คนจากแดนไกล [3.1]

2388 คำ
สาม คนจากแดนไกล “แคว้นลี่อ้างว่าการมีทูตแลกเปลี่ยนจะช่วยเหลือเรื่องการอำนวยความสะดวกในการค้าขายของสองแคว้น” กู่อาเจี๋ยส่งจดหมายต่อให้บุตรชายคนโตโดยไม่หวงเนื้อหาที่อยู่ด้านใน การปกครองของแคว้นเว่ยแตกต่างจากแคว้นอื่น หลังจากที่มเหสีของเขาจากไป กู่อาเจี๋ยก็ยุบวังหลังและทุ่มความสนใจไปกับการบริหารบ้านเมืองและการเลี้ยงบุตรทั้งหมดด้วยตนเอง ดังนั้นบุตรชายทั้งสี่จึงขึ้นชื่อว่าเป็นมือเท้าที่ไว้ใจได้ “เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มวัยสิบแปดอ่านเนื้อความเสร็จก็ส่งต่อให้น้องชายคนรอง “เหล่าพ่อค้าให้ความเชื่อถือและสบายใจเมื่อรู้ว่ามีผู้มีอำนาจจากแคว้นตนเองคอยให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ยังมีการเสนอเรื่องการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างความคุ้นชินให้ราษฎรของสองแคว้น” แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ข้อเสนอนี้นับว่าน่าสนใจมากทีเดียว ที่ผ่านมาแม้จะมีการแต่งงานระหว่างสองแคว้นเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ก็ยังมีปัญหาบางประการที่ยังไม่อาจเยียวยาได้ด้วยระบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการคุ้มครองพ่อค้าซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ท้องพระคลังผ่านระบบจากจัดเก็บภาษี นอกจากทูตจะช่วยอำนวยความสะดวกให้พ่อค้าจากแคว้นตนเองแล้ว ทูตยังสามารถตรวจสอบสินค้าและการค้าขายอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการยักยอกภาษีและการขายของเถื่อน ปาหินก้อนเดียวฆ่านกได้หลายตัว คาดว่าความคิดนี้คงเกิดจากที่ปรึกษาของแคว้นลี่ไม่คนใดก็คนหนึ่ง ผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรยกมือลูบเครายาว ชักอยากรู้แล้วว่าผู้ที่เสนอความคิดนี้เป็นใคร “นับเป็นข้อเสนอที่เอื้อผลประโยชน์ให้แก่ทั้งสองฝ่าย” คำพูดของกู่ฉิน บุตรชายคนโตตรงกับใจผู้เป็นบิดา “แต่ทางฝ่ายเราจะส่งใครไปเล่า” กู่เลี่ยงถาม ตำแหน่งทูตนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องไปอยู่ไกลจึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องส่งผู้มีอำนาจมากพอและไว้ใจได้ กู่ฉินซึ่งเป็นองค์ชายใหญ่มีตำแหน่งรัชทายาท ดังนั้นจึงตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนเขาเป็นถึงรองแม่ทัพที่ต้องคอยถ่วงดุลอำนาจภายในกรมทหารก็ควรประจำอยู่ที่แคว้นเว่ย กู่เวิ่น น้องชายคนเล็กเพิ่งอายุสิบขวบ ไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะรับผิดชอบเรื่องใหญ่... คล้ายกับทุกคนต่างคิดเห็นตรงกัน ดังนั้นสายตาทั้งสี่คู่ต่างเบนไปหาบุรุษคนเดียวที่เหลือในที่นี้ องค์ชายสามแห่งแคว้นเว่ย กู่ฮั่น ชายหนุ่มอายุสิบห้าปีที่โดดเด่นด้านบุ๋น มีความเยือกเย็นและความรู้ทางด้านการค้าในระดับที่น่าพอใจ ทว่ากู่ฮั่นเองก็มีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง... “ข้าจะไม่ยอมห่างอิงอิงเป็นอันขาด!” เจ้าตัวประกาศก้องเมื่อรู้ดีว่าทุกคนกำลังคิดจะส่งเขาไปต่างแดน กู่อาเจี๋ยมองหน้าบุตรชาย “พ่อจะระบุในสัญญาเพิ่มเติมว่าทูตจากทั้งสองฝ่ายจะอยู่ในวาระเพียงห้าปี เพื่อป้องกันปัญหาทูตที่อยู่ในอำนาจมากไปอาจสามารถใช้เส้นสายเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เข้าหาตน” “ถึงอย่างไรห้าปีก็นานอยู่ดี!” สามพี่น้องที่เหลือหันมามองหน้ากัน ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด คนที่ประคบประหงมและติดน้องสาวคนเล็กที่สุดก็คือกู่ฮั่นเนี่ยแหละ! น้องชายคนที่สี่กลอกตา “เริ่มแล้วสินะ” กู่เวิ่นรู้อยู่แล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แล้วก็เป็นจริงดังว่า เมื่อตัวเอกในท้องพระโรงเซถอยไปด้านหลัง “พวกเจ้าก็รู้ว่าข้า... ข้าไปจากแคว้นเว่ยไม่ได้!” สีหน้าของชายหนุ่มวัยสิบห้าร้าวรานราวกับได้รับความเจ็บปวดอันแสนสาหัส “อย่ามางี่เง่าไร้สาระจะได้ไหม” กู่เลี่ยงพ่นลมหายใจเสียงดัง น้องชายคนที่สามเล่นปาหี่ มารยาร้อยกระบวนท่า เยอะเสียยิ่งกว่าปีศาจจิ้งจอกสาว “ไร้สาระหรือ!” คนที่เสียงเพิ่งแตกหนุ่มไปเมื่อสามเดือนก่อนยกมือทาบอก “หากไม่เห็นหน้าอิงอิงหนึ่งวัน ข้าอาจล้มป่วย หรือหัวใจหยุดเต้นไปเลยก็ได้!” “ดี ในเมื่อเจ้ายืนกรานเยี่ยงนี้ เราก็ไปพบอิงอิงพร้อมกัน ฟังความเห็นของนางเป็นอย่างไร” กู่ฉินเสนอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้า...” องค์ชายสามกลอกพระเนตรไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนหน้านี้เขาวางท่าเป็นคนสุขุมและฉลาดในสายตาน้องสาวมาโดยตลอด หากยามนี้เขากับพี่ชายไปพบกู่หลันอิงเพื่อปรึกษาเรื่องดังกล่าว เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าเขาไร้ความสามารถในการจัดการปัญหานี้หรอกหรือ! ไม่ได้... จะดูไม่เอาไหนในสายตาอิงอิงไม่ได้เด็ดขาด! กู่ฉินมองใบหน้าซีดเผือดของน้องชายด้วยแววตาของผู้กุมชัยชนะ กู่ฮั่นถือเป็นเจ้าลัทธิบูชากู่หลันอิงคู่กับอี้หลาน นางกำนัลคนสนิทที่รับใช้เด็กหญิงมาตั้งแต่น้อย เรื่องใดที่รู้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ เขาย่อมไม่ทำมันโดยเด็ดขาด อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ถือว่าพวกเขาได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการ ยินดีหรือไม่ กู่ฮั่นก็ต้องเดินทางไปยังแคว้นลี่ในฐานะทูตอยู่ดี ทว่า... สิ่งที่ติดอยู่ในใจของชายหนุ่มวัยสิบแปดคือเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขาต่างหาก แล้วแคว้นลี่จะส่งผู้ใดมาเป็นทูตแลกเปลี่ยนในครั้งนี้? “ไม่มีทางเป็นองค์ชายฟ่านอู๋เฉียว” เด็กหญิงซึ่งเป็นเจ้าของตำหนักกล่าวกับกลุ่มพี่ชายที่แวะมาพูดคุยกับนางยามบ่าย อากาศวันนี้ไม่ร้อน ลมกำลังเย็นสบาย กู่หลันอิงจึงสั่งอี้หลานให้หาคนยกโต๊ะและเก้าอี้ออกมาที่สวนหลังตำหนักเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หลังจากนางรับปากกู่เลี่ยงว่าตนมีแผนเพื่อป้องกันไม่ให้แคว้นเว่ยต้องขายหน้าจากการถอนหมั้น องค์หญิงน้อยก็เริ่มออกไปเดินเล่นนอกตำหนักและฝึกขี่ลูกม้า ล่วงผ่านมาสองเดือน แม้นางจะไม่ได้ผอมซูบจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม แต่ก็มิอาจจัดได้ว่าอ้วนกลมเหมือนแต่ก่อน หน้าที่เคยอวบอูมเริ่มแบ่งสัดส่วนให้เห็นได้ชัดเจน แม้แต่สันจมูกก็เด่นชัดมากขึ้น เดิมทีเด็กหญิงตั้งใจจะลดน้ำหนักลงให้เร็วกว่านี้ แต่เพราะสงสารสายตาของบิดาและเหล่าพี่ชายที่มองมาอย่างเศร้าๆ นางจึงยังไม่สามารถลดปริมาณอาหารที่กินได้อย่างใจนึก ดังนั้นเป้าหมายของนางจึงเน้นออกกำลังกายและลดปริมาณของหวานแทน กู่หลันอิงจำหน้ามารดาไม่ได้เพราะอีกฝ่ายจากไปตั้งแต่นางยังไม่ทันเริ่มคลาน แต่ผู้คนในวังต่างเลื่องลือกันว่านางเป็นสตรีรูปงาม แม้นางไม่รู้ว่าการลดน้ำหนักไปเรื่อยๆ จะได้ผลออกมาเป็นโฉมสะคราญในท้ายสุดหรือไม่ แต่อย่างน้อยนางก็ไม่อยากให้ใครมาดูถูกแคว้นเว่ยที่มีองค์หญิงเป็น ‘หมูอัปลักษณ์’ “อิงอิง อะไรทำให้เจ้ามั่นใจนัก” กู่เลี่ยงมองหน้าน้องสาว “บัดนี้ยังไม่มีข่าวคราวเรื่องการทำโทษองค์ชายนั่นออกมาเป็นรูปธรรม ไม่แน่ว่าฮ่องเต้เฒ่าผู้นั้นอาจส่งตัวเขามาที่แคว้นเว่ยเพื่อให้เขาปรับความเข้าใจกับเจ้าก็ได้” กู่หลันอิงดึงตนเองออกจากความคิดแล้วผินใบหน้าไปยังพี่ชายคนรอง “แคว้นลี่จะถือว่าบุรุษโตเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุครบสิบห้าปี” กู่เวิ่นพยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย “ฟ่านอู๋เฉียวเพิ่งอายุสิบสอง อย่างไรเสียอายุของเขาก็ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเป็นทูตได้” “เรื่องนั้นน่ะ ช่างมันก่อนเถอะ” กู่ฮั่น พี่ชายคนที่สามขมวดคิ้ว เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องทูตอะไรนั่น เพียงแค่จินตนาการว่าเดือนหน้าเขาไม่อาจพบหน้าน้องสาวได้ทุกวัน ชายหนุ่มก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ครั้นเห็นอีกฝ่ายดูหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบก็หันไปมองพี่ชายคนโตเป็นเชิงถาม กู่ฉินพยักหน้าเพียงครั้งเดียว น้องสาวคนเล็กก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว พี่ชายคนที่สามของนางไม่อยากเดินทางไปยังแคว้นลี่ แต่เนื่องจากในบรรดาพี่น้องไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมกว่านี้ กู่ฮั่นจึงต้องเสียสละเพื่อแว่นแคว้น ทว่าในบรรดาพวกนางทั้งหมดที่เกิดมาในราชวงศ์ ใครบ้างไม่ต้องเสียสละ ใครบ้างที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวม แม้แต่นางเอง... ยังเลือกที่จะลดน้ำหนักเพื่อแว่นแคว้น หาใช่เพื่อความต้องการส่วนตน “เช่นนั้นพี่สามอยากคุยเรื่องอะไรหรือ” เด็กหญิงหันไปถามเขาอย่างเอาใจ กู่ฮั่นมองใบหน้าน่ารักที่ซูบลงนิดหน่อย จากนั้นก็ตบที่ตักของตนเอง “อิงอิง มานี่สิ” กู่เวิ่นกับกู่เลี่ยงหันมามองหน้ากัน เจ้าสามเริ่มออดอ้อนน้องรักของพวกเขาต่อหน้าต่อตา! เด็กหญิงเอานิ้วเขี่ยขอบถ้วยชา บ่นอู้อี้ด้วยเสียงน่ารักของนาง “แต่ข้าตัวหนักนะ” พี่ชายทั้งสี่ฟังแล้วเหมือนถูกธนูดอกไม้ปักเข้าที่อก “อิงอิง เจ้าไม่หนักเลย!” กู่ฉินซึ่งนั่งอยู่ใกล้ที่สุดเอามือใหญ่ทาบลงแก้มนุ่มยุ้ย “ใช่ ใครบังอาจพูดว่าเจ้าหนัก ข้าจะตัดลิ้นมันออกมาเอง!” พี่ชายคนรองกล่าวเสริมด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง กู่หลันอิงมองพี่ชายทั้งสองที่รักนางดุจดวงใจก็คลี่ยิ้มบาง ในโลกนี้ไม่มีใครที่รักนางเท่าครอบครัวอีกแล้ว ทว่าเกิดเป็นสตรี สักวันหนึ่งอย่างไรก็ต้องแต่งงานออกเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงองค์หญิง เพียงคิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็พลันหมองเศร้า “มาเร็ว อิงอิง” กู่ฮั่นเอ่ยเร่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้โอกาสที่น้องสาวจะนั่งตักผ่านไปโดยง่าย ทว่าจังหวะต่อมาสีหน้าชายหนุ่มก็พลันแปรเปลี่ยนเมื่อก้นที่หย่อนลงมาไม่ใช่คนที่เขาต้องการ “เจ้าสี่!” กู่เวิ่นหันหน้ากลับไปมองพี่ชาย ถามกลับเสียงเนือยๆ “ว่าอย่างไร” “ยังจะมาแกล้งทำบื้ออยู่อีก!” ชายหนุ่มดันก้นน้องชายวัยสิบขวบที่ริอ่านมานั่งแทนน้องสาวสุดที่รัก “ลุกออกไปเดี๋ยวนี้!” กู่หลันอิงมองภาพพี่ชายทั้งสองก็อดไม่ไหว ยกมือปิดปากหัวเราะคิกๆ อย่างขบขัน ครั้นเห็นว่าเด็กหญิงอารมณ์ดีขึ้นได้ กู่ฮั่นที่ตอนแรกอยากไล่น้องชายจอมกวนไปให้พ้นๆ ก็ถึงกับต้องยอมแพ้ “เอาเถิด ถ้ามันทำให้อิงอิงยิ้มได้ ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น” กู่เวิ่นได้ทีก็เอาใหญ่ “เช่นนั้นขอขี่คอได้หรือไม่” “น้อยๆ หน่อย!” คนที่ปล่อยให้น้องชายคนเล็กนั่งตักแยกเขี้ยว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ผลักร่างของกู่เวิ่นออกจากตักตนเอง “หลังจากนี้ข้าต้องไปประจำอยู่ที่แคว้นลี่ เจ้าต้องคอยทำหน้าที่ปกป้องอิงอิงแทนข้า เข้าใจรึไม่” เด็กชายวัยสิบขวบเชิดหน้า “ต่อให้พี่สามไม่บอก ข้าย่อมต้องทำอยู่แล้ว” กู่หลันอิงมองภาพที่เกิดขึ้นแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก เด็กน้อยไม่รอช้าลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปกุมมือพี่ชาย หลายปีที่ผ่านมาการที่น้องสาวแตะต้องตัวเขาด้วยความสมัครใจนั้นนับครั้งได้ กู่ฮั่นรู้สึกว่าหากเขาตายไปตอนนี้ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว “อะ...อิงอิง” “พี่สาม ท่านเดินทางไปแคว้นลี่ในฐานะตัวแทนแคว้นเว่ย หลังจากนี้ไม่ว่าท่านจะพบเจออุปสรรคอะไรก็ขอให้ท่านตั้งสติและคำนึงถึงผลประโยชน์ของแคว้นเราเป็นหลัก แต่ถ้าท่านทนไม่ไหวจริงๆ... ก็อย่าลืมว่าที่นี่ยังมีพวกเราที่พร้อมจะช่วยเหลือและสนับสนุนท่านเสมอ ท่านไม่จำเป็นต้องแบกรับปัญหาเหล่านั้นไว้ตัวคนเดียว” ไม่เพียงแต่กู่ฮั่นเท่านั้น พี่ชายอีกสามคนที่เหลือต่างก็รู้สึกภูมิใจและซาบซึ้งใจกับประโยคดังกล่าว พวกเขาเป็นพี่ มีหน้าที่ต้องปกป้องกู่หลันอิงแท้ๆ แต่หลายครั้งก็เป็นนางที่ช่วยเยียวยาและบรรเทาความเหนื่อยล้าในจิตใจของพวกเขา “อิงอิง เจ้าเองก็เหมือนกัน” กู่ฉิน พี่ชายคนโตลุกจากเก้าอี้ วางมือลงบนไหล่บางของคนตัวเล็ก “พวกเราห้าพี่น้อง มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่ว่าจะเป็นยามนี้หรือภายภาคหน้า พี่อยากให้เจ้าพึ่งพาพวกเราให้มาก อย่าแบกรับทุกสิ่งไว้คนเดียว” “ข้า...” “พี่ใหญ่พูดถูก” กู่เลี่ยงเข้ามาลูบไล้ศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “อย่างเหตุการณ์ที่องค์ชายนั่นเสียมารยาทกับเจ้า เจ้าก็ไม่ควรเก็บความเศร้าเสียใจไว้คนเดียว” กู่หลันอิงนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วรู้สึกอายขึ้นมา ฟ่านอู๋เฉียวไม่ควรค่าให้นางเสียน้ำตาเลยจริงๆ “ข้าไม่อยากทำให้พวกท่านเป็นห่วง” “เพราะเจ้าไม่อยากทำให้เราเป็นห่วง เราถึงได้เป็นห่วง” กู่ฮั่นกระชับมืออวบเล็กของนางกลับ “อิงอิง เราราชนิกุลย่อมคำนึงถึงแว่นแคว้นเป็นสำคัญถือว่าไม่ผิด แต่เหนือสิ่งอื่นใด พี่อยากให้เจ้ารักตนเองให้มาก” ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมือที่สัมผัสกัน ส่งผลให้กู่หลันอิงรู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าว “เข้าใจแล้ว” นางพยักหน้าเพื่อซ่อนสีหน้าคล้ายเด็กน้อยกำลังจะร้องไห้ หลังจากนี้พี่สามจำต้องเดินทางไกล นางเองก็ต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อจะได้ช่วยเหลือพวกเขาในวันหน้า ------------
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม