ยิ่งเข้าใกล้บ้านของผู้หญิงคนนั้น กลิ่นมะลิอ่อนหวานก็พลันแต้มเต็มจมูกจนทำให้ฉากรักที่เพิ่งเกิดขึ้นปรากฏเด่นชัดราวกับเขาเพิ่งทำมาหมาดๆ เสียงร้องไห้ คร่ำครวญ คำห้ามปราม กับสิ่งที่เขาฝากฝังไว้กับเรือนร่างบอบบางนั้นทำเอาต้องหยุดเดินแล้วลูบหน้าลูบตาเพื่อเรียกสติตัวเอง จนแขนถูกใครบางคนแตะนั่นแหละถึงได้สะดุ้งสุดตัว
“พ่อเลี้ยง มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ” ยายอบร้องถาม หรี่ตาลงอย่างสำรวจ “หน้าพ่อเลี้ยงดูซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า”
“คือฉัน...สบายดี แต่คงเป็นเพราะ...”
“ถ้าอย่างนั้น ไปๆ จ้ะ ขึ้นเรือนไปกินน้ำกินท่าสักหน่อย น้ำลอยดอกมะลิหอมชื่นใจดีนะพ่อเลี้ยง ถ้าลองหน่อยรับรองจะติดใจ”
แค่ยายเอ่ยถึงดอกมะลิหอมชื่นใจ เลือดในกายของเขาก็พลุ่งพล่านเสียจนใบหน้าเริ่มร้อนไปหมด ยิ่งเห็นอาการของพ่อเลี้ยงเป็นเช่นนั้น ยายอบก็แทบจะลากเมธัสเข้าไปในบ้านเลยทีเดียว ขึ้นมาแล้วก็กำลังจะเอ่ยปากเรียกหลานสาว ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่าหลานยังป่วยอยู่ก็เลยไปเตรียมน้ำมาบริการเสียอีก
“ลองดื่มดูสิจ๊ะ ถ้านายชอบ ฉันจะให้นังเทียนแวะเอาดอกมะลิไปให้ทุกวัน นายจะได้เอาไว้ลอยน้ำดื่มให้ชื่นใจ”
“ขอบคุณครับ” พ่อเลี้ยงอ้อมแอ้มรับแล้วจิบน้ำเงียบๆ ทว่าดวงตาดำเข้มนั้นกลับลักลอบมองบ้านหลังเล็กอย่างสำรวจตรวจตรา ดูเหมือนบ้านหลังนี้จะสะอาดสะอ้านกว่าบ้านพักคนงานหลังอื่นๆ ไม่น้อย ข้าวของตกแต่งไม่มากแต่ดูแล้วสบายหูสบายตาทีเดียว “บ้านยายอบดูเรียบร้อยดีนะ ยายคงดูแลบ้านเป็นอย่างดี”
“โอ๊ย! เป็นฝีมือนังเทียนมัน ตั้งแต่เล็กอยู่กับฝุ่นไม่ได้ จึงต้องช่วยกันทำความสะอาดตลอด”
“อย่างนั้นหรือจ๊ะ แล้วนี่ หลานของยายอาการยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ”
“เฮ้อ...” ยายอบถอนใจแรงๆ แววตาแกดูเป็นกังวลขึ้น “สองสามวันก่อนก็ยังดีๆ อยู่ นี่คงไปตากฝนเข้าถึงได้ป่วยขึ้นมา ร่างกายของนังเทียนน่ะป่วยง่ายแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยายจึงไม่ค่อยให้มันออกไปทำงานที่ไหน”
“แล้วไม่ได้เรียนหรือครับ”
“จบแค่มอ.หกจ้ะพ่อเลี้ยง มันไม่ยอมไปเรียนต่อในเมือง บอกเป็นห่วง ไม่อยากให้ยายอยู่คนเดียว”
“เป็นเด็กดีจังเลยนะครับ”
“ก็มีนังเทียนคนเดียวที่ยายจะพึ่งพาได้ นี่ถ้ายายตายไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านังเทียนจะอยู่ยังไง” พูดแล้วก็ทิ้งแผ่นหลังดูเหนื่อยล้าเสียจนอายุที่มีมากอยู่แล้วถูกบวกเพิ่มไปอีกสิบปี “ชีวิตนี้ ยายก็ห่วงแค่หลานสาวคนเดียวนี่แหละ”
เมธัสอึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้ายายอบรู้เรื่องระหว่างเขากับหลานของแกจะเป็นยังไงบ้าง คงไม่ฟาดกบาลเขาด้วยท่อนซุงหรอกนะ เมื่อได้ข้อมูลเยอะพอสมควรแล้วชายหนุ่มจึงค่อยๆ ลุกขึ้น ขอตัวออกไปอย่างเกรงใจ “ผมอยู่กวนยายมาสักพักแล้ว ยังไงก็ขอตัวกลับก่อนนะครับ ยังไงไว้ว่างๆ จะแวะมาขอดื่มน้ำมะลิหอมๆ ของยายอบอีก”
“โอ๊ย! มาได้เลยพ่อเลี้ยง อย่าเกรงใจเลยจ้ะ ถ้าไม่มีพ่อเลี้ยงให้บ้านคุ้มหัว พวกเราคงกลายเป็นคนเร่ร่อนไปนานแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงๆ พวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น”
“โธ่...ดีจริงๆ เลยพ่อคุณ” ยายอบคว้ามือของเมธัสมาตบเบาๆ แล้วลุกขึ้นเตรียมตัวลงไปส่ง แต่ว่ากลับได้ยินเสียงแหบๆ ของหลานสาว ซึ่งหลุดมาพร้อมกับเสียงเปิดประตูห้องเสียก่อน จึงได้ชะงักกันทั้งคู่
“ใครมาหรือจ๊ะยาย”
เมื่อพักผ่อนจนเริ่มมีแรงวันวิสาก็เดินออกจากห้อง ยิ้มให้ยายอบด้วยแววตาที่สดใสขึ้น แต่พอเห็นเงาร่างสูงใหญ่คุ้นตาของใครบางคนที่เธอแอบมองมาตั้งแต่ย่างเข้าวัยสาวก็พลันหยุดนิ่งราวกับถูกสาปก็ไม่ปาน
“เอ้า! ยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะเทียน ไหว้พ่อเลี้ยงเมธซะสิ”
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย พลางพยายามข่มความหวาดกลัวเอาไว้ก่อนจะค่อยๆ ยกมือสั่นๆ พนมไหว้
“สวัสดีจ้ะพ่อเลี้ยง”
ใบหน้าซีดขาวกับอาการคล้ายเห็นผีของอีกฝ่าย ทำให้เมธัสแน่ใจแล้วว่า ผู้หญิงที่ตัวเองตามหานั้นยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว จึงเดินเข้าใกล้อีกฝ่าย ครั้นเธอถอยหลังหนีก็เดินตามติดจนเหลือช่องว่างเพียงช่วงตัวถึงได้เอ่ยขึ้น
“ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนะ...หนูเทียน”
“พะ...พ่อเลี้ยง”
ใช่...น้ำเสียงแบบนี้ ท่าทางแบบนี้เลยที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขา ภาพความงดงามของเธอในยามที่บิดครวญอยู่ใต้ร่างมันทำให้เขาหลงลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ลืมไปด้วยซ้ำว่าเพียงรุ้งคือคนที่ตัวเองควรเพรียกหา ช่วงเวลาหลายชั่วโมงมานี้เขาเอาแต่คิดถึงเจ้าของผิวกายหอมๆ กลิ่นดอกมะลิอ่อนๆ ทั้งสดชื่นและซาบซ่านในความรู้สึก
จนกระทั่งรู้สึกว่ายายอบกำลังจ้องอยู่นั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้เปลี่ยนท่าที “ได้ข่าวว่าไม่สบาย หายดีหรือยัง”
“หะ...หายดีแล้วค่ะ” วันวิสาตอบด้วยเสียงสั่นๆ ขาแข้งของเธอเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนต้องยืนพิงประตูห้อง
“ขะ...ขอตัวก่อนนะคะ”
โดยไม่รอให้พ่อเลี้ยงเอ่ยอนุญาตหญิงสาวก็รีบหมุนกายกลับเข้าห้องแล้วซ่อนตัวเองอยู่ในนั้น ทำเอายายอบตกใจเสียยกใหญ่ จึงได้แต่พร่ำขอโทษพ่อเลี้ยงอยู่ไม่หยุด แม้ลงมาส่งจนถึงหน้าบ้านหน้าตาก็ยังไม่สู้ดี
“ยายขอโทษแทนนังเทียนด้วยนะพ่อเลี้ยง อย่าไปถือสาหาความกับมันเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกยาย หลานของยายคงตกใจที่เห็นฉัน”
“นั่นสินะ ร้อยวันพันปีมันไม่เคยเห็นพ่อเลี้ยงในระยะใกล้แบบนี้มาก่อน”
“หมายความว่ายังไงหรือครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ยายอบส่ายหน้า จะให้บอกได้อย่างไร ว่าหลานของนางแอบชื่นชอบพ่อเลี้ยงอยู่ลับๆ
“ยังไง พ่อเลี้ยงก็กลับดีๆ นะจ๊ะ รอไว้ดอกมะลิตูมได้ที่ ยายจะให้นังเทียนนำไปฝาก”
“ครับ” เมธัสตอบรับเบาๆ แต่สายตานั้นกลับทอดมองไปยังเรือนไม้ที่ตัวเองเพิ่งเดินลงมา แม้จะก้าวออกไปหลายเมตรแล้ว ก็ยังคงเหลียวกลับไปอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งมุมปากพลันกระตุกขึ้นนั่นแหละถึงได้ตัดใจเดินกลับไปยังบ้านพักของตน