5
ทว่าอนัญญาไม่เคยบ่นหรือต่อว่าที่อภิญญาที่ทำให้ตนเองต้องลำบาก และยิ่งรู้ว่าน้องสาวตนตั้งใจให้เด็กในท้องเกิดมาโดยพ่อเด็กไม่รู้ อนัญญาอึ้งและไม่คิดว่า อภิญญาจะกล้าทำเช่นนี้ แต่เมื่อทำลงไปแล้วอนัญญาก็ยอมรับในเรื่องที่น้องสาวทำลงไป อีกประการหนึ่งเด็กที่เกิดมาก็เป็นหลานของตนด้วย จะเอาออกเพื่อให้ไม่มีภาระผูกพันก็ไม่ได้ หล่อนไม่มีวันทำเช่นนั้น อนัญญาจึงทำงานงกๆ เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว
แม้ว่าตอนนี้อภิญญาเสียชีวิตไปแล้ว ลดภาระอนัญญาไปอีกหนึ่งคน ทว่าภาระที่ต้องเลี้ยงดูหลานชายทั้งสองคนนั้นระยะยาวเป็นสิบปีกว่าจะจบระดับชั้นปริญญาตรีตามตั้งใจ แม้ว่าจะเรียนจบก็ไม่ใช่ว่าจะหมดหน้าที่ การเลี้ยงดูลูกหลานคือ ภาระหน้าที่แบบไม่มีวันจบสิ้น
“เหนื่อยสิ เหนื่อยมากเลย” อนัญญาตอบตามตรง “แต่เหนื่อยมากแค่ไหนฉันก็มีความสุข เวลาเหนื่อยเห็นหน้าส้มกับหลานก็หายเหนื่อยแล้ว”
ความสุขของอนัญญามีไม่กี่อย่าง หล่อนเติบโตมาพร้อมกับอนัญญาน้องสาวด้วยการเลี้ยงดูของยายที่เสียชีวิตตอนอนัญญาอายุสิบสี่ปี ทิ้งบ้านหลังนี้ให้สองพี่น้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง อนัญญาจึงทำหน้าที่พี่สาวที่แสนดี ขณะเรียนหนังสือก็รับจ้างทุกอย่างที่ได้เงิน ส่งเสียทั้งตัวเองและน้องสาวจนจบปริญญาตรี หล่อนเหนื่อยมาโดยตลอดจนถึงวันนี้ แล้วรู้สึกว่าจะเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องส่งเสียเลี้ยงดูหลานรักทั้งสองคน
“ฉันจะช่วยแกด้วย อาจช่วยไม่ได้มาก แต่ฉันก็จะช่วยเต็มที่”
“ขอบใจมากนะ ฉันคิดว่าฉันไหว” อนัญญาเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้
“ฉันถามเรื่องนึงสิ ว่าจะถามแกตั้งนานแล้ว แต่ลืมทุกที”
“ถามว่า”
“ก่อนส้มตาย ส้มบอกหรือเปล่าว่าใครคือพ่อของสองแฝด” อนัญญามองหน้าคนถาม พลางถอนหายใจ
“ไม่ได้บอก ฉันเคยถามครั้งนึง ส้มบอกฉันแค่ว่าเขาเป็นคนอาหรับอยู่ประเทศซาเมียร์ บอกฉันแค่นี้แหละ” ใบหน้าของอานัสและอานีสมองปราดเดียวก็รู้ว่ามีเชื้อสายอาหรับ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวมีแพขนตาล้อมกรอบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางได้รูป สีผิวเป็นสีแทนส่งเสริมให้ดูหล่อเข้มตามแบบฉบับผู้ชายในประเทศซาเมียร์ “ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วแหละว่า พ่อของสองแฝดเป็นใคร ฉันก็ไม่อยากรู้ด้วย เรื่องที่ฉันรู้คือ ฉันต้องเป็นทั้งพ่อแม่และป้าของสองแฝด”
“ฉันมาอยู่กับแก ฉันก็จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยแกเลี้ยงหลาน ช่วยทำงานบ้าน เราจะช่วยกันดูแลอานัสกับอานีสนะเปรี้ยว”
อนัญญายิ้มและพยักหน้าให้จรรยา ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันทำอาหารเช้า และเมื่อทำเสร็จจรรยาลำเลียงไปตั้งบนโต๊ะอาหาร ส่วนอนัญญาไปตามหลานชายที่อยู่ชั้นบนของบ้าน ทันทีที่อนัญญาเปิดประตูห้องหลานชาย สองหลานรักพุ่งตัวกอดร่างคนเป็นป้า ต่างแย่งกันพูดราวกับว่ากลัวน้อยหน้ากัน
“แม่ฮะ อาบน้ำให้อานีสก่อนนะฮะ”
อานีสแฝดน้องเรียกอนัญญาว่า แม่แทนเรียกว่าป้าอย่างที่ควรจะเป็น สาเหตุเป็นเพราะอภิญญาพูดกับลูกชายทั้งสองเสมอว่า อนัญญาเปรียบเสมือนแม่คนหนึ่งที่ดูแลทั้งคนเป็นแม่และลูก การเรียนอนัญญาว่า แม่ คือเรื่องที่ถูกต้องที่สุด
“ไม่เอาฮะ อาบให้อานัสก่อนเพราะอานัสเป็นพี่” อานัสไม่ยอม เอ่ยออกไปทันควัน
“ไม่ แม่ต้องอาบให้อานีสก่อนเพราะอานีสเป็นน้อง อานัสเป็นพี่ก็ต้องคอยสิ คอยได้ยินไหมว่าต้องคอย” อานีสไม่ยอมเช่นกัน
“เอาอย่างนี้นะครับ เมื่อวานนี้แม่อาบให้อานีสก่อน วันนี้แม่ก็ต้องอาบอานัสเป็นคนแรก อานีสก็ต้องคอยเหมือนกับที่อานัสคอยเมื่อวานนี้ แต่ถ้ายังเถียงกันไม่เลิก แม่จะไม่อาบน้ำให้ใครเลย ให้อาบกันเองนี่แหละ โตแล้วนี่”
อนัญญาสอนให้หลานชายอาบน้ำเอง หล่อนมีกฎว่าตอนเช้าจะเป็นคนอาบน้ำให้ ส่วนในตอนเย็นเด็กชายทั้งสองจะต้องอาบน้ำเอง คนเป็นป้าตั้งใจว่า อาบให้จนถึงอายุแปดขวบเพราะวัยนั้นถือว่าโตพอที่ช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว
“ก็ได้ฮะ” อานีสรับคำเสียงเบา เดินไปนั่งรอบนเตียงนอน
“ไปครับอานัสไปอาบน้ำกัน อาบเสร็จจะได้ลงไปกินข้าวดูการ์ตูน ตอนสิบโมงไปเรียนว่ายน้ำนะครับ วันนี้ป้านิวจะเป็นคนพาไปนะครับ” อนัญญายอมควักตังค์ให้สองหลานรักเรียนว่ายน้ำ ส่วนช่วงบ่ายหล่อนก็ทุ่มทุนเพื่อการศึกษาส่งหลานชายไปเรียนภาษาอังกฤษกับครูเจ้าของภาษาโดยตรง หล่อนให้เรียนมาตั้งแต่อายุสี่ขวบครึ่งจนถึงตอนนี้ ภาษาอังกฤษของทั้งคู่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้การพูด อ่านและเขียนดีอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และที่สำคัญที่สุด สามารถสื่อสารได้ดีทีเดียว คนส่งเสียให้เรียนถึงกับปลื้มปริ่ม มีแรงทำงานขึ้นมากโข
หลังจากอนัญญาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หลานชายทั้งสองคนเสร็จ ทั้งสามเดินลงมากินมื้อเช้าที่จรรยาเตรียมไว้ให้ แล้วเสร็จอานัสกับอานีสเดินออกจากบ้านไปว่ายน้ำพร้อมจรรยา ส่วนอนัญญาเดินไปห้องพักของตนเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน
15.00 น.
ทุกสายตาในซอยเปี่ยมสุขต่างพากันมองรถยนต์ยี่ห้อหรูสองคันที่หลายคนไม่รู้จักและไม่เคยเห็น ความสวยหรูของมันดึงดูดใจคนหลายคนให้หยุดมอง รถสองคันนี้มาจอดหน้าบ้านอนัญญาสาวปากกล้าประจำซอย
ยศวินก้าวลงจากรถ เขาเดินมาหยุดยืนหน้าประตูรั้วบ้าน เขามองไปยังแม่กุญแจที่คล้องอยู่หน้าประตูจึงรู้ว่า บ้านไม่มีคนอยู่ ยศวินหมุนตัวมาหยุดยืนตรงประตูฝั่งด้านหลังคนขับ กระจกรถด้านนั้นค่อยๆ เลื่อนลง
“ไม่มีคนอยู่ครับ” ยศวินรายงาน
“งั้นรอ” กระจกรถเลื่อนขึ้นทันทีที่ชีคหนุ่มพูดจบ ยศวินจึงเดินอ้อมรถมานั่งที่เดิม ทั้งหมดนั่งรอเวลาให้เจ้าของบ้านเดินทางกลับบ้านในรถยนต์
ชีคฟาฎิลไม่เคยรอใครมาก่อน มีแต่คนรอเขามากกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขานั่งรอการกลับมาของคนในบ้านหลังนี้ ทว่าฟาฎิลไม่มีความหงุดหงิดให้เห็นเลย เขาฆ่าเวลาด้วยการนั่งมองดูรูปถ่ายของสองฝาแฝด เด็กชายที่อภิญญาบอกว่าเป็นลูกของเขา