bc

ยอดรักนักกระบี่

book_age12+
37
ติดตาม
1K
อ่าน
จบเศร้า
คนใช้แรงงาน
ดราม่า
like
intro-logo
คำนิยม

… หนึ่งจอมนางครองพิภพจบหล้า

หนึ่งมรรคากระบี่ล้ำไร้พ่าย

สองบรรจบพบรักเคียงใจ

พรากเพียงกายฝากรักซึ้งถึงนิรันดร์…

...คำถามเก่าแกที่ว่า " รักแท้คืออะไร "  เป็นสารตั้งต้นของนิยายเรื่องนี้  

        ถ้าได้ครองคู่กับคนรักแล้วทำลายคุณค่าของชีวิต  ความรักชนิดนั้นยังจัดเป็นรักแท้หรือไม่ ?...

        แล้วกับคนที่ประสบความสำเร็จเต็มเปี่ยม  แต่ไร้รักไร้น้ำใจ  นั้นคือความหมายของคุณค่าชีวิตจริงๆเหรอ ?...

        ปมของรักกับความสำเร็จ  คือเงื่อนไขที่ดรุณีน้อยอู่จ้าวต้องเผชิญ  

        แม้ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่านางได้สร้างปรากฏการณ์สั่นฟ้าสะเทือนดิน  ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีหนึ่งเดียวในแผ่นดินจีน  หากวัยเยาว์ของนาง  มีปมโรแมนติกที่ไม่เคยมีใครเล่าขาน 

        ทั้งหวานซึ้ง  ทั้งเผ็ดร้อน  ซ้อนทับกับแง่มุมในประวัติศาสตร์  และวรยุทธพิสดาร

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
หงสาวิลาสล้ำ
อรุณรุ่งอาบไล้ห้วงนภาเรืองรองดั่งแสงทองอล่าม ชุบทั่วปฐพีให้ฟื้นตื่นจากนิทรารมณ์อันแสนหวาน ดาวประกายพฤษ์ที่ส่องกระจ่างกลางฟ้าบูรพา เปล่งแสงเจิดจรัสดั่งเนตรสวรรค์สอดส่องสรรพชีวิตที่เริ่มดำเนินไปในหล้า เหล่าปักษาโผผิน บุปผชาติแย้มกลีบรับไอน้ำค้างโรยละออง … ถนนปูอิฐแดงยังฉ่ำชื่นเยียบเย็น ดั่งเฝ้ารอคอยผู้สัญจรที่จะเพิ่มไออุ่นให้ในไม่กี่อึดใจ ความเงียบเหงาไม่อาจดำเนินได้เนิ่นนานไปในมหานครลั่วหยาง มิเช่นนั้นฉายาระบือนามของเมือง อาจระคายเคืองลงได้ กับสมญา ' ศูนย์กลางแห่ง9ทวีป ' หาได้ประโคมอ้างเกินเลยไปแม้แต่น้อย… ภายในมหานครล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติ หลายเผ่าพันธ์ มากมายแรงปราถนา พ่อค้าวาณิชนับสิบนับร้อยภาษาเดินทางมาไม่เว้นวัน ศิลปินสำแดงสุนทรีย์อยู่ทุกมุมเมือง คณิกางามระยับจับตาพร่างพรายโลกีย์อยู่ในเคหาส์รโหฐาน …สามมารถยกย่องนครลั่วหยางเป็นแดนศิวิไลได้อย่างภาคภูมิยิ่ง แม้อรุณเพิ่งเริ่มทอแสงแรกวัน เหล่าร้านน้อยใหญ่ได้ทยอยกันเปิดขี้นคึกคัก กระทั้งร้านขายโจ๊กข้างทางยังก่อควันนวล โชยกลิ่นหอมกรุ่น มีผู้แรมทางชาวอาหรับห้าคนนั่งซดโจ๊ก เคล้าคลอเข้ากับเสียงกระพวนผูกคออูฐ ที่คล้ายกับมันกำลังเร่งเร้าเจ้านายให้คืนสู่ท้องทะเลทรายอันเป็นที่รักเสียที แต่ดูเหมือนทั้งอูฐทั้งชายแรมทางคงต้องพักค้างคาอยู่ร้านโจ๊กอีกนาน เพราะท้องถนนพลันปรากฏกลุ่มทหารสวมเกาะเหล็กนับร้อย วิ่งนำขบวนแยกเป็นสองฝั่งมุ่งตรงสู่ประตูเมืองทิศใต้ ใจกลางขบวนที่ทหารรายล้อม มีองครักษ์ในชุดแพรน้ำเงินควบขับอาชานำหน้ารถม้าห้าสิบกว่าคน ส่วนด้านหลังยังมีองครักษ์อีกร้อยคน คอยปกปักรักษารถม้าสีทองตระการตา เหล่าผู้คนที่มองเห็นรถม้าคันนั้น ต่างทรุดเข่าลงพื้นแสดงความเคารพนบนอบดั่งเห็นเทพเจ้าลงมาเยือนแดนดิน " แม่จ้าว…! เป็นพระนางจริงๆ จักรพรรดิณีอู่เจ๋อเทียน ( บูเช็คเทียน )..." ชาวอาหรับผู้หนึ่งร้องลั่น พลางรีบดึงเหล่าสหายให้คุกเข่าถวายการคารวะ ตราบจนขบวนชาววังหลายร้อยชีวิตผ่านประตูทิศใต้ มุ่งสู่หนทางไปยังเชิงเขาหลงเมินที่ห่างออกไป 6 ลี้ ( 12 กิโลเมตร )... … คำเล่าขานถึงโองการณ์สวรรค์ ได้ดึงดูดให้อิสตรีผู้พลิกฟ้าคว่ำจารีต ขึ้นครองราชตั้งราชวงศ์อู่โจวแทนต้าถัง บ่ายขบวนมายังหุบเขาของเหล่าบรรชิต ที่ซึ่งศรัทธาได้พัดพาเอาช่างสลักหิน มาสร้างสรรค์พุทธปฏิมานับร้อยนับพันรายล้อมรอบเชิงผากว้างใหญ่ ในบรรดาพุทธปฏิมาน้อยใหญ่ มีคำล่ำลือว่ามีพระพุทธรูปหนึ่งเดียว ที่มีพระพักตร์ประพิมพ์ประพายเหมือนองค์จักรพรรดินีไม่ผิดเพี้ยน… …นั้นคือนิมิตแห่งฟ้าอย่างนั่นรึ ?... ความครางแครงไม่อาจอยู่ในพระทัยจอมนางได้นานนัก ดำริแรกของพระนางคือการปลอมแปลงตนปกปิดฐานะ เดินทางอย่างคนสามัญไปสัการะปฏิมาสลักในหมู่ถ้ำ ทว่าสิ่งที่หัวหน้าองครักษ์นางตอบรับ คือรถม้าทรงสีทองอล่าม กับกองมหารที่พลั้งพร้อมศาสตราวุธสี่ร้อย โดยมีกององครักษ์หญิงอีกสองร้อยควบม้าพ่วงพีเคียงข้างพระนางไม่ห่าง… " พี่ซาปา ! ท่านปลอมแปลงตนได้เอิกเริกดียิ่ง ! หากคาดไม่ผิดหนทางข้างหน้าคงมีผู้คนมารอรับข้าพเจ้าอีกใช่หรือไม่ ? "...เสียงเยียบเย็นที่รอดผ่านม่านหน้าต่างถักใยทอง แม้จะฟังดูทรงอำนาจเปี่ยมพลัง แต่ยังแฝงความหยอกเย้าอยู่หลายส่วน " พระย่ะคะฝ่าบาท ! ยังมีผู้มารับเสด็จอีกจำนวนหนึ่ง แต่ไม่อาจนับพวกมันเป็นผู้คนได้ !..." นางตอบด้วยรอยยิ้มเบาบางประดับมุมปาก แม้จะก้มศรีษะนอบน้อมหากแววตากลับซุกซน เฉกเช่นพี่สาวยอกล้อญาติผู้น้องก็ไม่ปาน โดยผู้อยู่ภายในรถม้าก็ดูเหมือนจะพึงพอใจกับองครักษ์เจ้าปัญญาของนางไม่น้อย พระนางส่งเสียงหัวร่อเบาๆ พลางส่งสุรเสียงเริงรื่นตามต่อ " ถ้าไม่นับว่าเป็นผู้คน คงเป็นบรรพชิตจากวัดเสี้ยวลิ้มยี้ใช่หรือไม่ " " ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งนัก คาดการณ์ดั่งทอดพระเนตรเห็นอนาคต " " เหตุใดต้องเปล่าเปลืองเวลาครุ่นคิดด้วยพี่ซาปา ในเมื่อเชิงผาหลงเมินอยู่ห่างจากวัดเสี้ยวลิ้มยี้เพียงยี่สิบลี้ ด้วยวรยุทธของบรรชิตเหล่านั้น ย่อมใช้เวลาเพียงสองชั่วยามก็มาตระเตรียมตั้งแถวรอรับแล้วใช่หรือไม่ ? ".... ทุกถ้อยคำของพระนางถูกตอบรับด้วยการพยักหน้ารับของหัวหน้าองครักษ์ พร้อมกับที่ใจนางหวนนึกไปถึงเหล่าสมณะยอดฝีมือที่เคยสร้างชื่อระบือเมือง เมื่อครั้งบุกเข้าไปช่วยฮ่องเต้ถังไท้จงออกจากวงล้อมข้าศึก นับจากนั้นวัดเสี้ยวลิ้มยี้จึงถูกเกื้อกูล เถลิงเกียรติให้เป็นอารามหลวงคู่บารมีต้าถัง กระทั้งมาถึงยุคของพระนางอู๋เจ่อเทียน ซึ่งมีนโยบายเปิดกว้างทั้งทางการค้าและการนับถือศาสนา สมณะแห่งพุทธจึงลดทอนบทบาทลงไปไม่น้อย เมื่อมีโอกาสคุ้มครองประมุขแห่งราชวงศ์ เหล่าบรรพชิตนักสู้จึงอาสาปกปักพระนางอย่างไม่รั้งรอ " เมื่อเจ้าเชื้อเชิญแขกเรื่อมา เหตุใดไม่ไปดูแลเล่า ข้าไม่ปราถนาจะเมียงมองนักบวชหัวโล้นเท่าใดนักหรอก.." น้ำเสียงราบเรียบของพระนางดุจดั่งวาจาประกาศิต จนหัวหน้าองครักษ์ชักสีหน้าเคร่งขรึมรีบตอบรับรวดเร็วยิ่ง " รับบัญชาพระย่ะค่ะ ! " ซุ่มเสียงตอบรับไม่ทันจาง ม้าพ่วงพีก็ถูกนางกระตุ้นให้วิ่งนำหน้าขบวนไป โดยเหล่าองครักษ์และทหารเดินเท้าต่างผงกหัวรับรู้ขณะนางควบขับอาชาผ่าน หญิงสาวร่างสูงระหงในชุดองครักษ์อย่างชายชาญ เผ่นโผนอาชาไปราวสายลมหอบ บุคคลิกนางองอาจผ่าเผย สอดรับกับใบหน้าคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาลึกซึ่งสีน้ำตาลเข้ม ริมฝีปากบางเฉียบบ่งบอกถึงความเด็ดขาด แกร่งกล้า เพียงมองผ่านๆยังรู้สึกว่านางเหมาะสมกับการเป็นนักรบกล้า มากกว่าจะเป็นเจ้าสาวในห้องหอ แม้นางจะมีอายุล่วงเข้าหกสิบสาม หากยังเปี่ยมพลังราวดรุณีเยาว์วัย ชื่อ 'กู่ลี่ซาปา ' ที่นางไม่เคยคิดจะเปลี่ยนเป็นชื่อแบบชาวต้าถัง ดูจะไม่มีความหมายให้ใครเรียกขาน เพราะผู้คนต่างเรียกนางเป็นท่านหัวหน้าเป็นเสียงเดียว แม้แต่เหล่าบรรชิตแห่งเสี้ยวลิ้มยี้ ยังเรียกนางว่าท่านหัวหน้า ตั้งแต่นางยังไม่ลงจากหลังม้าด้วยซ้ำ " ต้องรบกวนท่านมากแล้ว ไต้ซือทุกท่าน ! "... หัวหน้าองครักษ์ประสานมือคารวะ หลังลงจากหลังม้า แล้วกล่าวทักทายนอบน้อมกับเหล่าบรรพชิตยี่สิบกว่ารูปที่ยืนประนมมือเรียงแถว ดั่งกำลังรอคอยการทำวัตรเย็นอยู่ก็ไม่ปาน " อามิตตา พุทธะ !... สถานที่ตระเตรียมพร้อมแล้วท่านหัวหน้า ! "...ไต้ซือวัยกลางคนร่างกำยำหน้าดำคล้ำ กล่าวรวบรัดก่อนทุกผู้คนจะพากันยืนสงบนิ่ง รอคอยเก๋งเทียมม้าสีทองอล่าม เยาะย่างมาตามทาง กระทั้งรถทรงพระนางมาหยุดเทียบ ณ ลานกว้าง พร้อมเหล่าทหารนับร้อยวิ่งกรูมาตั้งแถวเรียงทอดยาวจากลานหิน ลงไปยังบันไดทางเดิน ไปถึงยังเชิงผาที่มีพระหินสลักอยู่เรียงราย หัวหน้าองครักษ์รีบรุดไปยืนรอหน้าประตูรถทรง นางค่อยๆยกแขนขึ้นสูง รอคอยให้นางพญาได้ยึดเกาะเมื่อขยับย่างออกจากเก๋ง แล้วทุกชีวิตพลันต้องจับจ้องเป็นตาเดียว ขณะหญิงทรงอำนาจที่สุดในใต้หล้าแหวกม่านไข่มุกที่ห้อยระย้า ขยับย่างลงมาดั่งเทพธิดาลอยละล่องลงจากแมนสรวงมาโปรด พระนางสวมใส่อาภรณ์วิจิตรตระการสีเหลืองอล่าม เลื่อมด้วยไข่มุกปักเป็นลายหงส์สยายปีกโบยบิน ทรงเครื่องประดับมรกตล้อมเพชรห้อยอยู่หว่างเนินอกอิ่ม สวมมงกุฎทองล้อมทับทิมทอประกายวับวาว หากยังไม่เจิดจรัสพราวพรายเท่าดวงตากลมโตของจอมนาง เป็นดวงตาที่เปล่งประกายสุกปลั่ง แฝงความฉลาดลึกล้ำ ดั่งมองเห็นแสงดาวเรืองโรจน์ในห้วงห้าวราตรีกาล แม้พระนางจะล่วงเลยวัยถึงอายุหกสิบกว่า แต่บุคคลิกยังสง่างามสูงศักดิ์ เดินหลังตรง เอวคอดกิ่ว พระพักต์เปล่งปลั่งเปี่ยมราศี ริมฝีปากอวบอิ่มที่แต้มชาดแดงระเรื่อ ระบายยิ้มอบอุ่นดั่งบุปผาขยับกลีบไหวท่ามกลางสายลมอรุณ " ไหนเล่าพี่ซาปา ?...พระสลักองค์นั้นอยู่ที่ใด รีบพาข้าไปเถิด ! " " รับบัญชาพระเจ้าคะ ! " หัวหน้าองครักษ์รีบคำนับนอบน้อม พลางเดินค้อมหลังน้อยๆ ประคองแขนจอมนางแนบข้าง ทั้งคู่เดินเชื่องช้าผ่านเหล่าทหารในชุดเกราะที่ยืนเรียงแถวคุ้มกันไปถึงเชิงผา พระนางกับองครักษ์คู่ใจ เดินลงบันไดหินด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นไปกับธรรมชาติ แมกไม้เริงไหวในสายลมอ่อนๆ ลำธารใสไหลเรียบเชิงผา นำพาความรื่นรมณ์จนพระนางคิดอยู่ให้เนินนานสักหลายชั่วยาม ท่ามกลางอารมณ์ผ่อนคลายเบาสบาย โดยมีเหล่าองครักษ์หญิงร้อยกว่านาง กระจายลงนั่งคุกเข่าตั้งเป็นแนวปกปักชั้นในสุด โดยกึ่งกลางพวกนาง ยังมีโต๊ะประดับมุกวางเรียงไว้ด้วยถาดผลไม้ และขวดแก้วเจียรไนบรรจุเหล้าองุ่นสีสดใส " พวกเจ้านี่น้า !...ผู้คนมาสักการะพระ จะไม่จัดเตรียมข้าวของพะรุงพะรังเช่นนี้หรอก " จอมนางกล่าวด้วยรอยยิ้มหัว หากยังคงเดินดุ่มไปนั่งยังเก้าอี้บุขนสัตว์สีขาวสะอาดตา รอยยิ้มผ่อนคลายของพระนางคล้ายวูบดับลงฉับพลัน เมื่อสายตานางแหงนเงยขึ้นไปพบพระพุทธรูปหินสูงตระหง่าน เพราะพระพุทธรูปหินองค์นั้น มีพระพักต์งดงามละม้ายเหมือนพระนางไม่ผิดเพี้ยน ทั้งโครงหน้า คิ้ว คาง จมูก ปาก ล้วนถอดแบบมาจากพระนาง เพียงแต่ดูอ่อนวัยกว่าตัวจริงหลายสิบปี ยิ่งมองพระนางยิ่งขมวดคิ้วขุ่น ในใจรู้แน่แท้ว่านี่ไม่ใช้เรื่องบังเอิญ….ผู้แกะสลักย่อมต้องรู้จักพระนางเมื่อครั้งยังเป็นดรุณีน้อยแล้ว… " ผู้ใดแกะสลักพระรูปนี้ ! " พระนางถามเบาๆกับหัวหน้าองครักษ์ กระทั้งองครักษ์สาวได้โบกมือไปมา จึงมีเหล่าบรรพชิตที่อยู่หลังโขดหิน รีบกุลีกุจรออกมาหา มีพระสี่รูปสวมใส่จีวรสีเทาอย่างศิษย์สายพะบู๊ของวัดเสี้ยวลิ้มยี้ กำลังคุมตัวชายซ่อมซ่อผมยาวรุงรังเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระนาง " เรียนองค์จักรพรรดินี ช่างผู้สลักเสลาองค์ปฏิมาเป็นผู้มีสติฟั่นเฟื่อนนัก พระนางโปรดอย่าได้ถือโทษลงทัณฑ์มันเลย " ไต้ซือชรากล่าวยานคาง พลางประนมมือหว่างอกดั่งเทศนาสั่งสอนผู้คน อู่เจ่อเทียนเพียงปลายตามองเยียบเย็น สังเกตุช่างสลักที่ถูกว่าฟั่นเฟือนนั้นไม่วางตา ชายผู้นั้นร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง แขนขายาว แม้จะถูกจับมัดมือไคว่หลัง ยังดูสูงระดับอกกับเหล่าหลวงจีนที่ยืนกุมตัวอยู่ด้านข้าง เสียแต่ผมเพ้ามันกระเซอะกระเซิง ทำให้รกเรื้อมาปกปิดใบหน้าไว้จนสิ้น " ช่างสลัก เหตุใดเจ้าสลักพระพุทธรูปเป็นใบหน้าของพระนาง เจ้าเคยพบเจอพระนางอย่างนั้นรึ ? " หัวหน้าองครักษ์เอ่ยถามดั่งรู้ใจจ้าวนาง คำถามของนางถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ ฮิ ฮิ ฮะ ฮะ…ราวคนเสียสติ ทำเอาพระนักสู้ต้องออกแรงกดไหล่ จนตัวมันโอนเอนไป !... หากพระนางกลับโบกมือเบาๆ ให้บรรพชิตอย่าได้ลงไม้ลงมือ ชายวิกลจริตจึงสามารถเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบพระนางด้วยเสียงระรื่น " ข้าพเจ้าหาได้สลักท่านหรอกท่านป้า !....ข้าสลักโฉมสะคราญล่มเมืองต่างหาก ที่ต้องห่อหุ้มนางไว้ด้วยโครงรูปพุทธองค์ เพราะจะได้กล่อมเกลาใจนางไม่ให้ล้างผลาญชีวิตผู้คนมากไปกว่านี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…" ถ้อยคำเสียดเย้ยของมัน บันดาลโทสะในใจของหัวหน้าองครักษ์พลุ่งพล่าน นางตวาดกร้าว พลางเผ่นโผนมาพร้อมดาบโค้งคมวาวในมือ " สามห้าวนัก !... เจ้าอยากหัวหลุดจากบ่าหรือไร ? " เพลงดาบนางว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด วาจาไม่ทันจาง ปลายดาบคมกริบพลันบรรลุถึงต้นคอมันด้วยความเดือดดาล ทว่าชายฟั่นเฟื่อนเพียงสะบัดผมวูบเดียว แขนนางพลันชาสะท้าน ดาบในมือปลิวกระเด็นดั่งเศษโลหะล่วงหลุดจากเต้าหลอม ห้วหน้าองครักษ์ชะงักค้าง ทั้งงงงัน ทั้งเจ็บสะท้านที่ข้อแขน จนนางต้องถอยร่นไปหลายก้าว " ท่าน กู่ลี่ซาปา !...ยิ่งอายุมากท่านยิ่งเผ็ดร้อนนัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า " คำกล่าวมันทำเอานางตื่นตะลึง เขม่นมองใบหน้าของชายฟั่นเฟื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา " เป็นไปไม่ได้…เป็นเจ้าได้อย่างไร.! " เสียงนางสั่นเครือ ร่ำร้องราวประสบภูตพรายหลอกหลอน " เป็นเจ้าได้อย่างไร !...มารกระบี่ท่องเมฆา ...? " คำกล่าวก้องของนางทำเอาทุกผู้คนตาเหลือกโพลง แม้แต่หลงจีนเส้าหลิมยังผงะถอยห่าง สมญานามนั้นดั่งมีมนอาถรรพ์ กระเดื่องดังในใต้หล้ามายาวนาน จนเป็นดั่งคำศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเป็นผู้ไร้พ่ายในแดนดิน " เป็นไปได้อย่างไร ?.. เป็นท่านจริงๆรึ ?...พี่ชุนชิว !..พี่ชุนชิว !..." พระนางร่ำร้องดั่งเด็กน้อย ขณะลุกขึ้นมองจ้องมันอย่างไม่เชื่อสายตา " เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร !...เหตุใดท่านไม่แก่เฒ่าไปเลย !...หรือท่านกลายเป็นเซียนวิเศษไปแล้ว ! " พระนางรีบวิ่งตรงไปหาชายซอมซ่อ ด้วยหัวใจสั่นระรัว ร้อนผะผ่าวไปทั้งร่างดั่งสาวแรกรุ่น พระนางรีบลงคุกเข่า สองมือตรงเข้าประคองใบหน้าชายหนุ่มสุดทะนุทะนอม นางละทิ้งความองอาจแห่งจักรพรรดินีไปสิ้น ที่หลงเหลือเพียงหญิงสาวเปลี่ยวเหงาได้ประสบกับใจที่ขาดหายไปแรมปี แววตาพระนางทอประกายวับวาวราวพบสมบัติเลอล้ำมากกว่าเมืองหลวงทั้งเมือง " นี่เจ้าจะจ้องให้ข้าละลายไปเลยรึ น้องชายแซ่อู่ ".. " เป็นท่าน ! เป็นท่านจริงๆ !...ฮือ ฮือ ฮือ "... เสียงพระนางเครือเคล้าไปกับหยาดน้ำตาใสหลั่งลงอาบแก้ม ในใจผุดพลายภาพอดีตนับร้อยนับพันดั่งเพิ่งประสบอยู่ต่อหน้า… จะมีอิสตรีใดหลงลืมรักแท้หนึ่งเดียวในชีวิตได้….

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

สะใภ้ขัดดอก

read
39.5K
bc

Relazione เจ้าหัวใจสายใยรัก

read
4.1K
bc

เมื่อฉันแอบรักซุปตาร์นายเอกซีรีส์วาย

read
13.6K
bc

เล่ห์รักนายหัว

read
6.8K
bc

สวาทรักใต้เพลิงแค้น

read
14.4K
bc

ลุ้นรักสลับใจ

read
1K
bc

หวงรักเมียเด็ก

read
1K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook