ดอยแม่มอญ ถือได้ว่าเป็นดอยลับแห่งเชียงราย ตั้งอยู่ในบ้านแม่มอญ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งปลูกกาแฟอาราบิกาแหล่งใหญ่และมีคุณภาพของเชียงรายอีกแห่งหนึ่ง การเดินทางมายังดอยแม่มอญต้องใช้รถส่วนตัวเท่านั้น
ทิวทัศน์ของภูเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อนกันอย่างสวยงาม บรรยากาศยามเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางสายหมอกได้อย่างงดงาม จากตัวเมืองเชียงรายใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ได้มาสัมผัสความงดงามของดอยแห่งนี้ ธาราไม่พลาดที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจมาบันทึกความสวยงามตั้งแต่แสงแรกของวัน
“ไอ้ต้นน้ำ มึงจะพาลูกมาด้วยทำไมวะ” ธารามองเด็กน้อยวัยสองขวบที่เอาแต่จ้องมองเขาตาแป๋วตั้งแต่มาถึง
“ลูกพ่องมึงดิ นี่คะนิ้งน้องกู” ต้นน้ำ ไอศูรย์ เพื่อนสนิทร่วมระดับชั้นมัธยมของธารา
“กูรู้ กูจำได้ว่าพ่อกับแม่มึงมีลูกหลง แต่ที่กูถามเนี่ย มึงจะพามาทำไม”
“ก็พ่อแม่กูต้องไปสัมมนาด่วน พี่เลี้ยงก็ลา แล้วกูก็ไม่อยากผิดนัดมึงไง ก็เลยพาคะนิ้งมาด้วย”
“แล้วไม่ให้น้ำค้างดูล่ะวะ”
“ได้ตีกันตายน่ะสิ มึงป้อนข้าวคะนิ้งให้หน่อยดิวะ ปวดท้องว่ะ” ต้นน้ำฝากฝังน้องสาวที่อายุห่างกันถึง 15 ปี ต่างจากน้ำค้าง ไอยเรศ น้องสาวอีกคนที่อายุห่างกันเพียง 2 ปี และน้องสาวทั้งสองคนก็ไม่ค่อยลงลอยกัน ด้วยความที่คะนิ้งเป็นลูกคนเล็ก และอายุน้อยกว่าพี่ๆ หลายปี จึงได้รับการประคบประหงมจากทุกคน ไม่ว่าจะทำอะไรพ่อกับแม่ก็ไม่เคยดุว่า มิหนำซ้ำยังคอยให้ท้าย ส่วนพี่ทั้งสองก็รับไปเต็มๆ โดยเฉพาะน้ำค้าง ที่มักทะเลาะกันเป็นประจำ
“เฮ้ย ไอ้ต้นน้ำ ภาระกูอีก นี่ก็มองอยู่นั่น พี่หล่ออ่ะดิ” ธาราโวยวายเพื่อนที่เดินกึ่งวิ่งออกไป ปล่อยให้เขาอยู่กับคะนิ้ง ที่ยังคงมองหน้าเขานิ่ง
“ไม่หย่อ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดหน้าตาเฉย แล้วหันไปมองแสงอาทิตย์ส่องกระทบสายหมอกขาวและทิวเขา ทำเอาธาราอึ้งงัน และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขายกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาบันทึกภาพหนูน้อยคะนิ้ง ไอรดา
“มาหม่ำข้าวครับ พี่ป้อน” ธารายกชามข้าวต้มมาถือไว้ ใช้ช้อนตักหมูในข้าวต้มขึ้นมาเป่าไล่ความร้อน คะนิ้งเอียงคอมองอย่างรอคอยด้วยความหิว สังเกตได้จากที่เด็กน้อยกลืนน้ำลายลงคออึกแล้วอึกเล่า
“หายย้อนแย้วมั้ง” การรอคอยที่ยาวนานในความรู้สึกของคะนิ้งจนต้องพูดออกไปว่า ‘หายร้อนแล้วมั้ง’
“หิวล่ะสิ อ่ะ หายร้อนแล้ว” ธารายื่นช้อนไปจ่อปากกระจุ๋มกระจิ๋ม เด็กน้อยอ้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย เคี้ยวจนแก้มตุ้ยอย่างกับปลาปักเป้า กว่าพี่ชายจะกลับมาคะนิ้งก็กินข้าวต้มหมดถ้วย
“กินเก่งเหมือนกันนะเนี่ย เอาไข่ต้มด้วยไหม”
“เอา”
“เอาค่ะ พูดเพราะๆ ก่อน”
“เอาค่ะ” คะนิ้งพูดตามอย่างว่าง่าย นั่งมองไข่ต้มในมือธาราใจจดจ่อ
“ทีแบบนี้ไม่เห็นดื้อเลย นั่งนิ่งเชียว ทำไมอยู่บ้านถึงอยู่ไม่สุขเลย” ต้นน้ำวางมือบนหัวทุยของน้องสาว คะนิ้งเงยหน้ามองพี่ชายเพียงครู่ แล้วหันมาสนใจไข่ต้มในมือธาราต่อ
“น้องมึงเป็นเด็กไม่ค่อยพูดเหรอวะ”
“คะนิ้งเนี่ยนะไม่ค่อยพูด อยู่บ้านนะพูดเก่งมาก พูดจนหมาที่บ้านกูหลับได้เลยละมึง” พูดจบคนเป็นพี่ชายก็ถูกกำปั้นเล็กของน้องสาวทุบเข้าให้ มองค้อนกะหลับกะเหลือก
“อ้ายต้งน้ำจะไปปาก” คะนิ้งกอดอกหน้างอเง้า ว่าพี่ชายเป็นภาษาเหนือ ‘พี่ต้นน้ำอย่าพูดมาก’
“ฮ่าๆ กูเชื่อแล้วว่าคะนิ้งพูดเก่งมาก คนเก่งกินไข่ต้มดีกว่าเนอะ” ธาราหัวเราะชอบใจเด็กหญิงตัวน้อยที่พูดน้อยแต่ต่อยหนัก
“แบ่งให้” คะนิ้งรับไข่ต้มมาแล้วแบ่งครึ่ง ยื่นไปให้ธาราครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็เป็นของตน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ยังมีไข่ต้มอีกสามฟองที่ยังไม่ได้ปอกในถ้วย
“แล้วไม่แบ่งให้พี่บ้างเหรอ อุตส่าห์พามาเที่ยวด้วย” ต้นน้ำแสร้งทำเป็นน้อยใจน้องสาว
“แบ่งให้” คะนิ้งแบ่งไข่ต้มครึ่งฟองของตัวเองให้พี่ชายครึ่งหนึ่ง
“งั้นพี่แบ่งให้คะนิ้งครึ่งหนึ่ง” ธาราแบ่งไข่ต้มครึ่งฟองของตัวเองให้กับคะนิ้งครึ่งหนึ่ง เด็กน้อยรับไข่ต้มแล้วส่งยิ้มให้เขาจนตาหยีอย่างน่ารักน่าเอ็นดู รอยยิ้มแรกตั้งแต่พบหน้ากัน
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ธาราได้พบกับคะนิ้ง และทั้งคู่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในวันแห่งความสำเร็จของต้นน้ำ วันรับพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรนายร้อยตำรวจ ในเวลานั้นคะนิ้งยังคงเป็นเด็กไม่ค่อยพูด และยังชอบมองหน้าธาราเหมือนเดิมด้วย
วันเวลาผ่านไป ธารากับคะนิ้งก็บังเอิญกลับมาพบกันอีกครั้งในวันที่เธออายุ 18 ปี แต่ครั้งนี้แตกต่างจากสองครั้งแรก เพราะครั้งนี้คะนิ้งคือยัยตัวแสบ เป็นยัยปีศาจน้อยในสายตาธารา