อุษณีย์นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาดวงตากำลังมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หญิงสาววัยกลางคนสลัดคราบแม่ค้าขายขนมออกวันนี้เธอแต่งตัวด้วยชุดที่ดูดีเพื่อรอเวลาให้อดีตคนรักติดต่อกลับมาหลังจากเธอลงรูปถ่ายให้เขาได้รู้ว่าเธอยังมีตัวตน
ครืด ครืด
โทรศัพท์เครื่องเก่าส่งเสียงแผดร้องแม้จะยังใช้ได้แต่มันก็ผ่านการใช้มาอย่างยาวนาน หญิงสาววัยกลางคนนั่งนิ่งเธอนับหนึ่งถึงสิบอยู่ภายในใจก่อนจะยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายก่อนอดีตพนักงานต้อนรับของสายการบินชื่อดังจะกรอกน้ำเสียงเรียบนิ่งให้ปลายสายได้ยิน
"ฮัลโหล"
"โอ้ว ที่รัก เดซี่คุณจริง ๆ ด้วย"น้ำเสียงดีใจของอีกฝ่ายลอยผ่านสายโทรศัพท์ โรเบิร์ต เลียม แทบจะเก็บความดีใจเอาไว้ไม่ไหวเมื่อเขาสามารถติดต่อคนรักได้ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา
น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ เขาพยายามเก็บเสียงสะอื้นไม่ให้เธอได้ยิน ความตื่นเต้นดีใจมันจุกอก
"เดซี่ คุณสบายดีหรือเปล่า ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนผมคิดถึงคุณเหลือเกินที่รัก"
"..."หญิงสาวเงียบคำพูดในก่อนหน้านี้ถูกกลืนหายเมื่อเธอได้ยินเสียงของชายคนรัก
"ที่รัก ผมคิดถึงคุณเหลือเกินตั้งแต่คุณหนีไปไม่มีวันไหนที่ผมจะกินอิ่มแล้วหลับตานอนได้"
"..."
"คุณอยู่ที่ไหนเดซี่ ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้ที่รัก"
"ฉะ..."ก้อนแข็ง ๆ ถูกกลืนลงคอด้วยความยากลำบากมันยากที่เธอจะเปล่งเสียงพูดออกมาในตอนนี้
"ฉะ...ฉันกับลูกอยู่ที่เมืองไทย"ราวกับว่ามีเคลื่อนน้ำแข็งลูกใหญ่แช่นิ่งให้โรเบิร์ตไม่สามารถขยับได้เมื่อเขาได้ยินคนรักพูดออกมาแบบนั้น
"ละ...ลูกอย่างนั้นเหรอ"
"ใช่ ลูกสาวของเรา เธอชื่อ มิลาน ลูกสาวของฉันกับคุณ"หัวใจที่แห้งเหี่ยวมานานหลายปีบัดนี้น้ำได้มีน้ำทิพย์แห่งสวรรค์ไหลมาเติมเต็มให้หัวใจโรเบิร์ตให้กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
"เงียบทำไม ไม่ดีใจเหรอที่รู้ว่าฉันกับลูกยังมีชีวิตอยู่"
"ดีใจสิ ผมดีใจมากที่สุดเลยที่รัก นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ผมมีลูกแล้ว"
"ใช่ คุณไม่ได้ฝันไปหรอก"ถ้าหากไม่เกิดเรื่องวันนั้นป่านนี้ครอบครัวของเราคงจะได้อยู่พร้อมกันสามคนพ่อแม่ลูก
"คุณอยู่ที่เมืองไทยใช่ไหมที่รัก โอเค เดี๋ยวผมจะรีบบินไปหา คุณอย่าพึ่งพาลูกหนีผมไปไหนอีกนะเดซี่"ตั้งแต่เธอหนีไปจากเขา สภาพหัวใจและร่างกายมันไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น แม้เขาจะสั่งลูกน้องให้ออกตามหาแต่ก็ไร้วี่แวว ถ้าเธอไม่ลงรูปเมื่อเย็นวานบนโซเชียลเขาก็ไม่มีทางรู้ แม่เดซี่นี้ร้ายกว่าที่เขาคิดเอาไว้ปิดช่องทางการติดต่อเก่า ๆ ไม่ให้เขาได้รับรู้
"เดซี่ คุณได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า"
"ค่ะ ฉันได้ยิน"
"คุณกับลูกรอผมก่อนนะ ผมจะรีบบินไปหาคุณกับลูก"
"ค่ะ ฉันจะรอ"
ติ๊ด
เธอกดวางสายเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ความรู้สึกตอนนี้มันสับสนตีรวนไปหมดไม่รู้จะแสดงอาการยังไงออกมาดี
"พรุ่งนี้แล้วสินะ"ระยะเวลาในการเดินทางจากอิตาลีมาเมืองไทยก็ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมง แต่มันคงเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับคนที่มีสายการบินส่วนตัวเป็นของตัวเอง
ครืด ครืด
โทรศัพท์เครื่องเก่ามาสายเรียกเข้าอีกครั้ง ครั้งแรกอุษณีย์คิดว่าคนรักเก่านั้นโทรเข้ามา แต่กลับไม่ใช่เมื่อเบอร์ของปลายสายโชว์ชื่อของอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องของลูกสาว
"สวัสดีค่ะ"
"คุณอุษณีย์คะ หนูมิลานแย่แล้วค่ะ"หัวใจของคนเป็นแม่กระตุกวูบเมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ที่ปรึกษาเช่นนั้น
ความหวั่นใจแทรกเข้ามาตรงกลางอก อุษณีย์รีบคว้ากระเป๋าวิ่งออกจากบ้านไปด้วยความรวดเร็ว น้ำตาของคนเป็นแม่ซึมไหลเมื่อรู้ว่าลูกสาวของตัวเองในตอนนี้อยู่โรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บอย่างสาหัส
"มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงคะ ทำไมลูกสาวของฉันถึงได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้"อุษณีย์โวยวายอยู่ในห้องพักฟื้น สภาพของลูกสาวในตอนนี้มันเกินกว่าที่ผู้ให้กำเนิดอย่างเธอจะรับไหว เธอเลี้ยงของเธอมาไม่เคยทุบตีให้ลูกเจ็บช้ำตามร่างกายแล้วทำไมตอนนี้ถึงได้
"ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คงต้องให้หนูมิลานฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะสอบถามได้"อุษณีย์เม้มริมฝีปากแน่นด้วยความเสียใจปนคับแค้นแม้อยากจะร้องไห้แต่ตอนนี้เธอต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด ลูกกำลังเจ็บเธอจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด
"ทางโรงเรียนของเราต้องกราบขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น"
"..."
"ทางโรงเรียนจะเร่งหาสาเหตุและคนทำมาลงโทษให้เร็วที่สุด คุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลเลยนะคะ"
"ใครเป็นคนไปเจอลูกสาวของฉันคะ"
"คะ"อุษณีย์ตวัดสายตาไม่พอใจไปมองหน้าอาจารย์ที่ปรึกษาจนอีกฝ่ายหน้าสลดลง
"นักการภารโรงเข้าไปเจอน้องหนูมิลานนอนสลบอยู่ในห้องน้ำค่ะ จึงรีบโทรตามดิฉันให้พามาส่งที่โรงพยาบาล"
ปึง
ประตูห้องพักฟื้นถูกเปิดออกก่อนจะมีร่างสูงใหญ่ของคุณหมอวัยกลางคนเดินเข้ามาตรวจดูอาการของคนไข้
"สวัสดีครับ คุณเป็นญาติของคนไข้รายนี้ใช่ไหมครับ"
"ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นแม่ของมิลานเอง"
"เท่าที่หมอตรวจดูสมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือนนะครับ ส่วนบาดแผลตามร่างกายเกิดจากรอยขีดข่วนและไหนจะรอยฝ่ามือบนใบหน้านั้นอีก เดี๋ยวหมอจะให้ยาลดปวดและจะเข้ามาดูอาการเป็นระยะนะครับ"
"..."
"อาการบวมบนใบหน้าคงต้องรักษาอีกสามถึงสี่วันเลยนะครับว่าจะดีขึ้น เอ่อคุณแม่ครับไม่ทราบว่าคุณแม่จะต้องการแจ้งความกับทางตำรวจหรือเปล่าครับ"
"คะ"
"ไม่แจ้งค่ะ"ทั้งคุณหมอและอุษณีย์ต่างหันไปมองหน้าอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นสายตาเดียว
"ต้องแจ้งความใช่ไหมคะคุณหมอ"
"ครับ เพราะจากที่หมอตรวจดูอาการแล้วคนไข้ผ่านการถูกทำร้ายมาอย่างสาหัส มุมปากทั้งสองข้างแตกเป็นผล ตามร่างกายและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและเหตุการณ์ยังเกิดภายในรั้วโรงเรียนอีกด้วย แบบนี้น่าจะหาตัวคนก่อเหตุได้ไม่ยาก"
"ค่ะ ไว้ดิฉันจะเก็บไว้ไปพิจารณาดูก่อนนะคะ ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคืออยากให้ลูกสาวของดิฉันหาย"
"ถ้าหากญาติของคนไข้ต้องการเอกสารหลักฐานเพิ่มสามารถไปขอได้ที่หมอเลยนะครับ"
"ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ"หมอเจ้าของไข้เดินออกไปทิ้งให้บรรยากาศภายในห้องพักฟื้นอึมครึมไม่สู้ดี
"ฉันต้องการภาพจากกล้องวงจรปิดทุกตัวภายในโรงเรียนค่ะ"
"คือว่า ถ้าหากคุณแม่ต้องการภาพจากกล้องวงจรปิดต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อำนวยการของโรงเรียนก่อนค่ะ"คุณครูที่ปรึกษาตอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่อุษณีย์จะเดินทางมาถึงโรงพยาบาล ผู้อำนวยการโรงเรียนได้ส่งข้อความกับคลิปวิดีโอมาแล้วว่าใครเป็นคนทำให้เด็กสาวผู้โชคร้ายบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
และเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นบุตรสาวของคนที่มีอำนาจและมีบุญคุณต่อโรงเรียน
"คุณแม่คะ คุณครูคิดว่าคุณแม่อย่าไปแจ้งความเลยนะคะ อย่าทำให้เรื่องทะเลาะวิวาทเล็ก ๆ ของเด็กนักเรียนกลายเป็นเรื่องใหญ่"คุณครูที่ปรึกษาเปิดกระเป๋าก่อนจะล้วงเอาซอกสีขาวซึ่งมีเงินอยู่ในนั้นจำนวนหนึ่งยื่นให้อุษณีย์
"ถือซะว่าเป็นค่ารักษาและค่าทำขวัญให้กับหนูมิลานนะคะ"
"..."
"ถ้าหากคุณแม่แจ้งความไปมันอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่ออนาคตของหนูมิลานได้นะคะ"อุษณีย์ยืนฟังด้วยความใจเย็น เธอไม่คิดจะยื่นมือออกไปรับและไม่มีความคิดที่จะรับเงินก้อนนี้ จนคุณครูที่ปรึกษาต้องวางเอาไว้บนเตียงคนไข้
"อย่าทำเรื่องเล็กให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ อีกไม่กี่วันใบเกรดก็จะออกแล้ว นักเรียนก็ใกล้จะเรียนจบกันแล้วทุกคน"
"..."
"เห็นแก่อนาคตของเด็กเถอะนะคะ"คุณครูที่ปรึกษาพูดแค่นั้นก่อนจะเดินจากไปแม้เธอจะรู้สึกเห็นใจผู้ถูกกระทำแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทางโรงเรียนไม่มีอำนาจมากพอเพราะถ้าหากทางโรงเรียนยื่นมือเข้าไปช่วยเงินสนับสนุนในปีต่อ ๆ ไปก็คงไม่มีเหลือ