บทที่ 6 พ่อหนู

1985 คำ
“ผมไม่ได้พูดเล่น ก็เรามีลูกด้วยกันก็ต้องสร้างครอบครัวด้วยกันสิ” เขาพูดจริง ๆ พร้อมจะรับผิดชอบเธอ ตอนที่มีความสัมพันธ์กันก็เป็นเขาที่ไม่ได้ป้องกัน ส่วนเธอก็ยอมเขาทุกอย่างจนต้องกินยาคุม และเขาเองก็รู้ว่ายาคุมมันป้องกันได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ “ไม่ โมจิไม่ใช่ลูกของคุณ หลังจากคุณไปฉันก็มีแฟนใหม่ คนที่คุณเห็นวันนั้นไง” เชิดหน้าขึ้น ไม่ยอมหลบสายตาด้วย เกรงว่าเขาจะรู้ว่าเธอโกหก แต่ทว่า “ไม่ต้องมาโกหกหรอก ผมรู้ว่าผมทำอะไร และก็คิดว่าไอ้นั่นไม่ใช่แฟนคุณหรอก” แม้นจะเคยปักใจเชื่อไปแล้ว แต่สิ่งที่หล่อนพูดตอนที่สติแตกบอกตามตรงว่าเขาเชื่อว่าโมจิเป็นลูกของเขา “ไม่ต้องมายุ่ง” มัดไหมบ่ายเบี่ยง ไม่อยากพูดเรื่องลูกแล้ว ตอนนี้แค่ไม่อยากเจอเขา เพราะใบหน้าของเขากำลังทำให้เธอใจสั่น “หรือว่าจะลองตรวจดีเอ็นเอ” “ไม่นะ!!” เธอโพล่งเสียงออกมาเสียงดัง ขืนตรวจดีเอ็นเอเขาก็รู้น่ะสิว่าเป็นลูกของเขา “หึ” ชายหนุ่มอดที่จะหัวเราะในท่าทีของเธอไม่ได้ แม้นว่าวันนี้ลูกเกือบไม่รอด แต่การได้รู้ว่าตนนั้นมีลูกแล้วก็ทำให้อดที่จะดีใจไม่ได้ วันนี้ถือว่าเป็นวันดีอีกวันเลยก็ว่าได้ แต่แล้ว ครืด ครืดด~ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ฐากูรกำลังจะอ้าปากพูดอีกแล้วเชียว “เดี๋ยวผมขอรับโทรศัพท์ก่อนนะ” ว่าแล้วก็คลายอ้อมกอดออก ซึ่งทันทีที่คลายอ้อมกอดออก ร่างบางก็หนีทันที หล่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของคนเป็นลูก “มัด!” อยากตามไปแต่พอล้วงโทรศัพท์ออกมาก็เป็นเบอร์จากห้องฉุกเฉิน ชายหนุ่มจำเป็นต้องทำงาน เขากดรับโทรศัพท์ ติ๊ด! “ครับ” [คุณหมอฐากูรคะ มีคนไข้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์...] แค่นี้ก็เข้าใจทุกอย่าง ฝ่าเท้าหนาออกตัวเดินทันที ก็อย่างว่าถ้ามีเคสประสบอุบัติเหตุมาก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดสมอง ชายหนุ่มออกตัววิ่งทันที แม้นว่าจะมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กับมัดไหม แต่คนไข้ฉุกเฉินก็สำคัญมากไม่ต่างกัน ...มัดไหมหย่อนสะโพกลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยของลูกสาว วางมือสัมผัสหลังมือของลูก “แม่ขอโทษนะ” “_” “ขอบคุณที่อดทนจนถึงตอนนี้นะลูก ขอบคุณมาก ๆ” รู้ว่าลูกสาวต้องอดทนมากเลยทีเดียว ภาพใบหน้าไร้สีสันของลูกยังคงติดตาเธออยู่ “อึก แม่สัญญานะว่าจะไม่ปล่อยลูกไว้แล้ว” เธอพึมพำพูดกับคนเป็นลูก ซึ่งความจริงก็พูดกับตัวเองนี่แหละ สัญญาว่าจะไม่ปล่อยลูกทิ้งไว้อีกเป็นอันขาด ...เวลาล่วงเลย คำพูดของเขาคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขายังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเข้มแข็งมากขึ้น ไม่มีเขาเธอก็อยู่ได้ ไม่ได้กระวนกระวายถ้าไม่ได้เจอเหมือนเมื่อก่อน มันไม่ง่ายและไม่ยากหากจะให้เขากลับเข้ามาในชีวิต “ไม่น่าเลย” มัดไหมยกมือขึ้นกุมศีรษะ ไม่น่าพูดแบบนั้นออกมาเลย เพราะช่วงนั้นอ่อนแอเกินกว่าจะทำเป็นแข็งแกร่งได้ อยากได้รับที่พึ่งพิง อยากให้เขาโอบกอด ต้องการที่พึ่งทางใจเลยหลุดปากพูดว่าโมจิเป็นลูกของเขา ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งกุมขมับ เขาคงไม่ยอมแน่... เช้าวันต่อมา... มัดไหมเก็บของใช้ส่วนตัวภายในห้องพักฟื้นของคนเป็นลูก หลังจากที่หมอเข้ามาตรวจและอนุญาตให้กลับบ้านได้ “คุณแม่ไม่ได้ไปทำงานหย๋อ” “จ้ะ แม่ลางานน่ะ” เธอยิ้มบาง ๆ ให้กับสาวน้อยช่างพูด ที่ตั้งแต่ตื่นมาก็พูดเสียงแจ้ว ๆ ไม่หยุด “เย่!” ชูกำปั้นขึ้นด้วยความดีใจ หนูน้อยฉีกยิ้มโชว์ซี่ฟันเล็ก ยิ่งมัดผมเขาสองข้างก็ยิ่งทำให้โมจิน่ารักมากขึ้นเป็นกอง ฉีกยิ้มทีก็ตาหยีขึ้นมา “หนูนอนมาทั้งคืน ตื่นมาคงแรงเยอะน่าดู” เมื่อคืนเธอนอนไม่หลับเอาเสียเลย นั่งมองหน้าลูกสาวจนฟ้าสาง ...โมจิไม่ได้ตอบอะไร ในมือมีตุ๊กตาตัวน้อยอยู่ เด็กน้อยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับตน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าสดใส ส่วนคนเป็นแม่นั้นใบหน้าหมองคล้ำจากการไม่ได้นอน มัดไหมเก็บของได้สักพัก ก่อนที่ไม่นานเสียงบานประตูจะถูกเปิดพรวดออกโดยไร้เสียงเคาะประตูก่อนหน้า ทั้งสองหันหน้าไปมองพร้อม ๆ กัน “นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว” ฐากูรหายใจหอบเหนื่อย เขายังไม่ได้นอนและเพิ่งออกเวร ชายหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาที่นี่ บนกรอบหน้าของเขานั้นชื้นไปด้วยเหงื่อ เสื้อสครับสีเขียวสำหรับใส่ในห้องผ่าตัดนั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยน ชายหนุ่มเกรงว่าจะไม่ได้เจอเธอกับลูก และอาจจะคลาดกันไปเลยหากว่าเธอพาลูกหนี มัดไหมกลอกตามองบน ไม่สนใจเขา “เดี๋ยวหนูลงมาใส่รองเท้านะลูก” “คุณแม่...ใครเหรอ” ปลายนิ้วน้อย ๆ นั้นชี้ใส่พ่อตัวเอง ขณะที่อีกฝ่ายนั้นก็เอาแต่จ้องมองลูกน้อยเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เห็นลูกในตอนที่ไม่ได้นอนซม “พ่อหนูไงจ๊ะ” เขาตอบแทน แต่กลับโดนมัดไหมมองตาเขียวปัด “ไม่ใช่ หนูไม่ต้องไปฟังเลยนะ” “พ่อเหรอ พ่อคืออาราย” แต่เปล่าเลย หนูน้อยยังไม่รู้ความหมายของคำว่าพ่อเสียด้วยซ้ำ ฐากูรเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้ามาใกล้ “พ่อก็คือคนที่ทำให้หนูเกิดมาไงล่ะ” “พูดอะไรของคุณน่ะ!” มัดไหมลืมตัวขึ้นเสียงออกมาเสียงดัง จนลูกสาวตกใจ คนเป็นแม่ไม่เคยตะคอกเสียงให้เจ้าหนูได้ยินเสียด้วยซ้ำ “ก็พูดความจริงไง” “ทำไมคุณแม่เสียงดัง ฮึก...” โมจิเบ้หน้า ตกใจนึกว่าแม่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงเสียงดังขนาดนี้ “ชู่ว~ แม่ไม่ได้ดุหนูนะ” “เห็นไหมว่าลูกตกใจ คุณไม่เห็นต้องขึ้นเสียงเลยมัด” เธอกัดริมฝีปากล่าง ขบไว้ให้แน่น หมั่นไส้เขาเข้าไปทุกที “ก็คุณ...” “ชู่ว~ อย่าขึ้นเสียงสิครับ...เดี๋ยวลูกเอาเป็นตัวอย่างนะ” ว่าพร้อมกับยกปลายนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของเธอไว้ ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างกวน ๆ ซึ่งการกระทำของเขาก็ยิ่งทำให้เธอโมโหตามไปด้วย แต่ก็ต้องเก็บงำไว้ ถ้าได้อยู่กันสองต่อสอง เธอจะไม่ปล่อยให้เขาทำแบบนี้กับเธอเป็นอันขาด “หนูชื่อโมจิใช่ไหมคะ” ฐากูรเดินเข้าไปใกล้ลูกสาว ความเหนื่อยล้าจากการเข้าห้องผ่าตัดไปเกือบแปดชั่วโมงนั้นหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนี้ “ช่าย~” หนูน้อยพยักหน้า ยังคงไม่คุ้นชินกับคนตัวใหญ่คนนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับกลัว เป็นความรู้สึกที่เด็กน้อยอธิบายไม่ถูก และยังไม่เข้าใจ เพียงแค่มองตาใสแป๋วก็แค่นั้น “กินข้าวยังคะ” เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้ มองหนูน้อยที่ยังนั่งจุมปุ๊กอยู่บนเตียงผู้ป่วย “โมจิ แม่บอกว่าไง” มัดไหมเริ่มโมโห สะสมมาจากเขาคนนี้เลย “แม่บอกให้ลงมาใส่รองเท้าไม่ใช่เหรอ” “ค่ะ คุณแม่” ว่าหน้าเศร้า ซึ่งฐากูรก็ยื่นมือไปคว้าตัวลูกสาว อุ้มลงจากเตียงผู้ป่วยโดยไม่ให้หนูน้อยปีนป่ายลงเอง ...มัดไหมพยายามข่มอารมณ์ไว้ เขาจะเข้ามาแล้วทำทีเป็นพ่อของลูกเธอเลยไม่ได้ แม้นความจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่เธอไม่ต้องการเขาแล้ว “กลับกัน” “กลับเลยเหรอ กินข้าวด้วยกันก่อนได้ไหม” เขายังไม่ทันได้กินอะไรเลย ชายหนุ่มอยากทานข้าวกับเธอกับลูก แต่กลับได้รับสายตาไม่พอใจจากเธอ “ผมทำอะไรผิดมากเหรอมัด” “_” “ก็ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แต่ผมก็ไม่ได้นอกกายนอกใจคุณเลยนะ ตั้งแต่เราไม่ได้คุยกันผมก็ไม่ได้มีใคร” เขาพูดความจริง ไม่ได้มีอะไรกับใครมาเลยสี่ปีที่ผ่านมา วัน ๆ ก็เอาแต่เรียนจนตอนนี้เรียนจบเฉพาะทางแล้ว แต่ทว่า “ฉันไม่มีอะไรจะพูด” หล่อนกลับตอบกลับมาแค่ประโยคสั้น ๆ ไร้เยื่อใยต่อกัน “ทำไม ทำไมถึงไม่บอกผม” ยังมีคำถามนี้วิ่งวนตลอด เขารับผิดชอบเธอแน่ ๆ ซึ่งมัดไหมก็ได้แค่นหัวเราะออกมา “ฉันเลี้ยงเขาคนเดียวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายเห็นแก่ตัว” “เลี้ยงได้? เลี้ยงได้ดีงั้นเหรอ...ถ้าเลี้ยงได้ดีลูกก็คงไม่ได้มานอนโรงพยาบาลอย่างนี้หรอกใช่ไหม” มันจี้ใจดำของเธอ ความรู้สึกผิดในอกยังไม่หายไปจากใจของเธอ “อย่าพูด ถ้าคุณไม่เคยเลี้ยงเขาเลย” เสียงพ่อแม่ทะเลาะกันทำให้หนูน้อยเงยหน้าขึ้นมอง มึนงงเข้าไปกันใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ผ่านมามารดาไม่เคยเถียงใครต่อหน้าเลย “ไม่เคยเลี้ยง? คุณต่างหากที่ไม่ให้โอกาสผมได้เลี้ยงเขา” “_” “มัด...คุณทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง” “ไม่ถูกต้องยังไง” เอ่ยพร้อมกับก้าวขาเดิน มือข้างหนึ่งถือสัมภาระ ส่วนมืออีกข้างนั้นจับฝ่ามือลูกสาวไว้แน่น โดยที่มีคนข้างกายเดินขนาบข้างพูดกับเธอไม่หยุด “คุณจะพรากลูกไปจากผมไม่ได้ และอีกอย่าง คุณบังคับให้ลูกไม่มีพ่อทั้ง ๆ ที่พ่อของเขาอยู่ทั้งคน” กึก! “ตอนนี้มันก็ดีแล้ว” เธอชะงักฝีเท้า ค่อย ๆ หันหน้ามาพูดกับเขา “ตอนนี้มันก็ดีมากแล้ว คุณมีชีวิตของคุณ และฉันก็มีชีวิตของฉัน” “แต่...” “ไม่มีแต่ ถึงคุณจะเรียกร้องยังไงมันก็ไม่สำเร็จ เอาไปฟ้องศาลยังไงคุณก็แพ้” เพราะเธอมีสิทธิ์ในตัวลูกเพียงคนเดียวตั้งแต่เจ้าตัวเล็กกำเนิดมา หล่อนไม่เคยเขียนชื่อของเขาว่าเป็นพ่อของลูกเลยสักครั้งเดียว “มัด...” “อย่าเดินตามมา ไม่งั้นฉันร้องให้คนช่วยจริง ๆ ด้วย” ว่าเสียงแข็งก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองรอบกาย ที่ตอนนี้มีคนหลายคนกำลังมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ทำให้ฐากูรหยุดที่จะเดินตามในที่สุด แต่ก็ไม่วายตะโกนเสียงไล่หลังเธอไปด้วย “ผมไม่ยอมหรอกนะ!” เสียงของเขาดังก้องกังวาน แต่มัดไหมก็ไม่ยอมหยุดเดิน ตอนนี้มันก็ดีมากแล้ว การมีเขาเข้ามาก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าจะไปในทิศทางไหน มีความสุขหรือทุกข์มากกว่าเดิม รู้แค่ว่าตอนนี้ก็มีความสุขมากแล้วแม้นจะเหนื่อยมากก็ตามที ด้านฐากูร...ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกลงใบหน้า เงยหน้าขึ้นมองเพดานด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง สี่ปี สี่ปีที่เธอปิดบังเขาไว้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองขาดความรับผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่สามารถทำมันได้ เขามีเงิน มีงาน มีหน้าตาทางสังคมที่บอกได้คำเดียวว่าเลิศเลอ แต่เธอกลับไม่ยอมบอกเขา...แต่เขาไม่ยอมหรอก ลูกของเขาทั้งคน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม