ตอนที่ ๑๖ ตระเตรียม

1782 คำ
ตอนที่ ๑๖ ตระเตรียม ข่าวลือว่าองค์ชายสิบสามค้างคืนที่เรือนของไป๋เฟิ่งดังไปทั่วทั้งตำหนัก บ่าวไพร่หลายคนในตำหนักจึงเกิดการลังเลที่จะเลือกข้างขึ้นมา มีบางคนที่ยืนฝั่งคุณหนูเมิ่งไป๋อิงคู่หมั้นขององค์ชายสิบสาม ทว่าบางคนเลือกที่จะเอนเอียงไปหาไป๋เฟิ่ง เพราะจากเหตุการณ์ที่ไป๋เฟิ่งกระโดดลงสระบัวนั้น คนที่พบเห็นต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าองค์ชายสิบสามกระโดดลงน้ำไปหาไป๋เฟิ่งโดยไม่สนใจใยดีคุณหนูเมิ่งเลยแม้แต่น้อย การเลือกนายหญิงเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดจุดยืนของบ่าวไพร่ในอนาคต แต่ก็ไม่สามารถทำกันได้อย่างโจ่งแจ้ง ทางที่ดีควรจะเหวี่ยงแหทำความดีกับผู้ที่มีความเป็นไปได้ทุกคน เพราะเหตุนี้โม่เอ๋อร์และสิ่วเอ๋อร์จึงได้รับการปฏิบัติดีขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเรียกพวกนางกินข้าวในบางมื้อที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พิณเจ็ดราตรีถูกนำมาให้ลู่เสียนในอีกสองวันถัดมา หยางเฟิงเจี๋ยให้เฮ่าเทียนนำมันขึ้นมาจากน้ำและเอาไปให้ช่างทำเครื่องดนตรีชื่อดังตรวจสอบก่อนจะนำมาให้นางในสภาพเดิม ลู่เสียนนั่งจ้องพิณเจ็ดราตรีโดยไม่แสดงสีหน้าดีใจหรือเสียใจ ด้านข้างมีหยางเฟิงเจี๋ยและเฮ่าเทียนยืนรอดูปฏิกิริยาของนาง ลู่เสียนใช้เวลานั่งมองเจ็ดราตรีเกือบชั่วก้านธูปก่อนจะใช้นิ้วมือค่อยๆ เขี่ยสายพิณทีละเส้นจนเกิดเสียงสูงต่ำไล่เรียงกัน นางทำเช่นนั้นเพียงครั้งเดียวก็นั่งนิ่งอีกครั้ง ถอนหายใจด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง “พิณใช้ไม่ได้แล้ว” ลู่เสียนพูดเสียงเรียบ มองเจ็ดราตรีบนโต๊ะด้วยความผิดหวัง หยางเฟิงเจี๋ยขมวดคิ้ว มองไปที่เฮ่าเทียน ทว่าองครักษ์ของเขากลับส่ายหน้าไม่เข้าใจ “เหตุใดจึงใช้ไม่ได้ เจ้าลองทดสอบเมื่อครู่ เสียงมันก็ยังคงดีอยู่” ลู่เสียนเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านไม่เข้าใจ ของสิ่งหนึ่งเมื่อเกิดความเสียหายจะอย่างไรมันก็ไม่เหมือนเดิม เจ็ดราตรีมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ตัวพิณทำจากไม้หายากอายุนับร้อยปี แช่ในน้ำเป็นเวลาเจ็ดคืนเพื่อทดสอบก่อนจะนำมาสร้างเป็นพิณคันนี้ เสียงของมันจึงไม่เคยเพี้ยนเพียงเพราะสภาพอากาศเปลี่ยนหรือโดนน้ำหกใส่เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากมันถูกแช่น้ำนานกว่าครึ่งก้านธูป ตัวไม้จะขยายและไม่สามารถหดคืนได้เช่นเดิม พิณคันนี้พี่กู้สู้อุตส่าห์ทุ่มเงินประมูลไปจำนวนมากเพื่อมอบให้ข้า ท่านคิดว่าข้ายังจะยิ้มได้อยู่หรือไม่?” ลู่เสียนพูดเสียงเครือ กู้เหยียนชิงต้องสูญเงินไปกว่าหมื่นตำลึงเพียงเพราะนางรู้สึกถูกชะตากับพิณเจ็ดราตรีคันนี้ เพื่อรับขวัญน้องสาวบุญธรรมเช่นนาง ทุกครั้งที่นางออกแสดงจึงพกพิณตัวนี้ติดตัวเสมอ ตอนนี้แม้ว่าพิณจะกลับมาแต่เสียงของมันผิดเพี้ยนไปแล้ว คนหูดีเช่นนางไม่สามารถทนเล่นมันได้ หยางเฟิงเจี๋ยหน้าเสีย เขาชมชอบฟังดนตรีก็จริงแต่ไม่ได้รู้ลึกซึ้งเท่า ลู่เสียน เห็นนางสีหน้าไม่สู้ดีก็รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย “ข้าไม่รู้มาก่อน เดี๋ยวข้าจะสั่งให้ช่างทำให้ใหม่…” “ไม่ต้อง! ท่านกลับไปเถอะ ของชิ้นใหม่อย่างไรก็แทนชิ้นเดิมไม่ได้ พิณคันนี้มีคุณค่าทางจิตใจกับข้า แม้ว่าข้าจะไม่สามารถดีดมันได้อีกแล้วแต่ข้าก็ไม่ได้ทิ้งมัน” นางยกเจ็ดราตรีขึ้นมากอดหลังจากนั้นจึงลุกยืนให้ห่างเขาด้วยความหงุดหงิด หากไม่ใช่เพราะคู่หมั้นของเขา พิณที่นางรักคงไม่ต้องมีตำหนิ “ดูว่าพี่กู้ของเจ้าคงจะสำคัญมาก” ชายหนุ่มประชดเสียงเรียบ ลู่เสียนตวัดสายตาวาววามใส่เขาด้วยความขุ่นเคือง “สำคัญกว่าท่านมากนัก หากไม่มีเขาก็ไม่มีข้ามานั่งต่อปากต่อคำกับท่านแน่นอน” “เจ้า!” หยางเฟิงเจี๋ยใบหน้าร้อนวาบ อีกทั้งในอกยังรู้สึกร้อนรุ่มจนหงุดหงิดงุ่นง่าน กำลังจะอ้าปากทวงบุญคุณนาง ทว่ากลับหุบปากฉับแล้วเดินหนีไปด้วยความไม่พอใจ “เฮ่าเทียน กลับ!” น่าโมโหนัก! น่าโมโหที่สุด เขาช่วยชีวิตนางไว้ตั้งสองครั้งทว่าในใจนาง กู้เหยียนชิงกลับมีน้ำหนักมากกว่า! ยิ่งคิดใบหน้าเย็นชาของหยางเฟิงเจี๋ยก็ยิ่งทะมึน ไม่ได้! เจ้ากู้เหยียนชิงนั่นอย่าหวังจะมาแย่งเสี่ยวลู่ไปจากเขา คนอย่างหยางเฟิงเจี๋ย สมญานามวีรบุรุษแห่งสายลม! รบร้อยครั้งไม่เคยพ่าย นับประสาอะไรกับเจ้าหอเกอจื่อผู้นั้น เฮอะ! ลู่เสียนยังคงเศร้าสลดกับการที่เจ็ดราตรีไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกประหนึ่งบุตรสาวที่นางรักสูญเสียพรหมจรรย์ให้กับคนโฉด ทำให้นางทั้งเกลียดชังทั้งแค้นเคืองเมิ่งไปอิง เมื่อของที่มีคนให้ต้องมีตำหนิ นางจึงส่งจดหมายหากู้เหยียนชิงเพื่อขอโทษ จะอย่างไรเจ็ดราตรีก็เป็นพิณชื่อเสียงเลื่องลือ ตอนนี้ด่างพร้อยไปแล้วก็ประหนึ่งบุตรสาวที่ขายไม่ออก “คุณหนู…ท่านจะยอมให้คุณหนูเมิ่งลอยชายอยู่ในตำหนักต่อไปหรือเจ้าคะ นางต้องหาโอกาสมาแกล้งท่านอีกแน่นอน” “โม่เอ๋อร์พูดถูก พวกข้าร้องไห้แทบตายที่ท่านกระโดดลงไปเก็บพิณทั้งๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนนางยังคงนิ่งเฉย กระทั่งไปเรียกคนมาช่วยท่านก็ยังไม่คิดจะไป ข้าแอบเห็นอาจูสาวใช้ของนางทำท่าทางไม่ดีใส่ท่านอีก” “คุณหนู…ท่านไม่ใช่พระโพธิสัตว์นะเจ้าคะจะได้ยอมก้มหน้าก้มตาให้คนเขากลั่นแกล้ง...” “พวกเจ้าหุบปากสักพักได้หรือไม่ ข้าคิดแผนการไม่ออก” ลู่เสียนเอามือปิดปากโม่เอ๋อร์ แล้วถลึงตาใส่สิ่วเอ๋อร์ให้เงียบ เมื่อห้องตกอยู่ในความเงียบลู่เสียนจึงส่งสัญญาณให้สาวใช้ทั้งสองหุบปากแล้วสังเกตเงาตะคุ่มด้านนอก ทั้งสามก้มลงต่ำแล้วก็เริ่มแสดงละคร “ฮือๆ พิณของข้า ฮือๆ” ลู่เสียนแกล้งร้องไห้เสียงดังแล้วขยับตาให้สาวใช้รับมุก โม่เอ๋อร์หัวไวจึงตะโกนว่า “โถ คุณหนูของข้า ช่างอาภัพนัก เกิดเป็นหญิงก็ต้องมาเป็นอนุให้ผู้อื่น อีกทั้งยังถูกคนกลั่นแกล้งให้ช้ำใจ เช่นนี้เราหนีไปกันดีหรือไม่เจ้าคะ” “ใช่เจ้าค่ะ หากท่านหนีไปตอนนี้ รับรองว่าไม่ใช่เฉพาะคุณชายกู้ที่ดีกับท่าน ข้ารับรองว่าทั่วทั้งเจียงหนานต้องไม่มีผู้ใดงดงามเท่านั้นแน่ๆ บุรุษมากมายล้วนยอมศิโรราบ” สิ่วเอ๋อร์พูดสนับสนุนเป็นลูกคู่ “แต่…ข้าไม่อยากจากองค์ชายสิบสามไปไหน คณิกาอย่างข้าคงเป็นได้แค่ดอกไม้ริมทางให้ยอดบุรุษอย่างเขาเชยชมเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ฮือ…” “เช่นนั้นท่านต้องสงบเสงี่ยมให้มากๆ คุณหนูเมิ่งสั่งอะไรก็ต้องทำ หากท่านทำไม่ได้พวกข้าจะช่วยเอง” “ฮือๆ ข้าเข้าใจแล้ว ต่อไปยังเชื่อฟังคุณหนูเมิ่งทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นแล้วข้าวของของข้าอาจจะถูกทำลายจนหมด” ลู่เสียนแกล้งร้องไห้เสียงดังจนคนข้างนอกชะงัก หลังจากนั้นเสียงฝีเท้าจึงห่างออกไปเรื่อยๆ “คุณหนู…ใครกันเจ้าคะ” โม่เอ๋อร์กระซิบถาม ตอนนี้ทั้งสามสุมหัวกันอยู่ใต้โต๊ะเพื่อไม่ให้ใครเห็นความเคลื่อนไหว สิ่วเอ๋อร์แนบหูลงกับพื้นเพื่อฟังเสียงฝีเท้า “ไปแล้วเจ้าค่ะ” ลู่เสียนถอนหายใจ มองหน้าสาวใช้ทั้งสองอย่างจริงจัง “พวกเจ้าสองคนอยู่ข้างนอกสงบเสงี่ยมให้มาก ต่อไปนี้ผู้ใดถามหาข้าก็บอกว่าข้าป่วยไม่สามารถรับแขกได้ เมิ่งไป๋อิงไม่ใช่คนร้ายกาจแบบอาจู นางจะต้องรู้สึกผิดแล้วมาขอโทษข้า พวกเจ้าห้ามให้นางเข้ามาหาข้าเด็ดขาด ยิ่งข้าไม่สบายจนไม่สามารถรับแขกได้ นางจะยิ่งรู้สึกร้อนรนและหาวิธีอื่นเพื่อพบข้า ทางที่ดีบอกทุกคนไปเลยว่าข้าถูกไอเย็นขยับร่างกายไม่ได้ ใกล้ป่วยตายก็ยิ่งดี!” เพียะ! โม่เอ๋อร์ฟาดมืดลงบนแขนของลู่เสียนด้วยความโกรธ ดวงตาของนางแดงก่ำราวกับหมาบ้า “คุณหนู ท่านห้ามแช่งตัวเองนะเจ้าคะ ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านกระโดดลงน้ำไปพวกข้ากลัวขนาดไหน หากท่านเป็นอะไรไปโม่เอ๋อร์ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว” “ฮือ...คุณหนู ท่านทำอะไรนึกถึงพวกข้าสองคนบ้าง หากไม่มีท่านแล้วพวกข้าจะไปเกาะใครกินล่ะเจ้าคะ” สิ่วเอ๋อร์ร้องไห้น้ำตานอง จนลู่เสียน อดขันไม่ได้ “ฮึ...พวกเจ้าตีโพยตีพายไป ข้าแค่แสดงละครให้พวกเขาดู ดวงชะตาข้าจะอยู่ค้ำฟ้าไปจนแก่ตาย ใครก็มาพรากลมหายใจข้าไม่ได้ พวกเจ้าไม่ต้องกังวล” ลู่เสียนถอยออกจากใต้โต๊ะ ลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าแล้วพูดต่อ “แค่บอกว่าข้าป่วยจนออกไปข้างนอกไม่ได้ก็พอ หากป่วยหนักพวกเขาจะสงสัย โม่เอ๋อร์ช่วงนี้ต้องไหว้วานเจ้าให้ไปติดต่อที่หอเกอจื่อสาขาหนานจิงทุกเช้า ทำทีว่าส่งของให้กับคนที่หอเฟิ่งหวงก็ได้ อีกสามวันข้าจะต้องไปเตรียมตัวสอบแล้ว หากครั้งนี้พลาดก็ต้องรอไปอีกหนึ่งปี ทุกสิ่งที่ทำมาเป็นอันสูญเปล่า” “เอ๊ะ คุณหนูจะไปอยู่ข้างนอกเลยหรือเจ้าคะ” สิ่วเอ๋อร์ถาม “ใช่แล้ว พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่แหละ จำไว้ว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด หากพวกเขาถามหาไป๋เฟิ่ง ก็จงบอกไปว่าไป๋เฟิ่งตรอมใจ ออกไปไหนไม่ได้ ส่วนองค์ชายสิบสามเดี๋ยวเขาก็สืบรู้เอง พวกเจ้าไม่ต้องไปยุ่ง” “เจ้าค่ะ” “มีคนเห็นใบหน้าข้าไม่น้อย เห็นทีจะต้องสร้างตัวตนของลู่เสียนในแบบใหม่เสียแล้ว…”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม