ตเครื่องยนต์ ถึงแม้จะอยากอยู่คนเดียว แต่ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว หากไม่รีบกลับโอเดนคงจะเป็นกังวลมากทีเดียว เขาเป็นคนเดียวที่เป็นห่วงเธอ และป่านนี้ก็คงกำลังรอเธอพร้อมกับอาหารเย็นสุดหรูบนโต๊ะ
ไม่นานหญิงสาวก็ผ่านประตูเหล็กแล้วเข้ามายังโรงจอดรถ เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นรถสีดำไม่คุ้นหน้าในโรงรถ ดวงตาคู่สวยมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะตลอดสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเธอที่นี่เลยสักคน
“รถคันนี้ไม่น่าใช่ของขวัญชิ้นใหม่นะ” เกวลินพึมพำขณะเดินไปยังประตูซึ่งมีโอเดนรออยู่พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“สวัสดีตอนเย็นครับนายหญิง วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” พ่อบ้านถามคำถามเดิมเหมือนทุกวัน
“เหมือนเดิมค่ะ แล้วคุณล่ะคะ เหนื่อยหรือเปล่า” เธอยิ้มล้อเลียนเขา ซึ่งเขาก็ทำเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ กับท่าทางนั้น
“อาหารเย็นพร้อมแล้วครับนายหญิง อืม... มีคนสำคัญกำลังรอคุณอยู่ด้วยนะครับ” โอเดนพูดอย่างระมัดระวัง ทำให้เกวลินอยากรู้ว่าเป็นใคร แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม
หญิงสาวเดินเข้าไปข้างใน แต่เมื่อถึงห้องรับแขกอันแสนกว้างขวาง เธอก็พบคนที่คาดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวอยู่กลางโซฟาตัวใหญ่ ทั้งสองสบตากันท่ามกลางความเงียบที่เริ่มปกคลุมทั่วทั้งสถานที่ ทำให้บรรยากาศภายในคฤหาสน์เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนโอเดนและพวกแม่บ้านต่างก็พากันยืนรออย่างสงบ
“ไปกินข้าวกันเถอะ” พยัคฆ์ลุกขึ้นพร้อมกับล้วงมือทั้งสองข้างในกระเป๋ากางเกง แต่เกวลินยังคงนิ่งขณะมองเขา
ทั้งสองสบตากันก่อนที่พยัคฆ์จะหันหลังและเดินไปยังห้องรับประทานอาหาร หญิงสาวมองดูแผ่นหลังกว้างในขณะที่เดินตามเขาไป ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะที่เธอนั่งประจำและชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ด้านขวามือเขา โอเดนจึงรีบเดินไปยืนอยู่ข้างหลังเพื่อรอรับคำสั่ง พลางมองหน้าเกวลินด้วยความกังวล
“นั่งลงจะได้เริ่มกิน โอเดนเสิร์ฟอาหารด้วย”
“รับทราบครับนายท่าน” โอเดนโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะชี้มือให้แม่บ้านเสิร์ฟอาหาร เกวลินถอนหายใจเบา ๆ ก่อนนั่งลงอย่างเงียบ ๆ พยายามไม่สนใจคนตรงหน้า
“เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง” พยัคฆ์ถาม เกวลินชะงักแล้วเงยหน้ามองเขา
“ก็ดีค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ ก่อนจะทานอาหารต่อ
“เธอจะได้ฝึกงานในโรงพยาบาลเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วเธอมีโรงพยาบาลที่จะไปฝึกงานแล้วหรือยัง”
“ค่ะ”
“โรงพยาบาลใหญ่ในเมืองใช่ไหม” พยัคฆ์ถามต่อ
“ใช่ค่ะ”
“ดี” เขาพึมพำอย่างพอใจพร้อมทั้งพยักหน้า “เธอจะมีที่ปรึกษาเฉพาะทางคอยช่วยเหลือในระหว่างฝึกงานด้วยนะ”
“ฉันจะปฏิบัติตามกฎระเบียบเหมือนนักศึกษาคนอื่นค่ะ” เกวลินพึมพำ
“จะมีแต่หมอที่เก่ง ๆ เท่านั้นที่จะได้สอนเธอ”
“แบบนั้นไม่ได้ค่ะ มันไม่ถูกต้อง” เกวลินยืนกรานด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“แต่มันถูกต้องสำหรับฉัน” เขาเห็นเธอกลอกตาใส่ แต่ก็เลือกที่จะทำเป็นมองข้ามความน่ารำคาญนั้นไป จากนั้นหันไปทางโอเดน “จัดการทุกอย่างตามนี้ด้วยนะโอเดน”
“รับทราบครับนายท่าน” โอเดนตอบรับอย่างสุภาพพร้อมโค้งคำนับ
“คุณกำลังบงการฉันอยู่นะคะ” เกวลินพูดโดยไม่มองพยัคฆ์ คำพูดของเธอทำให้โอเดนถึงกับอ้าปากค้างอย่างประหม่า
“ฉันแค่อยากจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอ” พยัคฆ์พูดโดยไม่สนใจสายตาที่มองมา
“แต่ฉันต้องทำตามระเบียบนะคะ”
“ไม่จำเป็น”
“นี่ ฉันไม่ใช่คุณนะที่จะแหกกฎได้น่ะ” เกวลินโต้กลับอย่างเย็นชา หากแต่เขายังคงกินต่อไปราวกับว่าไม่ได้ทะเลาะกันอยู่
“ทุกอย่างที่เป็นของฉันก็เป็นของเธอเหมือนกันนั่นแหละ” พยัคฆ์พูดอย่างสบาย ๆ
“หลังจากเก้า... ไม่สิ สิบปีเหรอคะ” เธอยิ้มเยาะ ชายหนุ่มถอนหายใจ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะรู้ว่าตัวเองผิดเต็ม ๆ “ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงตอนนี้คุณก็ยังจำฉันไม่ได้เลย ฉันเดาว่าคงมีคนเตือนคุณใช่ไหมคะ”
“ฉันค่อนข้างยุ่งน่ะ ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้นแหละ แต่นับจากนี้ไปฉันจะดูแลเธอเอง ขอให้รู้ไว้เถอะว่าฉันไม่เคยทอดทิ้งเธอเลย” พยัคฆ์รู้สึกผิดจนเจ็บแปลบในอก ไม่สามารถโต้แย้งคำพูดของเธอได้
“ยุ่งอยู่กับของเล่นสวย ๆ งาม ๆ มากเกินไป... อย่างเช่นปกป้องชุดเดรสบ้า ๆ นั่นสินะ” เกวลินยกคิ้วอย่างล้อเลียน
“เธอเป็นลูกสาวของผู้ร่วมธุรกิจน่ะ อืม… เอ็มม่าเป็นแขกของฉัน เป็นเพื่อน... และ... เอาเป็นว่าการแย่งชุดกันครั้งในตอนนั้นมันไร้สาระมาก” พยัคฆ์อธิบายอย่างหงุดหงิด
“เรากำลังพูดถึงชุดเดรสหน้าร้อนสีแดงที่ร้าน BT เหรอคะ” เกวลินถามอย่างสงสัย ทำให้เขาครุ่นคิด
“ใช่ ชุดสีแดงที่เธอซื้อให้เพื่อนไง” พยัคฆ์ตอบอย่างไม่พอใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น