ความปรารถนาสูงสุด [2]

2100 คำ
สอง ความปรารถนาสูงสุด แม้จะล่วงผ่านยามซวี[1] ทว่าภายในตำหนักเซี่ยงรื่อกลับมีเทียนไขจุดเรียงสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน สมกับที่ถูกตั้งชื่อว่าตำหนักดอกทานตะวัน เพื่อไม่ให้เสียมารยาท หยวนเซ่าซึ่งคุ้นเคยกับการพบปะผู้ใหญ่ในราชสำนักจึงหลุบตามองต่ำและก้าวตามนางกำนัลผู้นำทางจนกระทั่งถึงเรือนรับแขก เมื่ออีกฝ่ายหลบฉากไปแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้น ทว่าชายหนุ่มก็เผลอแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าตำแหน่งที่เหมาะแก่การตั้งตั่งยาวกลับมีฉากกั้นผ้าปักลายดอกบัววางอยู่ นางกำนัลซึ่งยืนประจำอยู่ในตำหนักต่างหันไปมองฉากกั้นโดยพร้อมเพรียงกัน “ทูลองค์หญิง ท่านหยวนเซ่ามาถึงแล้วเพคะ” หยวนเซ่าได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจในทันที องค์หญิงพระองค์เดียวแห่งแคว้นเว่ยประทับอยู่หลังฉากกั้นนั่นเอง “ถวายบังคมองค์หญิง กระหม่อมหยวนเซ่า รองเสนาบดีแคว้นลี่พ่ะย่ะค่ะ” หลังจากที่เขาทำความเคารพเสร็จแล้ว นางกำนัลสองคนก็ช่วยยกเก้าอี้มาวางถัดจากฉากกั้นประมาณห้าก้าว หยวนเซ่ามีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาว่าด้านหลังฉากกั้นอาจไม่มีคนอยู่ และนี่คงเป็นการแก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ จากองค์หญิงที่ทรงถูกฟ่านอู๋เฉียวกระทำเสียมารยาทใส่ช่วงบ่าย ทว่าพอมานั่งมองจากมุมนี้ ชายหนุ่มก็เห็นเงารางๆ ของผู้ที่นั่งอยู่หลังฉาก อี้หลานรินน้ำชาให้แขกผู้มาเยือน กลิ่นชาที่บางเบากลมกลืนไปกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้แห้งภายในตำหนัก นุ่มนวลและอ่อนหวาน สมกับสถานที่ซึ่งมีสตรีพำนักอาศัย ทว่าสายตาที่แต่เดิมพินิจมองถ้วยชากลับเบนไปทางอื่นเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวออกมาจากหลังฉากกั้น แม้จะมองเห็นไม่ชัดเจน ทว่าชายหนุ่มเป็นผู้เก็บรายละเอียดได้ดีจึงเห็นว่า กองตำราที่นางกำนัลหิ้วออกมามีคำว่า ‘สมุนไพรและการรักษา’ เขียนเด่นหราอยู่ตรงปก หรือสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงน้อยยังไม่เข้าบรรทม เป็นเพราะทรงอ่านตำราแพทย์เหล่านี้? นั่นใช่สิ่งที่เด็กอายุเจ็ดขวบทำกันหรืออย่างไร “กระหม่อมเพิ่งทราบว่าองค์หญิงทรงมีความสนใจเรื่องตำราการแพทย์” คนหลังฉากกั้นนิ่งไปพักหนึ่ง เป็นความเงียบที่แสนสั้นแต่กลับสร้างความรู้สึกอันหลากหลายให้แก่รองเสนาบดีหนุ่ม ก่อนหน้านี้เขาพบและเจรจากับผู้คนมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับคนผ่านฉากกั้น เขาไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่สีหน้า แววตา หรือท่าทางของอีกฝ่าย การคาดเดาอารมณ์และความคิดจึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก “ท่านหยวนเซ่าอยู่ที่แคว้นลี่คงเคยได้ยินเรื่องโรคระบาดที่หัวเมืองเหนือมาบ้าง” เป็นเพราะอีกฝ่ายอยู่หลังฉากกั้น หยวนเซ่าจึงไม่เห็นใบหน้าค่าตาของกู่หลันอิง เขาจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางอัปลักษณ์ดังเช่นที่หลานชายตนพูดหรือไม่ แต่หลังจากได้ฟังน้ำเสียงที่แหบเล็กน้อยนั่นแล้ว คาดว่าอีกฝ่ายคงผ่านการร้องไห้มาพักหนึ่ง ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องเดาให้เสียเวลา ต้นเหตุย่อมไม่พ้นฟ่านอู๋เฉียว “ทรงหมายถึงช่วงปลายปีที่แล้วใช่หรือไม่” “ถูกต้อง” หยวนเซ่าเป็นข้าราชการขั้นสูง เป็นธรรมดาที่จะเคยได้รับข่าวเรื่องสำคัญของแคว้นเว่ย โรคระบาดที่ว่าเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว แต่หลังจากมีการสกัดทางน้ำและเผาหมู่บ้านที่เกิดการระบาดของโรคดังกล่าวภายในเวลารวดเร็ว โรคนี้จึงไม่ระบาดไปยังเขตเมืองอื่นจนลุกลามใหญ่โต ในฐานะหนึ่งในผู้บริหารแว่นแคว้น หยวนเซ่านับถือความเด็ดขาดและการตัดสินใจที่เฉียบไวของฮ่องเต้แคว้นเว่ยพอสมควร “การจัดการปัญหาของแคว้นเว่ยรวดเร็วฉับไว ฮ่องเต้ของกระหม่อมเลื่อมใสในการตัดสินพระทัยเพื่อรักษาคนส่วนใหญ่ของพระบิดาองค์หญิงเป็นอย่างมาก” กู่หลันอิงซึ่งนั่งอยู่หลังฉากกั้นยกยิ้มนิดๆ ฮ่องเต้แคว้นลี่เลื่อมใสในการกระทำของเสด็จพ่อ แต่นางกลับโกรธเสียจนไม่คุยกับเสด็จพ่อนานเป็นเดือน นางเข้าใจดีว่าเสด็จพ่อทรงตัดสินเช่นนั้นเพื่อรักษาคนส่วนมาก ทว่านั่นมิใช่การรักษาโรค แต่เป็นการทำลาย เด็กหญิงรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์มากพอจะพลิกโศกนาฏกรรมดังกล่าว ดังนั้นในยามว่างที่ไม่ต้องฝึกฝนทักษะที่จำเป็นสำหรับกุลสตรีชนชั้นสูง นางก็มักอ่านตำราแพทย์เพื่อหาความรู้ใส่ตัว เผื่อว่าวันหนึ่ง... นางจะไม่ต้องเห็นผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องตายด้วยโรคร้ายเช่นนั้นอีก กู่หลันอิงคิดและวางแผนไว้เช่นนั้น แต่นางไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายแก่ผู้ที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก “การตัดสินใจทำเพื่อแว่นแคว้นโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนน่าเลื่อมใสด้วยกันทั้งนั้น” กู่หลันอิงจับจ้องเงาร่างของชายหนุ่มที่เห็นได้รางๆ ผ่านฉากกั้น “ท่านหยวนเซ่า เชิญกล่าวธุระของท่านมาเถิด” น้ำเสียงจริงจังที่ฟังดูเป็นทางการ ทำให้เขาเกือบลืมไปแล้วว่าตนเองกำลังพูดคุยกับสตรีที่อายุน้อยกว่าถึงสิบสี่ปี “องค์หญิง” ชายหนุ่มลุกขึ้นพลางประสานมือไว้เบื้องหน้า “ที่ผ่านมาองค์ชายฟ่านอู๋เฉียวทรงมีเนื้อแท้เป็นคนดีเสียแต่ตรงที่พระทัยร้อน ยามบ่ายทรงรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงได้เผลอทำร้ายความรู้สึกขององค์หญิง ขอองค์หญิงโปรดพระทัยกว้าง ให้อภัยต่อองค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ความเงียบครอบคลุมห้องรับรองอีกครั้ง ทว่าหนนี้ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงสายตาไม่พอใจจากข้าราชบริพารโดยรอบ หยวนเซ่าค้อมศีรษะลงต่ำ “องค์หญิงทรงมีสติปัญญาเฉียบแหลมเทียบเท่าบัณฑิตเอกชั้นผู้ใหญ่ ทรงเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาผู้น้อย แคว้นลี่กับแคว้นเว่ยมีความสัมพันธ์กันมายาวนานหลายชั่วอายุคน เปรียบเสมือนครอบครัว การเป็นครอบครัวเดียวกันย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เพราะว่าเป็นครอบครัว การให้อภัยกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ...” กริ๊ก! เสียงวางถ้วยชาหลังฉากกั้นดังขัดขึ้นราวกับตั้งใจ “ท่านหยวนเซ่านั่งลงก่อนเถิด” คำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาที่ผ่านมา ส่งผลให้หยวนเซ่าขมวดคิ้วเข้าหากัน ตกลงว่าเด็กหญิงผู้นี้ให้อภัยหรือไม่ให้อภัยกันแน่ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่ขัดความต้องการของนาง ยอมนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมแต่โดยดี “ท่านหยวนเซ่า ปรารถนาสูงสุดในชีวิตของท่านคืออะไรหรือ” “ความปรารถนาสูงสุด?” เขาเริ่มตามบทสนทนาของอีกฝ่ายไม่ทัน “ปรารถนาสูงสุดของข้า คือยามมีชีวิตอยู่ในฐานะองค์หญิง และตายไปในฐานะองค์หญิง” รองเสนาบดีแทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นคำพูดของเด็กวัยเจ็ดขวบ “ช่างเป็นความปรารถนาที่ลึกซึ้ง” อยู่ในฐานะองค์หญิง คือการใช้ชีวิตให้มีเกียรติยศ สมกับที่ตนเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ตายในฐานะองค์หญิง คือยามสิ้นลมก็ยังมีผู้คนรุ่นหลังสรรเสริญยกย่อง จากคุณธรรมและความดีที่สร้างยามมีชีวิต หากนี่เป็นความคิดของกู่หลันอิงจริงๆ โดยไม่มีการท่องจำมาจากผู้อื่น หยวนเซ่าก็อดรู้สึกนับถืออีกฝ่ายไม่ได้ ฮ่องเต้แห่งแคว้นเว่ยได้พระธิดาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ช่างดีและน่าอิจฉายิ่งนัก ใช่... เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องดี เพราะนางเป็นสตรีที่สักวันหนึ่งก็ต้องแต่งงานออกเรือน ไม่มีสิทธิ์ได้บริหารจัดการบ้านเมือง หากกู่หลันอิงถือกำเนิดในฐานะบุรุษและขึ้นครองราชสมบัติ นั่นย่อมหมายถึงเสี้ยนหนามอันน่ากลัวในวันข้างหน้า รองเสนาบดีหนุ่มคิดว่ากู่หลันอิงเองก็คงคิดเช่นนั้น นางจึงได้แสดงความสามารถและความคิดของตนเองออกมาอย่างเปิดเผย ไม่ต้องเกรงกลัวหรือเกรงใจผู้ใด “องค์ชายฟ่านอู๋เฉียวทรงต้องการยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย...” ในที่สุดเด็กหญิงก็วกเข้าประเด็นหลักซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามายังตำหนักแห่งนี้ “สัญญาหมั้นหมายแต่เดิมเป็นการตกลงกันระหว่างเสด็จพ่อกับฮ่องเต้ของท่าน ดังนั้นข้าจะให้อภัยองค์ชายหรือไม่ ก็ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” กู่หลันอิงกลับผลักไสเรื่องดังกล่าวไปไกลตัวราวกับมันไม่เกี่ยวข้องกับนางมาตั้งแต่แรก หยวนเซ่ามองฉากกั้นตรงๆ ราวกับต้องการมองให้ทะลุไปถึงคนทางด้านใน “หมายความว่าทรงไม่ให้อภัย...” “แคว้นลี่กับแคว้นเว่ยมีความเชื่อและการสั่งสอนที่ต่างกัน” เสียงหวานเล็กทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความเด็ดขาดทำให้ผู้ที่อายุมากกว่ายังต้องหยุดฟัง “ข้าจะไม่ตำหนิหรือตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการอบรมของคนแคว้นลี่ และข้าก็หวังว่าท่านจะไม่พยายามเปลี่ยนแปลงความคิดส่วนตัวของข้าเช่นเดียวกัน” การขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนทำให้รองเสนาบดีหนุ่มอับจนด้วยคำพูด คำหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมมากมายราวกับจะอันตรธานหายไปจนหมด กู่หลันอิงแสดงออกถึงความใจกว้างดั่งผู้ใหญ่ โดยพูดว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ของสองแคว้น แต่ในขณะเดียวกัน นางก็แสดงให้เขาเห็นว่า แม้นางจะเป็นเพียงองค์หญิง ทว่าศักดิ์ศรีในฐานะผู้มีสายเลือดของพญามังกรก็มิใช่สิ่งที่ควรมาลบหลู่ และองค์ชายของพวกเขาก็ได้ข้ามเส้นนั้นไปเป็นที่เรียบร้อย อา... ในเมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ แล้วเขาควรจะถวายรายงานแด่องค์เหนือหัวของตนอย่างไรดีเล่า สองเดือนหลังจากราชทูตเดินทางกลับ แคว้นลี่ก็มีจดหมายส่งตรงมาถึงฮ่องเต้แคว้นเว่ย ผู้ปกครองแคว้นเว่ย กู่อาเจี๋ย เพิ่งฉลองการครองราชสมบัติครบสิบห้าปีไปเมื่อปีก่อน ปัจจุบันบุรุษวัยสามสิบแปดผู้นี้ยังคงความน่าเกรงขามในฐานะนักรบ เคราที่ไว้ยาวเพื่อให้ดูภูมิฐานส่งผลให้ใบหน้าคมคายถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ดวงตาทรงอำนาจทอดมองเนื้อความในจดหมายอยู่พักหนึ่งจึงได้ข้อสรุป “...ทางแคว้นลี่ยืนกรานที่จะถอนหมั้น โดยยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายตามที่พวกเราเรียกร้อง” สิ้นเสียงของบิดา บุรุษผู้สืบสายเลือดมังกรอีกสี่คนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดในทีแรกกลับเปลี่ยนจากหน้ามือกลายเป็นหลังฝ่าเท้า! “เยี่ยมยอด!” เนื่องจากที่นี่มีเพียงคนในครอบครัว องค์ชายสี่ซึ่งอยู่ในวัยสิบชันษาจึงกระโดดด้วยสีพระพักตร์ที่ยินดีปรีดา กู่อาเจี๋ยพับจดหมายเก็บพลางกล่าวกับบุตรชายคนเล็ก “เจ้าสี่ อย่าเพิ่งด่วนดีใจ” “หมายความว่าอย่างไรหรือเสด็จพ่อ” กู่เลี่ยง บุตรชายคนที่สองเลิกคิ้ว อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเนื้อความในจดหมายคงไม่ได้ระบุเพียงเรื่องยกเลิกสัญญาเพียงอย่างเดียว กู่อาเจี๋ยสบตาบุตรชายทั้งสี่ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “ฮ่องเต้แคว้นลี่ทรงไม่ต้องการให้การยกเลิกสัญญาหมั้นหมายครั้งนี้ทำลายความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างสองแว่นแคว้น จึงมีข้อเสนอให้สองแคว้นส่งทูตแลกเปลี่ยน” “ทูตแลกเปลี่ยน? ” กู่ฉินซึ่งควบตำแหน่งบุตรชายคนโตและองค์รัชทายาทของแคว้นทวนสิ่งที่บิดาพูด “ใช่” “หมายถึงทางนั้นจะส่งคนมาประจำอยู่แคว้นเว่ย และแคว้นเว่ยส่งตัวแทนไปประจำอยู่แคว้นลี่น่ะหรือ” “ถูกต้อง” กู่ฮั่น หรือองค์ชายสามก้าวมาข้างหน้า “ฝ่ายนั้นกล้าทำร้ายความรู้สึกของอิงอิงขนาดนี้ แค่ทางเราไม่เอาเรื่องก็ถือว่ารักษาหน้าให้มากแล้ว นี่เขายังจะกล้าเสนออะไรมาอีกหรือ!” “ข้าคิดว่าทางนั้นคงมีเหตุผลที่ดีพอ” กู่ฉินหันไปปรามน้องชาย แม้ว่าความรู้สึกของน้องสาวพวกเขาจะสำคัญ แต่ผลประโยชน์ระหว่างสองแคว้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินได้ด้วยอารมณ์เพียงอย่างเดียว [1] ยามซวี คือเวลา 19.00 – 20.59 น.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม