เสียงเรียกเข้ามือถือของอัคคีในตอนนี้. ทำให้ชายหนุ่มจำต้องวางคู่ขาที่อ่อนเพี้ยลงก่อนเพื่อจะกดรับสาย..
“ครับจำได้ครับ ..แถวไหน? โอเค... รอที่นั่นอย่าพึ่งไปไหนนะครับ เดียวผมไปถึง”
อัคคีมองหน้าแฟนสาว... หลังวางสายโทรศัพท์
“เมย์พี่มีเรื่องด่วน ต้องรีบไป..”
“ไม่เป็นไรค่ะ..พี่อัคคีไปเถอะ...เดียวเมย์กลับหอไปนอนแล้ว...”
นิสิตสาวหายใจหอบ... ในใจไม่คิดอะไรอีกเพราะตอนนี้เธออิ่มเปรมในกามปรารถนาแล้ว... ดังนั้นตอนนี้จึงทำให้หญิงสาวต้องการที่จะกลับไปนอนพักผ่อน เหมือนเช่นที่เธอบอกแฟนหนุ่มก็เพียงเท่านั้น
............................................................................
วรรณิศาเห็นไฟหน้ารถวคันหนึ่งวิ่งมาจอด ในขณะที่หญิงสาวนั่งสั่นอยู่ในรถด้วยความรู้สึกที่สับสนและหวาดผวา แต่เมื่อหญิงสาวเห็นผู้เปิดประตูรถที่พึงมาถึง มันทำให้หญิงสาวคลายความกังวลต่างๆ ลงไปได้มากกว่าครึ่ง ก่อนที่นิสิตสาวจะรีบเปิดประตูรถ แล้วรีบเดินตรงไปหาผู้มาถึงใหม่ในทันที
“พี่..พี่..ค่ะ...”
“ผมชื่ออัคคี”
เบอร์โทรในนามบัตรของอัคคีเป็นเพียงเบอร์เดียวที่ วรรณิศาโทรไปแล้วมีคนรับ... และสิ่งนั้นมันได้นำชายหนุ่มมาถึงที่นี่ ในช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ในขณะนี้
“... พี่... อัคคี ศา...ศา...”
“ไม่เป็นไร..ครับ น้องศา...พาพี่ไปดูศพเอกก่อนเราถึงมาว่ากันนะ..”
เสียงทุ้มกล่าวเช่นนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจ ก่อนที่จะรู้สึกถึงเสื้อแจ๊กเก็ตตัวหนาที่อัคคีใช้สวมใส่ถูกถอดออกมาคลุมที่ไหล่ของเธอ ขณะที่หญิงสาวเดินนำเขาไปยังศพของเอก ที่ถูกรถที่เธอเป็นผู้ขับลากเขามาเป็นระยะทางร่วมสิบกิโลเมตรจนเอกเสียชีวิต
“พี่เอก...คะ..ไม่นะ...อือๆ”
เมื่อไปถึงไฟฉายในมือของอัคคีที่เขานำติดตัวมาด้วย ก็ถูกฉายไปยังร่างอันไร้วิญญาณของเอก จนมันทำให้ทั้งคู่มองเห็นร่างนั้นได้ชัด ก่อนจะทำให้วรรณิศาเรียกชื่อชายหนุ่มรุ่นพี่ที่พึ่งเสียชีวิต... ก่อนที่หญิงสาวจะโผเข้าไปซบหน้าไปยังแผงอกหนาของอัคคี พร้อมกับปล่อยเสียงร้องไห้โฮ ออกมาอีกครั้ง...
“น้องศา ค่อยๆ เล่านะ...”
เสียงเล็กแหลมเริ่มเล่า..ขณะสายตาของอัคคีพิจารณาศพคนตายที่มีเชือกขนาดสี่ถึงห้าหุนผูกติดอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง ส่วนปลายอีกข้างของเชื่อก ถูกผูกติดกับรถเก๋งที่หญิงสาวขับเตลิดหนีมา และถ้าให้วิเคราะห์ถึงสาเหตุการตายก็คงเกิดจากเอกถูกรถลากร่างเขามาอย่างแน่นอน..
“ยังงั้น...เวลาเล่าให้ตำรวจฟัง...ก็เพียงบอกว่า นายเอกลวนลาม.แล้วน้องศาก็วิ่งหนีไป... แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าถูกบังคับให้ใช้ปากช่วยสำเร็จความใคร่ให้กับคนตายนะ...”
“ค่ะ..”
หญิงสาวก้มหน้าด้วยความเขินอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเรื่อง...
“และสำหรับชายชุดดำหน้าขาว น้องศาพอจะรู้ไหมว่าคือใคร?”
“ไม่ค่ะ ศาไม่รู้จัก และดูไม่ออกเลยว่าเขาคือใครด้วยซ้ำ”
“ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร...เอาละเราจะต้องไปแจ้งความกันก่อน...เรื่องอื่นเอาไว้ที่หลังนะ”
อัคคีตัดบท...ก่อนจะพาร่างที่ยังสั่นเทา เดินจากความหวาดผวาไปขึ้นรถของเขา ก่อนจะขับมันออกไปจากบริเวณถนนแห่งความตาย ที่มีเพียงป่ารกขึ้นอยู่สองข้างทางไปในทันที
.................................................................
ไซเรนสีแดงบนหลังคารถ ที่มองดูก็รู้ว่าใช้ในราชการตำรวจส่องแสงแวบวับ...ขณะชายในชุดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลายคน เดินกันไปมาขวักไขว่ .
“พบอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ครับหมวด...”
อัคคีและ วรรณิศายืนงุน งงอยู่ตรงบริเวณที่เขาทั้งคู่เคยยืนคุยกัน ถึงศพของเอกที่นอนตายอยู่บริเวณนี้... ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่รถเพื่อไปแจ้งความ เมื่อกว่าชั่วโมงที่ผ่านมา..
“พวกเราหาจนทั่วแล้วนะครับไม่พบทั้งรถ ทั้งศพ...ที่ว่าเลย”
“ไม่นะคะ... ศา... เป็นคนขับรถลากพี่เอกมาจอดอยู่ตรงนี้จริงๆ ... ค่ะ”
“ครับผมยืนยันได้...ทั้งเรื่องรถและเรื่องศพ”
อัคคีกล่าวใบหน้าเครียด...กับร้อยตำรวจหนุ่มที่มาบอกในสิ่งที่ทำให้วรรณิศากับอัคคีงุงงง ว่า... บริเวณที่ทั้งสองคนไปแจ้งความเอาไว้ แต่ทางตำรวจได้ทำการตรวจสอบแล้ว แต่พวกเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลับไม่พบทั้งศพทั้งรถ ตามที่ทั้งคู่ไปแจ้งความ..ขณะที่อัคคีพยายามยืนยันว่าสิ่งที่ไปแจ้งความ นั้นมันเป็นความจริง...
“เอาละครับ...เรื่องนี้ผมจะมาตรวจบริเวณนี้อีกครั้ง...เพื่อหาร่องรอยที่คุณทั้งสองว่า...แต่ตอนนี้ผมว่าคุณทั้งสองควรกลับไปพักผ่อนกันก่อนจะดีกว่า เพราะนี่มันก็ตีสี่เข้าไปแล้ว...และเมื่อทางตำรวจได้เรื่องยังไง? ผมจะแจ้งให้ทราบนะครับ..”
“แต่หมวด..ค่ะ..”
“ผมศิลาครับ..”
นายตำรวจหนุ่มแนะนำชื่อ ขณะที่วรรณิศายังอยากจะยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ...แต่
“พอก่อนเถอะน้องศา เอาตามที่หมวดศิลาว่า... พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
หญิงสาวหยุดมองที่ใบหน้าชายหนุ่มที่กล่าวสรุป แล้วจึงพยักหน้าแสดงถึงความเข้าใจ ก่อนที่จะก้าวตามอัคคีไปขึ้นรถ
“พี่อัคคี... ศาไม่ได้บ้านะคะ..”
“พี่ก็เห็น.. เหมือนน้องศาเห็น แต่เมื่อไม่เห็นศพก็ดีไปอย่าง เพราะไม่ยังงั้น น้องศาอาจโดนตำรวจตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่ได้เจตนาได้นะตอนนี้”
อัคคีกล่าวใบหน้านิ่งขณะขับรถพาหญิงสาวออกจากบริเวณปริศนา ขณะวรรณิศาใจหายเมื่อรู้ว่าเธอต้องตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนอย่างที่ชายหนุ่มบอก
“พี่รู้สึกว่ามันจะต้องมีคนเล่นอะไรสักอย่าง...เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น...มันเหมือนกับตำนานที่ถูกเล่าขานกันมาหลายยุคหลายสมัย..”
“ใช่..ค่ะ..มันเหมือนตำนานที่ ศาเคยฟังพี่เอกเล่าให้ฟังก่อนที่แกจะตาย...”
“ถ้ายังงั้น เราก็ควรให้ทางตำรวจ... เขาสืบดู และอาจไม่มีใครตายก็ได้ในเรื่องนี้”
“พี่อัคคีว่า...พี่เอกแกล้งหรือคะ.”
“ไม่ พี่ไม่ได้ว่าแบบนั้น... แต่มันเป็นไปได้ทุกอย่าง เอาละน้องศากลับไปพักผ่อนก่อน พี่จะไปส่งที่หอ”
“ค่ะ..”
วรรณิศากล่าวสั้นก่อนจะนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยจิตสับสน จนหญิงสาวต้องคิดย้อนไปย้อนมา และเนื่องจากความอ่อนเพลียมันทำให้หญิงสาวหลับตาแล้วพยายามเลิกคิดในทุกๆ เรื่อง ก่อนที่จะเผลอหลับไป..
...........................................................
วรรณิศารู้สึกตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะมีความรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ เธอไม่คุ้นเอาเสียเลย และ สิ่งนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวพยายามคิดหาเหตุผล? ว่าทำไมเธอจึงมานอนอยู่บนเตียงใหญ่หนานุ่ม แทนที่จะเป็นเตียงเล็กแคบของหอพักมหาวิทยาลัยที่เธอใช้พักอาศัย..
“ตายแล้ว.ใครนี่?”
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือข้างหนึ่งไปสัมผัสถูกร่างของคนคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับเธอ ก่อนที่วรรณิศาจะใช้สายตาเพ่งมองไปยังใบหน้าผู้ที่นอนนิ่ง
“พี่อัคคี”
เธอกล่าวชื่อผู้นอนหลับอยู่ข้างๆ เบา ก่อนจะรีบสำรวจตัวเองว่า มีอะไรผิดปกติกับตัวเธอหรือไม่..
“อ้าวตื่นแล้วรึ...อยากกินอะไรก็ไปหากินในครัวนะ..พี่ขอนอนต่อ”
เสียงกล่าวนั้นทำให้วรรณิศา ต้องรีบลุกพรวดขึ้นจากเตียง จนพบว่าชุดที่เธอสวมในขณะนี้ยังคงเป็นชุดเดิมที่เธอใช้สวมใส่เมื่อคืน มันจึงทำให้หญิงสาวโล่งใจ..
“ทำไมพี่..ไม่ไปส่ง ศาที่หอ..”
เสียงถามห้าวออกจากปากเล็ก
“อ้าว...ก็เมื่อคืน..น้องศานั่งหลับบนรถพี่ พอถึงหอน้อง... พี่เรียกยังไงก็ไม่ยอมตื่น จะอุ้มขึ้นไปบนหอก็ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน?”
“ยังไงพี่ก็ต้องปลุกศาให้ตื่นสิ?”
“อ้าว ..ก็ตอนนั้นมันตีห้ากว่าแล้ว คนเขาตื่นกันมาทั้งหอ เดียวก็มาเห็นน้องศาไปไหนมาไหนกับผู้ชายจนเช้า พี่ก็เลยจำใจขับรถกลับมาบ้านพี่ แต่พอถึงบ้านพี่ พี่เรียกศาให้ตื่นยังไงก็ไม่ตื่นอีก ก็เลยอุ้มให้มานอน เออ...รู้งี้ปล่อยให้นอนตากยุงอยู่บนรถซะก็ดี..”
อัคคีหลับตากะว่าจะนอนต่อ ขณะกล่าวยาวจบ
“แล้ว...แล้ว...ทำไมมานอน...บนเตียงกับศา”
“นอนเตียงเดียวกันแบบนี้... ไม่เป็นไรหรอกพี่ไม่ถือ”
วรรณิศาทำตาโตด้วยความโมโห...จากคำกล่าวของชายหนุ่ม...ที่เธอควรจะเป็นคนพูด
. “เออ..ให้พี่นอนก่อนนะ..ตื่นเช้ามันผิดวิสัยพี่..อ่า..”
อัคคีอ้าปากหาวก่อนนอนนิ่ง ในขณะที่วรรณิศามองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนัง ที่มันได้บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามโมงเช้าแล้ว และสิ่งนั้นทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินออกจากห้องไป
“มีสองชั้น..”
วรรณิศาได้รู้ว่าขณะนี้เธออยู่บนชั้นสองของบ้าน และ เมื่อเดินพ้นประตูออกมาก่อนที่ร่างบางจะก้าวลงบันไดไปยังชั้นล่างเพื่อหาห้องน้ำ หูของหญิงสาวกลับได้ยินเสียงบางอย่าง..
“โอ้...”
วรรณิศาก้าวช้าๆ ไปยังที่มาของเสีย ที่เธอคุ้นเคย เพราะนั่นมันต้องเป็นเสียงการร่วมรักกันระหว่างชายหญิงอย่างไม่ต้องสงสัย โดยที่มาของเสียงน่าจะดังออกมาจากส่วนที่เป็นห้องครัว เพราะเมื่อหญิงสาวเดินไปใกล้บริเวณที่มาของเสียง เธอได้พบเตาแก๊สและอุปกรณ์ทำครัว ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆ แอบมองเข้าไปภายในห้อง
“เบา...ค่ะ...อูย”
วรรณิศาค่อยๆ ชะโงกหน้าสวยเข้าไปในห้องนั้นช้าๆ เพื่อที่จะมองหาที่มาของเสียงครางที่แสนรัญจวนจิต..
“อุย..”
เสียงอุทานที่เบาแผ่วดังขึ้น...เมื่อสายตาได้ประสบเข้ากับร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ที่เธอนั่งแยกขาเรียวทั้งสองข้างตั้งขึ้น ในขณะเข่าทั้งสองของเธอฉีกแยกออกจากกันจนมองเห็นโหนกเนื้อกลางหว่างขานั้นโชว์เด่น.. ในขณะชายคู่สวาทที่ยังสวมใส่เสื้อผ้าครบชุด นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น กำลังใช้ใบหน้าเข้าไปคลุกคล้าอยู่ตรงกลางระหว่างซอกขาของหญิงสาวที่ใบหน้าเย้เก และ ร้องควนครางออกมาอยู่ตลอดเวลา
“เบา...ค่ะ... พี่วิชิต...ปลาไม่ไหว...แล้ว...โอ้ย”
วรรณิศาตาลุกโพงกัดริมฝีปากที่เม้นสนิท เมื่อได้ทราบแน่ชัดว่าหญิงที่กำลังจะร่วมรักกับผู้ชายในห้องครัวก็คือ ปาจารีณ์เพื่อนร่วมคณะที่เธอกำลังเรียนอยู่นั่นเอง
“อะ...อะ...อ่า..อูย์..”
ร่างบางของปาจารีณ์ กระตุกพร้อมร้องครางไม่เป็นศัพท์ ..มันทำให้ วรรณิศารู้ว่าตอนนี้ เพื่อนสาวของเธอได้สำเร็จความใคร่ไปแล้วเมื่อครู่ เพราะอัปติกิริยาที่เธอเองก็เคยเป็น
“จ๊วบ..จ๊วบ..”
เสียงปากต่อปากประกบจูบกัน เมื่อชายที่ชื่อวิชิตละปากออกจากโนนเนื้อระหว่างขา แล้วยืนขึ้นไปใช้ริมฝีปากหนาที่เต็มไปด้วยคาบเมือกของปาจารีณ์ แล้วประกบเข้าไปที่ปากของหญิงสาวโดยเธอก็มิไม่ได้แสดงอาการรังเกียดมันแต่อย่างไร เพราะ นิสิตสาวอ้าปากขึ้นรับจูบปากที่เต็มไปด้วยเมือกสวาทของเธอเอง แถมยังดูดแลกปากกับชายร่างใหญ่เบื้องหน้า...แบบไม่คิดจะถอยแม้แต่เพียงนิด
“จ๊วบ..จ๊วบ..”
วรรณิศารู้สึกได้ถึงความชื้นใต้หว่างขา...ก่อนมือเรียวเล็กจะเริ่มลูบไปบนเป้ากางเกงยีนส์ตัวหนาที่เธอสวมใส่ ก่อนที่จะใช้นิ้วกดให้ความหยาบหนาของเนื้อผ้า เข้าไปเบีบดกระทบติ่งเนื้อที่อยู่ภายใน จนมันทำให้ร่างเล็กต้องกระตุกเล็กน้อยเมื่อบริเวณติ่งเนื้อถูกบดเน้นถูกจุดชนิดไม่พลาดจากความคุ้นเคยจากเจ้าของของมัน
...............ตามต่อนะครับ...............
ศพของเอก?หายไปไหน...อัคคีกับวรรณิศา จะต้องเจออะไรอีกมั่ง? และไรท์เป็นคนชอบสปอย์ ดังนั้นก็ของสปอย์หน่อยนะครับว่า อัคคีและวรรณิศา ต่อจากนี้ไปก็จะควงคู่กันไปตลอดเรื่อง โดยทั้งคู่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุฆาตกรรมที่มันจะเกิดขึ้นอีก และไรท์ก็อยากให้รี้ดเดอร์ที่เข้ามาติดตามอ่านนิยายเรื่อง"สืบพิศวาส" ได้ลองเดาดูว่า ฆาตกรตัวจริง..เขาคือใครกันแน่...
....กระซิบแผ่ว....