ตอนที่ ๑๗ ก้าวแรก

2351 คำ
ตอนที่ ๑๗ ก้าวแรก สามวันให้หลัง ลู่เสียนได้ย้ายไปอยู่หอเกอจื่อชั่วคราวด้วยจดหมายแนะนำของกู้เหยียนชิง คราวนี้เข้าไปในฐานะลู่เสียนน้องสาวบุญธรรมของเขา นางใช้หนังเทียมแปะตรงซีกแก้มขวาให้เป็นรอยถูกกรีดยาว ถ้าไม่ใช่ผู้เชียวชาญจริงๆ ก็จะไม่รู้ว่าเป็นบาดแผลปลอม ถ้าเป็นสตรีที่มีรอยตำหนิที่ใบหน้าแล้วย่อมไม่อยู่ในสายตาผู้ใด เพราะรังแต่จะสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นเท่านั้น เอกสารยืนยันตัวของนางได้กู้เหยียนชิงรับรองให้ ตอนนี้นางจึงเป็นหมิงลู่เสียนผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมของกู้เหยียนชิง เงินตราและอำนาจจำเป็นอย่างยิ่งยวดในเมืองหลวง เพียงแค่นายทะเบียนเห็นเอกสารยืนยันตัวตนของสตรีอัปลักษณ์คนหนึ่ง จากท่าทางรังเกียจก็แปรเปลี่ยนเป็นนอบน้อม พูดกับลู่เสียนด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณหนูหมิง เชิญด้านใน” ลู่เสียนรับใบอนุญาตของตนเองแล้วก้าวเข้าไปด้านใน พบว่าแท้จริงแล้วสำนักบัณฑิตกลับเต็มไปด้วยคุณหนูคุณชายมากหน้าหลายตา ท่าทางและบุคลิกของพวกเขานั้นดูสุขุมคัมภีรภาพ แฝงไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชน บ้างนั่งจิบชา บ้างก็สนทนาพาทีกันด้วยความสุภาพ บ้างก็อ่านตำรา ทว่าก็มีบ้างที่ส่งสายตาดูถูกมาให้นาง ลู่เสียนเห็นที่ว่างใกล้คนผู้หนึ่ง เขานั่งอ่านตำราไม่สนใจผู้ใดนางจึงเดินไปนั่งโดยไม่ลังเล ผู้อื่นล้วนรู้จักกันหมด คนผู้นี้ไม่สุงสิงผู้ใดแสดงว่าเขาก็ไม่สนใจนินทาผู้อื่น เช่นนั้นแล้วก็คงไม่สนใจหรือรังเกียจหญิงอัปลักษณ์เช่นนางแน่นอน นางถือวิสาสะนั่งใกล้เขา หลังจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราในมือของตนเองไป หาได้สนใจคนรอบข้างหรือคุณชายที่นั่งโต๊ะเดียวกับนางไม่ “คุณหนู” ตำราหลุนอวี่[1]เป็นตำราที่อ่านยากยิ่ง ทุกครั้งที่ลู่เสียนอ่านมัน ก็จะดำดิ่งสู่ห้วงความคิดโดยไม่รู้ตัว “คุณหนู” ลู่เสียนเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าคุณชายที่นั่งโต๊ะเดียวกับนางกำลังมองหน้านางอยู่ มือเล็กชี้ที่ตัวเอง “เรียกข้าหรือ?” ชายหนุ่มฉีกยิ้ม “เรียกเจ้านั่นแหละ” หางตาเขาเหลือบเห็นชื่อของ ลู่เสียนที่อยู่บนใบสมัคร จึงถือวิสาสะเรียก “คุณหนูหมิง เจ้ามาที่นี่ทำไม” ทุกครั้งที่มีคนเรียกนางว่าคุณหนูหมิง ลู่เสียนจะรู้สึกเก้อกระดากยิ่ง จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ “คุณชาย เรียกข้าว่าลู่เสียนก็ได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว หัวเราะแผ่วเบา รอยยิ้มที่เปี่ยมเสน่ห์แห่งบุรุษเพศทำให้ลู่เสียนตาพร่า ใบหน้าของเขาหล่อเหลาโดดเด่น ทว่าบุคลิกของเขานั้นกลับสุภาพเข้าถึงง่าย เป็นคนที่มีรัศมีเจิดจรัสรอบกายจริงๆ “ลู่เสียนหรือ ชื่อเพราะยิ่ง ถ้าเช่นนั้นเรียกข้าว่า จินชางก็ได้” “พี่จินชาง” ลู่เสียนฉีกยิ้มให้เขาเพื่อแสดงความจริงใจ ก่อนจะประสานมือคารวะ “ข้ามาจากซูโจว พ่อแม่อยากให้เป็นบัณฑิตจึงสั่งให้จ้าเดินทางมายังหนานจิง” บรรดาผู้คนรอบข้างต่างก็หัวเราะ คุณหนูตระกูลสูงนั้นไม่คารวะผู้อื่นราวกับผู้ชายเช่นนี้ “น้อยนักที่บิดามารดาจะอยากให้บุตรสาวเป็นบัณฑิต พ่อแม่เจ้าคงจะเป็นตระกูลใหญ่” ลู่เสียนรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกพี่จินชาง เพราะบ้านข้ายากจนมาก่อน บิดามารดาจึงอยากให้ข้าศึกษาหาความรู้ให้มาก ภายภาคหน้าจะได้ไม่ลำบาก” “เป็นเช่นนี้หรือ นับว่าบิดามารดาเจ้าสั่งสอนได้ดี เจ้าดูคุณหนูกลุ่มนั้นสิ พวกนางก็ถูกบิดามารดาส่งให้มาที่สำนักบัณฑิตเช่นกัน” จินชางชี้ไปด้านหลังโดยไม่หันหน้าไปมอง กลุ่มคุณหนูนับสิบกำลังซุบซิบกันพลางมองมายังโต๊ะที่ลู่เสียนนั่งอยู่ ความอึดอัดแปลกประหลาดทำให้นางรีบหลบตา “พี่จินชาง พวกนางกำลังนินทาข้าเพราะว่าข้าอยู่กับบุรุษหล่อเหลาเช่นท่านหรือเปล่า?” จินชางหัวเราะ “ข้าหล่อเหลาหรือ” “แน่นอนสิ” “แล้วเจ้าไม่หวั่นไหวหรือ?” “หา!!!” คราวนี้เขายิ่งหัวเราะจนตัวงอ “มีอะไรตลก?” จินชางรีบกลั้นหัวเราะก่อนจะพูดว่า “ส่วนใหญ่แล้วชนชั้นสูงจะส่งบุตรีเข้าสำนักบัณฑิต หนึ่งเพื่อให้พวกนางเรียนรู้ตำราที่ลึกซึ้ง สองเพื่อสำรวจคู่ครอง สามเพื่อหาโอกาสถวายตัว” “หา...สองข้อแรกข้าพอจะเข้าใจแต่ข้อสามคืออะไร” “หากได้เป็นขุนนางหญิง จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ นอกจากนั้นแล้วยังมีโอกาสอย่างมากที่จะถูกเรียกให้ถวายตัว” ความจริงข้อนี้ทำให้ลู่เสียนหน้าซีดเผือด ก่อนหน้านี้นางเคยสงสัยว่าเหตุใดหม่าซุ่ยเหลียนจึงไม่รับราชการที่เมืองหลวงและดูเป็นห่วงเป็นใยนางนัก โชคดีที่ลู่เสียนมีรอยบากที่หน้า หาไม่แล้วถ้าหากว่านางได้รับราชการจริงๆ ล่ะก็… “ที่ว่าชายหญิงเท่าเทียมเป็นเพียงคำลวงเท่านั้นสินะ จะอย่างไรจารีตที่ปฏิบัติกันมาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย” จินชางเห็นสีหน้าที่ซีดสลดไปของลู่เสียนก็พลันรู้สึกว่าพูดมากเกินไป “น้องลู่เสียน เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ใช่ว่าอยากให้ถวายตัวก็ถวายตัวได้เสียที่ไหนกัน อย่างไรก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมายและความยินยอมของฝ่ายหญิงด้วย” …แต่ส่วนใหญ่ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายต้องการเสียมากกว่า เขาเว้นคำพูดเอาไว้ “องค์ชายแปด ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายทะเบียนที่ตรวจสอบรายชื่อวิ่งเข้ามาพูดกับจินชาง ชายหนุ่มพยักหน้าให้เขาแล้วหันมาพูดกับลู่เสียนว่า “ศิษย์น้อง หวังว่าจะได้พบกันในสำนักศึกษา ข้าต้องไปรับข้อสอบแล้ว” “ท่าน...เพคะ” ลู่เสียนเบิกตากว้าง รีบลุกขึ้นก้มหน้าก้มตาก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ “ข้าขอตัว” “เพคะ” ลู่เสียนได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาค่อยๆ เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ในใจพลันตระหนัก พี่น้องตระกูลนี้ชอบปั่นหัวผู้อื่นเล่นหรืออย่างไรกัน จักรพรรดิจะทรงมีอุปนิสัยอย่างไรกันนะ ถึงให้กำเนิดโอรสที่ชมชอบแกล้งอำผู้คนเช่นนี้ ลู่เสียนรีบก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของของตัวเองเพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าสอบ ทว่ากลับมีมือหนึ่งคว้าแขนนางเอาไว้ “เจ้า...พูดอะไรกับองค์ชายแปด” ดรุณีวัยประมาณสิบเจ็ดสิบแปดแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราราวหกเจ็ดคนเดินมารุมล้อมลู่เสียนเอาไว้ คนที่งดงามที่สุดเป็นคว้าแขนของนาง แรงบีบที่แขนและสีหน้าเอาเรื่องของนางทำให้ลู่เสียนนิ่วหน้า “เขาแค่พูดว่าพวกท่านต่างก็งดงาม ในอนาคตต้องได้เข้าวังแน่นอน” ลู่เสียนสวมวิญญาณเสี่ยวเสียนผู้ปากหวาน พอพวกนางได้ยินคำชมที่ลู่เสียนปั้นแต่งขึ้นก็เขินอายจนหน้าแดงก่ำ “เจ้าพูดจริงนะ” “จริงสิ ข้าไม่เคยโกหกผู้ใด” ลู่เสียนฉีกยิ้มจริงใจ ทว่าแอบไขว้นิ้วเอาไว้พลางขออภัยพวกนางในใจ แขนของลู่เสียนเป็นอิสระอีกครั้ง สตรีเบื้องหน้ากอดอก ก่อนจะเชิดหน้าประกาศตัวว่า “ยังดีที่เจ้ารู้จักสำเหนียกว่าตัวเองหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดไหน ต่อไปอยู่ต่อหน้าองค์ขายแปดจะต้องชมพวกข้าให้มากๆ เข้าใจหรือไม่?” “เข้าใจแล้ว” เมือได้ยินคำตอบที่ต้องการพวกนางก็พากันเดินจากไป ลู่เสียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พี่น้องตระกูลนี้ดูจะพัวพันกับสตรีมากมาย ไม่ดี ไม่ดี ดูท่าแล้วนอกจากค่าปรับด้วยเงินสามแสนตำลึงจะไม่ใช่เรื่องตลก ยังเป็นอุปสรรคในการสืบหาความจริงของนางในอนาคตแน่ เช่นนี้นางจะหาชายตัดฟืนธรรมดาหรือบัณฑิตหน้าโง่สักคนมาแต่งงานเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีหรือไม่? “แม่นาง!” “ว้าย!” ลู่เสียนแทบจะหัวใจวายตายเมื่อใบหน้าของคนผู้หนึ่งโผล่มาด้านข้างราวกับภูตผี “ข้าตกใจแทบแย่เจ้าเล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้!” นางหมดอารมณ์จะแสร้งสุภาพแล้ว ดวงหน้าหวานใสยิ่งกว่าอิสตรีของคนผู้หนึ่งยังคงผลุบๆ โผล่ๆ สำรวจทั้งทั้งตัวของลู่เสียน เดี๋ยวขึ้นเดียวลง อีกทั้งยังทำท่าสูดจมูดฟุดฟิด “กลิ่นหอมมาก เจ้าใช้เครื่องหอมอะไร” ลู่เสียนถลึงตาใส่เขา อย่าเห็นว่าหน้าตาดีแล้วนางจะยอมผ่อนปรนนะ! “นี่! เจ้าโรคจิต อยู่นิ่งๆ สักพักได้หรือไม่?” อันที่จริงก็ไม่เหมือนโรคจิตหรอก เสื้อผ้าที่เขาใส่ดูก็รู้ว่าเป็นของชั้นยอด อย่างน้อยก็เป็นทายาทตระกูลขุนนางขั้นสอง พอได้ยินที่ลู่เสียนพูดเขาจึงชะงักเท้า ทว่าก็ยังยื่นหน้าเข้ามาสูดดมกลิ่นกายของนางจนลู่เสียนต้องดมกลิ่นกายตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่? ก็ไม่มีกลิ่นอะไรนี่ “อ้อ! ข้าต้องแนะนำตัว ข้าซือไฉ[2] มีข้าที่ใดเจ้าก็จะมีความสุขตลอดเวลา ฮ่าฮ่า” เขาเชิดหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจ “มิน่า ใบหน้าท่านจึงยิ้มแย้มตลอดเวลา แม้ว่าจะมุกฝืดไปบ้างก็เถอะ” ลู่เสียนหน้ามุ่ย ตั้งท่าจะเดินหนี “เดี๋ยวก่อน ตามมารยาทแล้วเจ้าต้องแนะนำตัวไม่ใช่หรือ?” เขาขวางทางเดินเอาไว้ “หมิงลู่เสียน ลู่...เสียน…” นางเน้นย้ำทีละคำ “แม้ว่าเจ้าจะมีรอยตำหนิที่ใบหน้า ทว่าใบหน้าอีกซีกก็ยังงดงามสะกดใจผู้คน กลิ่นกายก็หอมยิ่ง หากอยู่คนเดียวเจ้าต้องถูกผู้คนรังแกแน่ๆ เพราะฉะนั้นเรียกข้าว่าพี่ชายซะแล้วข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เขายืดตัวท่าตบอกตัวเองด้วยความภาคภูมิ ใบหน้างดงามราวกับอิสตรีฉีกยิ้มสว่างไสวจนคนรอบข้างตาพร่า ลู่เสียนรู้สึกอับอายยิ่งจึงลากเขาเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้วนางจึงถลึงตาใส่เขาด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร “ท่าน!...หุบปาก!” นางชี้หน้าเขา ซือไฉที่กำลังจะอ้าปากพูดจำต้องหุบปากฉับ ลู่เสียนหรี่ตาจับผิดเขา ท่าทางตื่นเต้นของเจาทำให้นางรู้สึกแปลกๆ “ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่ สตรีงดงามมากมายเหตุใดต้องมาสนใจในตัวข้า?” ใบหน้าทะเล้นของซือไฉพลันเงียบขรึมลง “ข้าบอกแล้วว่าเพราะเจ้าตัวหอม อีกทั้งที่สำนักศึกษาแม้จะชื่นชมผู้มีความสามารถแต่ก็ยังมีการเหยียดหน้าตาและชาติตระกูลอยู่ เพียงแค่เห็นกลุ่มคุณหนูพวกนั้นรังแกเจ้าข้าก็ทนดูไม่ได้” “ข้าเอาตัวรอดได้” “ท่าทางเจ้าไม่ได้ต้องการมาเรียนที่นี่เพียงเพื่อความเจริญก้าวหน้า” ลู่เสียนประหลาดใจ ไม่มีทางที่คนผู้นี้จะรู้ได้ว่านางมาทำอะไร “ท่านพูดจาเหลวไหลอันใด?” ซือไฉแค่นเสียง “เราต่างก็มีจุดประสงค์ที่บอกใครไม่ได้ว่ามาที่นี่ทำไม เช่นนั้นแล้วเจ้าควรจะเรียกข้าว่าพี่ชายได้แล้ว” “แล้วเหตุใดข้าต้องเรียกท่านว่าพี่ชายด้วย?” ซือไฉโน้มตัวสูดกลิ่นที่ตัวของลู่เสียน พึมพำข้างๆ หูนางว่า “เพราะเจ้ากลิ่นกายเหมือนน้องสาวข้า คนที่มีกลิ่นกายเช่นนี้ไว้ใจได้” “หา…” “ข้าอายุสิบแปด ส่วนเจ้าก็ใกล้สิบเจ็ดแล้ว ดังนั้นข้าเป็นพี่ชายเจ้าก็ถูกต้อง” “น้องสาวของท่านเป็นอย่างไร” ลู่เสียนเบี่ยงประเด็น ใบหน้าที่งดงามเกินสตรีสลดลง “นางตายแล้ว” “ข้า...ขอโทษด้วย” ลู่เสียนคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเขา พอได้ยินเช่นนี้จึงอดเห็นใจไม่ได้ “ไม่เป็นไร อันที่จริงข้าก็เกือบลืมไปแล้ว พอเห็นเจ้าแล้วก็คิดถึงนาง” “น้องสาวท่านมีพี่ชายหน้าตาหล่อเหลางดงามเช่นนี้ เกรงว่านางคงไม่ต่างกัน” “นางชื่อหงอวี้ งดงามกว่าข้า น่ารักกว่าข้า ตัวหอมกว่าข้า ทั้งยังเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าข้า หากนางยังมีชีวิตอยู่ ก็คงอายุพอๆ กับเจ้า” ซือไฉอมยิ้ม แววตาเจือร่องรอยความอ่อนโยนเมื่อพูดถึงน้องสาวของเขา “ข้าก็อยากพบนางเหมือนกัน พี่ซือไฉ” ซือไฉชะงักเท้า รั้งตัวลู่เสียนให้ประจันหน้ากับเขา “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” “พี่ซือไฉ” ซือไฉฉีกยิ้มกว้าง หัวเราะด้วยความดีใจ “ฮ่าฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ยอมเรียกข้าว่าพี่” เขาใช้มือข้างหนึ่งจับศีรษะลู่เสียนแล้วโยกไปมาจนนางรู้สึกเวียนหัว “พี่ซือไฉ หยุดก่อน! หัวคนนะไม่ใช่ตุ๊กตา เกิดเป็นคน ยืดได้ หดได้ เห็นแก่หน้าน้องสาวท่านที่เสียไป ข้ามีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนก็ไม่เห็นเสียอะไร ดีเสียอีก ยังมีคนเลี้ยงดูข้าเพิ่ม” ลู่เสียนอมยิ้ม “ไปเถิดพี่ซือไฉ วันนี้ต้องเป็นวันดีของเราแน่” “แน่นอน ข้าบอกแล้วว่าคนอย่างเจ้าไว้ใจได้ น้องลู่ พบเจอเจ้าถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งของข้า” พูดจบเขาก็ดึงแขนนางไปยังห้องสอบ เมื่อซือไฉอารมณ์ดี สายลมกลางฤดูร้อนก็ดูเหมือนจะเย็นขึ้นทันตา ‘มีพี่ชายหน้าตางดงามเพิ่มขึ้นอีกคนใครว่าไม่ดี’ ลู่เสียนหัวเราะในใจ ซือไฉทำอะไรไม่สนใจกฎเกณฑ์ ดูท่าแล้วเขาคงจะไม่ได้เติบโตในเมืองหลวง [1] ตำราหลุนอวี่ ตำราเรียนที่รวบรวมคำสอนของขงจื่อ [2] ซือไฉ แปลว่า ความสุขและพรสวรรค์
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม