อักษรในศิลา

2705 คำ
แรงสั่นสะเทือนเลือนลับ หลงเหลือเพียงความสงัดงันนิ่งเงียบ… ในโพรงถ้ำอันเงียบสงบ ปรากฏกองหินน้อยใหญ่เกลื่อนกระจายไปทั่ว กองหินใหญ่ที่ติดอยู่ข้างผนัง พลันปรากฏแรงขยับเขยือน จนเศษซากหินร่วงกราว เผยให้เห็นแผ่นหลังแน่นเนื้อของฮุ้นชุนชิว ที่ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งตัวตรง " น้องชาย !เจ้าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่? " ฮุ้นชุนชิวก้มหน้าลงไปถามกับดรุณีน้อยที่นอนแน่นิ่ง ทั้งที่มันใช้ร่างกันหินไม่ให้แตะต้องตัวนาง แต่มันยังไม่วายถามไถ่ด้วยความห่วงใย " ไม่เป็นไรพี่ชาย! ท่านเล่า..กระดูกสันหลังไม่หักเป็นท่อนๆไปแล้วรึ ? " นางกล่าวพลางยันตัวขึ้นนั่ง แล้วชะโงกมองแผ่นหลังชายหนุ่มอันเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษทราย " คิก คิก คิก ข้าพเจ้าเนื้อหนังหยาบกระด้างดั่งวัวควาย ไม่บอบช้ำจากเศษหินเล็กน้อยพวกนี้หรอก " " เป็นนักพรตอะไร มาหลอกลวงคนได้ ! " เด็กสาวพูดพลางเอื้อมมือไปตบหลังมันดัง เพลี้ย !... " โอ้ย !...นี่เจ้าทำอันใด ข้าพเจ้าช่วยเจ้าไว้แท้ๆ ยังจะลงไม้ลงมืออีก " " นี่เป็นวิธีแสดงความขอบคุณของบ้านข้า เจ้าต้องซาบซึ้งใจนะที่ข้าขอบคุณท่านในขั้นสูงสุด คิก คิก คิก .." นางระบายยิ้มซุกซน ดวงตาทอประกายวับวาวราวหมู่ดาวพราวแสง " อ้อ !...ถ้าเช่นนั้นข้าควรขอบคุณเจ้าด้วยความสุดซึ้งแล้ว หากไม่ใช้เจ้าข้าคงไม่ได้อาบเศษหินทรายได้สำราญเพียงนี้ " ชายหนุ่มกล่าวพลางยกมือค้าง เตรียมตบหลังนางด้วยรอยยิ้มบางๆ " ไอ๊ !...อย่านะ อย่านะ !...ข้าไม่รับคำขอบคุณท่านหรอก " นางรีบผุดลุกถอยหนี แต่แล้วนางกลับแน่นหน้าอกอึดอัด สำรักไอแหบแห้งไปกับร่างกายโยกคอน " โอ๊ะ !...ระวังไว้น้องชาย เจ้าบอบช้ำภายในไม่น้อย ! " ชายหนุ่มโจนเข้าประคองดรุณีน้อย โน้มตัวมันไว้แนบอก ทำเอาเด็กสาวหน้าแดงกร่ำเลือดลมไหลพล่านไปทั้งตัว …" แค๊ก แค๊ก แค๊ก ! เจ้าเป็นศิษย์พี่จางใช่หรือไม่หนุ่มน้อย ! " เกิดเสียงแว่วมาในความมืด เข้ามาคั่นขวางทั้งคู่ให้หันมองไปทางเดียว ทางกองหินที่สูงขึ้นไป ปรากฏสองปรมาจารย์นั่งขัดสมาดโคจรลมปราณท่ามกลางเศษซากหินที่เกลื่อนกลาด " ท่านสองปรมาจารย์ ผู้น้อยฮุ้นชุนชิวเป็นศิษย์ท่านจางเทียนหยาง แห่งง้อไบ้ขอรับ " ชายหนุ่มน้อมกายกล่าวพลางประคองอู่จ้าวเดินเชื่องช้าไปหาทั้งสองปรมาจารย์ จากนั้นทั้งคู่จึงคุกเข่าลงไปหาเซียนหยกขาว ที่มีสีหน้าซีดขาวดั่งปลาตากแห้ง " เป็นผู้เยาว์มาเชื่องช้าเอง พวกท่านจึงบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ! " " ไม่เชื่องช้าหรอกเด็กน้อย เจ้ามาทันช่วยเหลือเราทีเดียว " เซียนกวางเนตรทองที่นั่งอยู่ข้างๆ เปรยตามากล่าวด้วยเสียงอ่อนล้าโรยแรง โดยฮุ้นชุนชิวไม่ทันได้เอยถามความสงสัย เซียนในชุดครามพลันเอ่ยเสียงแผ่ว พร้อมชี้มือไปตามช่องทางทิศเหนือ " เด็กน้อย เจ้าช่วยพาพวกเราไปทางช่องทางนั้นเถิด ที่ปลายทางมีห้องศิลาพอจะเป็นที่พักฟื้นของเราได้ " " ห้องอักษรศิลาอย่างนั้นรึ …แต่..แต่ !...มีกฏหวงห้ามไม่ให้ศิษย์ของสี่ขุนเขาเข้าสู่ภายในนะขอรับ " " แค๊ก แค๊ก แค๊ก…เด็กโง่ !..ความตายมาอยู่แค่ปลายจมูกเพียงนี้ จะถือกฏคร่ำครึอันใด ยังไม่รีบพาเราทั้งคู่ไปอีก ! ".... …บนทางเดินหินอันคับแคบ มีสี่ชีวิตเดินอ่อนล้าไปตามทางทอดยาว ฮุ้นชุนชิวกอดเอวสองปรมาจารย์ ประคองไหล่พาทั้งคู่เดินไปด้วยอาการลากเท้าไปตามทาง. โดยมีเสียงพลองทองกระทบพื้นดัง เก๊าะ เก๊าะ เก๊าะ เรื่อยไล่ไป ฮุ้นชุนชิวยังไม่วายเหลียวมองหลัง หันไปหาเด็กสาวที่เดินเกาะผนังตามมาไม่ห่าง ยังดีที่ความห่วงใยของชายหนุ่มไม่ต้องดำเนินไปนานนัก เพราะเดินมาเพียงสามสิบกว่าก้าว ทั้งหมดก็มาถึงยังห้องศิลาอันโปร่งโล่ง มีแสงส่องสว่างมาจากช่องเพดานเบื้องบน ชายหนุ่มค่อยประคองสองปรมาจารย์ไปนั่งยังแท่นบุหนังกวางวางเรียบ ขณะที่อู่จ้าวยืนตะลึงมองสภาพภายใน ด้วยความตื่นตาตื่นใจดั่งมาอยู่ในสุสานโบราณสมัยราชวงศ์จิ๋น เพราะภายในห้องศิลา ประดับประดาไว้ด้วยกระบี่สำริดโบราณอยู่รอบห้อง กระบี่ทั้งหมดวางอยู่บนแท่น นับได้เกือบห้าสิบเล่ม ซ้ำผนังรอบด้านยังมีอักษรสลักอยู่ทั้งแปดทิศทาง ส่วนใหญ่อักษรเหล่านั้นเป็นข้อความจากคัมภีร์ลัทธิเต๋า มีสลักจารึกถึงการวางค่ายกลอยู่ทางทิศใต้ ส่วนผนังด้านตะวันตกที่บันทึกเป็นอักษรไฟของชนชาวเปอร์เซีย และทางตะวันออกที่สลักไว้เป็นอักษรสันสกฤต " ท่าทางหนุ่มน้อยท่านนั้นจะชื่นชอบวิชาอักษรไม่น้อย แค๊ก แค๊ก แค๊ก…" เซียนมัจฉากล่าวถ้อยคำอ่อนล้า หากยังทรงไว้ด้วยรอยยิ้มอันเมตตาเพรียบพร้อม " ผู้น้อยมีความรู้ตื่นเขินนัก พอเข้าใจได้บางคำเท่านั้นเอง ! " นางหันไปโค้งศรีษะ กล่าวนอบน้อม รู้สึกชื่นชมกับบุคคลิกของนักพรตผู้นี้ยู่เช่นกัน " น่าสนใจจริง…ที่ว่าเข้าใจบางคำ เจ้าเข้าใจคำใดบ้างเล่าเด็กน้อย ? " " ย่อมต้องเป็นคำว่า อนิจจัง การเปลี่ยนแปรคือธรรมชาติ ธรรมดา …ที่เขียนเป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งดูคล้ายแนวคิดของลัทธิพวกท่านเลยนะ…และที่สลักเป็นอักษรเปอร์เซีย คือคำว่าอหุระมาสดา…แสงสว่างและความมืดสับเปลี่ยนหมุนเวียนไม่สิ้นสุด นี่นับเป็นสามลัทธิศาสนาที่มีปรัชญาคล้ายคลึงกันยิ่ง…" " แค๊ก แค๊ก แค๊ก…เจ้ามีความรู้จริงๆเด็กน้อย แค๊ก แค๊ก แค๊ก…" เซียนมัจฉากล่าวปลาบปลื้ม ทั้งที่มีโลหิตไหลซึมจากมุมปาก " ท่านปรมาจารย์ถนอมร่างกายไว้ด้วย ! "... ฮุ้นชุนชิวร้องร่ำไปพร้อมโจนเข้าด้านหลังเซียนมัจฉา แล้วรีบยื่นมือหนึ่งประกบหลังปรมาจารย์ เร่งถ่ายทอดพลังวัตรแผ่เข้าร่างประคองชีพจร ส่วนอีกมือก็ตรงเข้าประกบหลังเซียนกวางเนตรทอง ที่กำลังนั่งโงนเงนแทบล้มลง " เด็กน้อย !... ที่เจ้าว่าคำพวกนั้นคล้ายปรัชญาในลัทธิพวกเรา…นั้นแสดงว่าเจ้าไม่ใช้คนของสี่ขุนเขาใช่หรือไม่ ? " เซียนมัจฉายังกล่าวสืบต่อ เมื่อรู้สึกว่าชีพจรสามารถโคจรได้มากขึ้น " ถูกต้องแล้วท่านผู้อาวุโส ข้าพเจ้าแซ่อู่ ชื่อจ้าว เป็นบุตรของคหบดี ' อู่ซื่อฮัว ' ไม่ได้มีความคิดจะเป็นนักพรตแม้แต่น้อยนิด ผิดตรงที่ข้าพเจ้าดันไปผูกมิตรกับพี่ชุนชิว เลยต้องมาตกกระไดพลอยโจนเช่นนี้ " " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เป็นเด็กน้อยที่ช่างเจรจายิ่งนัก ชุนชิวเจ้ามีสหายอันประเสริฐยิ่ง " เซียนเฒ่าปรายตามองชายหนุ่ม มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน ต่างจากฮุ้นชุนชิวที่ได้แต่ยิ้มรับเฝื่อนๆ ก่อนจะอ่อมแอ่มเอยวาจา " นี่เราเป็นสหายกันแล้วรึ คุณชายอู่ " " เอะ !...เจ้านิ !...ร่วมเป็นร่วมตายกันขนาดนี้ ก็ต้องเป็นสหายกันซิ " นางกล่าวเง้างอน สองมือเท้าสะเอวขึงขังเอาเรื่อง " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…คุณชายอย่างนั้นรึ !..." เซียนมัจฉาเหลียวมองเด็กสาวด้วยแววตาหวาดระแวง รอยยิ้มรู้เท่าทันของผู้เฒ่า ทำเอาเด็กสาวอ้ำๆอึ้งๆ เหมือนเด็กน้อยพบเจอผู้ใหญ่จับโกหกได้ " ในชายมีหญิง ในหญิงมีชาย ในแสงมีเงา ในเงามีแสงสว่างหลบซ่อน เจ้าว่าคำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่ คุณชายอู่ "...น้ำเสียงชายชราหยอกเย้า ราวคุยเล่นกับหลานสาว … ทำเอาเด็กสาวโปรยยิ้มออกมาได้ อย่างน้อยนางก็แน่ใจว่าเซียนเฒ่าผู้นี้ ไม่เปิดเผยความลับของนางออกมาแน่ " ย่อมต้องถูกต้องอยู่แล้ว ดูอย่างเจ้าแม่กวนอิมซิ ก่อนจะเป็นเพศหญิง ท่านยังเคยเป็นพระอวโลติเกศวรมาก่อน ยังมีลัทธิมณีกีอีก ที่ประมุขของพวกมันล้วนเป็นอิสตรียอดวรยุทธทั้งสิ้น นี่นับว่าในชายมีหญิง ในหญิงมีชายถูกต้องที่สุดแล้ว "... " อ้อ !...ที่แท้เจ้ารู้จักลัทธิมณกีนี่เอง ถึงได้อ่านภาษาเปอร์เซียได้ " " ข้าพเจ้าอ่านได้นิดหน่อยเท่านั้นละท่านผู้เฒ่า คนในลัมธินี้เคยช่วยบิดาข้าพเจ้าระหว่างไปค้าขาย บิดาเลยเปิดบ้านตอนรับพวกมันทั้งลัทธิอยู่หลายเดือน " เด็กสาวพูดเจื้อยแจ้ว พลางขยับเข้าไปนั่งคุยหยอกเย้าคล้ายพูดคุยเล่นกับปู่ทวด " เป็นวาสนาแท้ๆ ผู้คนพบพานล้วนเป็นลิขิตฟ้า " " การพรากจากก็เป็นลิขิตฟ้าเช่นกัน ".... น้ำเสียงแกร่งกร้าวก้องมาคั่นกลางการพูดคุยของคนทั้งคู่ไปทันทีทันใด เป็นเซียนกวางทองที่เงยหน้า เปิดเปลือกตาแข็งกร้าวขึ้นมาร่วมสนทนา โดยมันชูมือให้ฮุ้นชุนชิวเพื่อหยุดยั้งการถ่ายเทพลังวัตร …ฮุ้นชุนชิวจึงถอนพลังกลับ แล้วประสานมือบนตัก ขัดสมาดหลับตานิ่งเพื่อโคจรลมปราณคืนสภาพ " การพรากจากหนักแน่นดั่งขุนเขา บางเบาดั่งปุยนุ่น ใยต้องยึดมั่นนักเล่าพี่หวง " เซียนมัจฉาหันไปกล่าวนุ่มนวลกับสหายร่วมแนวทาง โดยเซียนกวางเนตรทองได้แต่ผงกหัวรับ คล้ายสมยอมต่อโชคชะตา เด็กสาวรู้สึกถึงความอึดอัดขัดข้องของทั้งสองเซียน นางจึงหาเรื่องแย้มพรายคลายสถานการณ์ " ที่พวกท่านบำเพ็ญเพียร เพื่อหาทางหยุดยั้งการพรากจาก หยุดความตาย ปราถนาเป็นอมตะนิรันดร์มิใช่รึ…ข้าพเจ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้คนต้องการมีชีวิตยืนยาวไปเพื่ออะไร ข้าพเจ้าเคยเห็นคนอายุร้อยกว่า มันทั้งทรุดโทรม ความจำเสื่อม ทั้งเจ็บออดๆแอดๆอยู่เป็นนิจ การมีชีวิตยืนยาวไหนเลยมีความสุขได้ "... เซียนมัจฉาได้แต่ระบายเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าวไปด้วยไออุ่นแห่งความเมตตา " คนภายนอกเห็นพวกเรานักพรตปราถนาชีวิตนิรันดร์ซินะ น่าขบขันยิ่ง " " อ้าว !...พวกท่านไม่ได้อยากเป็นอมตะหรอกเหรอ ? "...เด็กสาวตอบโต้รวดเร็วราวสายลมหอบกระพือ " ที่ผู้บำเพ็ญพรตไม่ว่าลัทธิใด ล้วนปราถนาตรงกัน คือการหาคำตอบให้กับตนเองว่า…' เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ' " ไฮ้ !...ถ้าเช่นนั้นนักพรตก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปแล้ว แม่ครัวบ้านข้าบอกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อบุตรสามคนของนาง ส่วนอาจารย์สอนอักษรข้า ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อนารีงามที่หอคณิกาอี้เฟย ส่วนลุงทำสวนบอกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อลิ้มรสอาหารให้หมดแผ่นดิน ตลกมาเลยใช่มั้ย ! "... " แล้วเจ้าเล่า มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ?..." คำถามของเซียนมัจฉา ทำเอาเด็กสาวชะงักครุ่นคิด นิ้วเรียวจับริมฝีปากทบทวนถึงสิ่งปราถนา หากนางยังเยาว์วัยเกินกว่าจะหาคำตอบที่ปราถนาได้ " ตอนนี้ข้าพเจ้ายังคิดไม่ออกหรอก เอาไว้อีกสักปีสองปี ข้าคงหาคำตอบได้ " " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ตอนข้าเริ่มออกบำเพ็ญพรต ก็คิดเฉกเช่นเดียวกับเจ้า เพียงเผลอไผลไปครู่เดียว ก็ผ่านไป80ปีแล้ว " " โห้ !...นานขนาดนั้นเชียวรึ ถึงได้รู้คำตอบ ! "... เซียนมัจฉาประสานสายตากับเซียนกวางเนตรทอง ก่อนจะหัวร่อด้วยความพึ่งพอใจ " ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงพบเจอ ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ….ท่านเล่าพี่หวง รู้คำตอบของท่านรึยัง ? " " รู้แน่แท้แล้ว ! "...เซียนกวางเนตรทองตอบด้วยความคึกคักขึ้นอักโข ก่อนมันทั้งคู่จะหมุนตัวกลับไปหาฮุ้นชุนชิว แล้วยื่นมือไปประกบทรวงอก เร่งถ่ายพลังวัตรแผ่ไหลเข้าสู่ชีพจรชายหนุ่ม " ท่านปรมาจารย์ ท่านทำอันใดกัน ?" เสียงร้องตื่นตกใจยังไม่ทันจาง พลังการฝึกปรือสองสายได้ไหลทะลักเข้าสู่ภายในมันไม่หยุดยั้ง " ชุนชิวเอ่ย !...สองตาเฒ่าต้องรบกวนเจ้าแล้ว เจ้าจงรับพลังการฝึกปรือชั่วชีวิตของเราสองคนไว้เถิด ภาระกิจที่เหลือต้องมอบให้เจ้าสานต่อแล้ว "... " ท่านผู้อาวุโสข้า..ข้า !..." ฮุ้นชุนชิวระล่ำระลัก ขณะรู้สึกระอุไปทั่วทั้งร่าง ทั้งซีกซ้ายและซีกขวามีพลังวัตรระรอกไหลดั่งสายน้ำบ่า " อย่าได้บ่ายเบียงเลยชุนชิว หากเจ้าไม่ยอมรับ เท่ากับชีวิตเราสองผู้เฒ่าไร้ค่าแล้ว เพราะชีวิตของเราคือการสั่งสอนวิชา หากไม่มีผู้สืบถอดวิชา นับว่าเราทั้งคู่มีชีวิตสูญเปล่ายิ่ง ! "... " แต่ ๆ แต่ !....." ฮุ้นชุนชิวกล่าวระล่ำระลักอย่างไร้ผล เมื่อเซียนกวางทองร้องขัดขึ้น " เจ้ายังไม่โคจรชีพจรรับพลังการฝึกปรือของเราอีก … พวกเราหาได้ให้เจ้าเปล่าๆปลี่ๆ เรามีข้อความสั่งเสียให้เจ้าปฏิบัติตามพวกเราให้ได้ ".. เสียงเคร่งขรึมของเซียนกวางทอง สกดให้ฮุ้นชุนชิวสะท้อนใจนัก มันรู้ว่าผู้ฝึกปรือกำลังภายในย่อมหวงแหนพลังวัตรของตนเทียบเท่าชีวิต หากไม่ถึงวาระสุดท้ายจะไม่ยอมสูญเสียไป " จงรับปากพวกเราเพียงข้อเดียวชุนชิว "...เซียนมัจฉากล่าวด้วยเสียงแห้งโหย ขณะใบหน้าซีดเผือกลงเรื่อยๆ " ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ข้าพเจ้ายินดีกระทำตามที่พวกท่านไหววานทุกประการ " สุดท้ายมันมีแต่ยินยอมตบปากรับคำ ทั้งที่น้ำตาเริ่มรื้อคลอหน่วยตา " ประเสริฐ !...จงจำให้ขึ้นใจไว้ ห้ามแก้แค้นให้พวกเรา !...ห้ามไม่ให้ทำร้ายเซียนคฤธรเด็ดขาด ให้เจ้าทำทุกวิถีทางชักจูงให้มันคืนสู่ศีลธรรม เป็นนักพรตผู้ทรงความเมตตาดั่งเดิม "... คำสั่งของเซียนกวางทองดั่งสายฟ้าฟาดใส่หัว จนมันอื้ออึงไปทั้งร่าง…การทำร้ายยอดฝีมือว่ายากเย็นแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับการนำมันคืนสู่คุณงามความดี " ชุนชิวเอย !…อย่าได้ลังเลไปเลย !..ที่ต้องให้เจ้ากระทำเช่นนั้น เพราะพวกเราล้วนมีส่วนกระทำให้เซียนคฤธรบัญญัติแนววิชาผิดทิศผิดทาง จากพรตพรหมจรรย์กลับกลายเป็นวิชามารล้างผลาญทุกสรรพสิ่ง …มีแต่นำมันคืนสู่แสงสว่าง จึงจะสามารถชดใช้ความผิดของพวกเราได้ " เซียนมัจฉากล่าวเนิบนาบอ่อนโยน หากโชยชายความหวังมาเต็มเปี่ยม… " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เจ้ากวางโสโครก เจ้าปลาเน่า กล้าอวดดีมาจูงข้าสู่แสงงั้นรึ ! …ข้าคือรัตติกาลนิรันดร์ ไหนเลยจะคบหากับแสงสว่างให้ระคายตา ฮ่า ฮ่า ฮ่า…" เสียงกัมปนาทกึกก้องมาตามโถงทางเดิน พรากเอาความหวังไปจนหมดสิ้น สาหัสที่สุด เมื่อรูปเงาทมึนได้โจนทะยานเข้าสู่ภายในห้องศิลา ด้วยท่วงท่าอำมหิต แววตาเหี้ยมกระหายราวมัจจุราชจากนรกภูมิ อู่จ้าวขนลุกชัน สันหลังเย็นวาบ ความหวาดกลัวปะทุขึ้นท่วมหัวใจ มือสั่นเทาของเด็กสาว เอื้อมไปหยิบชาร์แครมออกจากอกเสื้อ หวังให้เป็นเครื่องป้องกันหนึ่งเดียวที่นางมี " ความมืดไม่มีนิรันดร์หรอกพี่ต๊กโก เมื่อถึงเวลาเหมาะสม ย่อมต้องสว่างไสวตามปัจจัย "... วูบเดียวมีเสียงแว่วผ่าน มาพร้อมเซียนกระเรียนมรกตที่ลอยละล่องเข้ามาในห้อง ล่อนลงมายืนขวางระหว่างเซียนคฤธรกับคนทั้งสี่ อาภรณ์สีเขียวอบอุ่นของมัน เรืองรองให้ความหวังดั่งแสงมรกตเฉิดฉาย " ไอ้นกขี้โรค !...กล้าเสนอหน้ามาแล้วรึ เอาแต่หนีไม่สิ้นสุดเช่นนี้ เมื่อไรจะตัดสินแตกหักกันได้เล่า ? " " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ข้าเป็นเพียงวณิพกขายเสียงเพลง หากไม่บรรเลงให้ยืดยาว ไหนเลยจะพาใจคนเคลิ้มฝันไปกับเสียงซอข้าได้ " " อย่ามัวมาเล่นลิ้น !...จะตัดสินแตกหัก หรือจะเอาแต่สีซอรอดูข้าฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น "...มันกล่าวกร้าว พลางมองขวางไปทั่วทุกคนภายในห้อง เซียนกระเรียนมรกตยังแย้มยิ้มได้ ทั้งที่เหงื่อกาฬหลั่งเต็มหน้า หน่ำซ้ำที่ท้องซ้ายยังมีแผลจากกรงเล็บเป็นทาง ถึงกระนั้นมันยังกล่าวเริงรื่น ไม่สะทกสะท้านต่อความเป็นความตายแม้แต่น้อย " เรื่องต่อยตีนี่ ข้าพเจ้าก็ชมชอบพอๆกับเสียงดนตรีนั้นล่ะพี่ต๊กโก " เพียงสิ้นเสียงชั่วอึดใจ เซียนกระเรียนมรกตพลันโลดแล่นไป พร้อมประกายกระบี่วาววับดั่งสายฟ้าสีเงินแลบผ่าน จู่โจมสิบสามจุดตาย ฉับไวราวสายลมมัจจุราชลงทัณฑ์… .
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม