“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านพ่อท่านแม่”
จ้าวฟางเซียนรีบเดินเข้าไปประคองพี่สาวขึ้นมาจากพื้น โดยที่มีจ้าวฟางฉีช่วยอีกแรง จ้าวฟางหรูที่ดูเหมือนจะไม่ยินยอมตั้งแต่แรก ทว่าสุดท้ายก็ยอมตัวอ่อนปล่อยให้น้องสาว และน้องชายช่วยประคองนางไปนั่งลงบนเก้าอี้
“ก็จดหมายจากตระกูลเซี่ย ที่พี่ชายเจ้านำมาส่งให้ท่านปู่เมื่อเช้าน่ะสิ มันมิใช่จดหมายธรรมดา แต่ทว่าเป็นจดหมายทวงถามสัญญาที่ท่านปู่ของพวกเจ้า เคยให้ไว้ต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย” จ้าวฟางเซียนแสร้งตกใจ
“สัญญาอะไรกันหรือเจ้าคะ”
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่จ้าวฟางเซียนก็ไม่ทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไปจากเดิม นางยังคงถามออกมา ทว่าจ้าวฟางฉีกลับเหล่มองน้องหญิงรองด้วยแววตาประหลาดใจ หรือน้องหญิงรองจะไม่เชื่อที่เขาเล่าให้นางฟัง
“ท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย แต่เดิมเขาคือแม่ทัพทิศใต้ผู้องอาจ วัยหนุ่มท่านปู่ของพวกเจ้า ได้เดินทางไปค้าขายทางทิศใต้พอดี วันนั้นบังเอิญเจอพวกโจรป่าที่คอยดักปล้นพวกพ่อค้ากับชาวบ้าน แต่ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่ได้พบกับกองทัพสกุลเซี่ยเข้าพอดี ท่านผู้เฒ่าเซี่ยในยามนั้นจึงได้ช่วยชีวิตของท่านปู่เอาไว้” สิ่งที่บิดาเล่าออกมาล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่จ้าวฟางเซียนรับรู้อยู่แล้ว แต่ทว่านางก็ยังคงฟังเรื่องที่บิดาเล่าออกมาอย่างตั้งใจ
“ท่านปู่ของเจ้าจึงได้ให้คำมั่นสัญญา ว่าถ้าหากสกุลจ้าวมีบุตรีจะยกให้เป็นสะใภ้ตระกูลเซี่ย เพราะยามนั้นท่านแม่ทัพเซี่ยได้มีบุตรชายอยู่ผู้หนึ่งแล้ว ก็คือบิดาของรองแม่ทัพเซี่ยเฟยหลงในยามนี้นั่นเอง แต่ทว่าท่านย่าของเจ้าคลอดพ่อออกมา คนแรกก็เป็นบุรุษ รอจนน้ารองของพวกเจ้าก็ยังเป็นบุรุษอีก สุดท้ายจึงได้รอจนรุ่นหลานเช่นพวกเจ้าอย่างไรเล่า” จ้าวหวังเหล่ยบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้ลูกๆ ของตนได้ฟัง
“หรูเอ๋อร์…พ่อก็มิได้บอกว่าจะให้เจ้าออกเรือนไปวันนี้พรุ่งนี้เสียเมื่อใดกัน เขาเพียงแค่อยากขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน รออีกปีสองปีเขาถึงจะมาสู่ขอ แล้วพาเจ้าย้ายไปอยู่ที่จวนแม่ทัพในเมืองหนานจงด้วยกัน เจ้ายังมีเวลาเตรียมตัวอีกนาน จะถือเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของพ่อกับแม่ ด้วยการแต่งงานครานี้ไม่ได้เชียวหรือ” เขาหันไปเกลี้ยกล่อมบุตรีคนโตด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง
“ไม่เจ้าค่ะท่านพ่อ…จะให้ข้าตอบแทนบุญคุณพวกท่านด้วยเรื่องใดก็ได้ แต่เรื่องการออกเรือน เรื่องคู่ครอง…ข้าไม่ขอยินยอมเป็นอันขาด”
จ้าวฟางหรูตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว จ้าวฟางเซียนนึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของพี่สาวยิ่งนัก แม้ว่าหลังจากนี้จะกลายเป็นนางที่ต้องรับเคราะห์กรรมในครานั้นแทน ทว่าในครานี้นางย่อมยินดี
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านก็ให้เวลาพี่หญิงใหญ่ได้คิดทบทวนดูเสียหน่อยเถิด อีกอย่าง…จดหมายนั่นก็เพิ่งจะมาถึงเรือนในวันนี้ พวกเขาคงไม่ยกทัพมาบังคับเอาคำตอบจากพวกเราเร็วๆนี้หรอกนะเจ้าคะ”
นี่หาใช่คำพูดที่นางเคยกล่าวในชีวิตก่อนไม่ เพราะชีวิตก่อนนางก็ไม่กล้าที่จะออกความเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเกรงว่าตนเองจะได้รับผิดชอบหน้าที่ออกเรือนไปกับคุณชายสกุลเซี่ยแทน แต่แล้วก็เป็นจริงทั้งๆ ที่นางไม่เคยใส่ใจเรื่องการออกเรือนเลยด้วยซ้ำ
จ้าวหวังเหล่ยถอนหายใจหนักๆ ออกมา พลางมองไปยังบุตรีคนเล็กของตน เขายอมรับว่าจ้าวฟางเซียนนั้นเป็นเด็กที่ฉลาด มีความคิดลึกล้ำ แต่เขาไม่คิดว่านางจะกล่าวออกมาได้อย่างใจเย็นเช่นนี้ หวงฟางหรงเองก็มองบุตรสาวคนเล็กด้วยแววตาที่ชื่นชมเช่นกัน อย่างน้อยก็มีผู้ที่คอยช่วยนางห้ามปรามสามี
“ถ้าเช่นนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ถึงอย่างไรแล้ว…เร็วๆ นี้เจ้าจะต้องมีคำตอบมาให้พ่อ และพ่อก็หวังว่า คำตอบนั้นจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ของเจ้า หรือท่านปู่ของเจ้าต้องรู้สึกผิดหวัง”
จ้าวฟางหรูลุกขึ้นคำนับลาบิดามารดา ก่อนที่จะหันไปมองใบหน้างามของน้องสาวด้วยแววตาขอบคุณ อย่างน้อยจ้าวฟางเซียนก็ช่วยให้นาง สามารถหลบเลี่ยงออกจากห้องที่แสนอึดอัดนี้ไปได้ชั่วครู่ จ้าวฟางเซียนส่งยิ้มจางๆ ให้พี่สาว
“เซียนเอ๋อร์…เจ้าอยู่คุยกับพ่อก่อน” ก่อนที่บุตรสาวจะออกจากห้องนี้ไป จ้าวหวังเหล่ยกลับเรียกบุตรสาวคนเล็กเอาไว้
จ้าวฟางหรูกับจ้าวฟางฉีจึงพากันออกจากห้องรับรองไปก่อน แล้วแยกย้ายกันกลับเรือนนอนของตนทันที เรือนฟางเฟยนั้นยังมีเรือนแยกขนาดกลางอีกสามเรือน ซึ่งอยู่ถัดกันไปตามลำดับ จ้าวฟางหรูมีเปี๋ยเอ๋อสาวรับใช้คนสนิท ช่วยประคองนางกลับเรือน ส่วนจ้าวฟางฉีนั้นหาได้กลับเรือนนอนของตนไปทันทีไม่ เขาเลือกที่จะแวะไปหาพี่ชายใหญ่กับน้องสามที่เรือนตงเฟย เพื่อที่จะเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้องพวกนั้นได้ฟัง
“ท่านพ่อท่านแม่มีสิ่งใดอยากจะคุยกับลูกเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” การที่บิดารั้งนางให้อยู่ต่อเช่นนี้ คงจะต้องการปรึกษาหารือ ให้นางช่วยเกลี้ยกล่อมพี่หญิงใหญ่เช่นเดียวกับในชีวิตก่อนเป็นแน่
“ก็เรื่องพี่หญิงใหญ่ของเจ้าน่ะสิ เจ้าว่านางมีบุรุษในใจแล้วหรือยัง” เพราะท่าทีที่จ้าวฟางหรูปฏิเสธด้วยท่าทีที่แน่วแน่ นั้นทำให้จ้าวหวังเหล่ยคิดหนัก
“เรื่องนั้นลูกก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็รู้ ว่าข้ากับพี่หญิงใหญ่ เราสองคนไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าใดนัก”
เรื่องนี้เป็นความจริง แม้จะเป็นพี่น้องที่เกิดมาจากบิดามารดาคนเดียวกัน แต่ทว่านางก็อายุน้อยกว่าพี่สาวอยู่หลายปี อาจจะทำให้ยากที่จะสนิทสนมกัน อีกทั้งพี่หญิงใหญ่ก็มีความชอบที่ตรงกันข้ามกันกับนาง จึงค่อนข้างที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันไม่บ่อยนัก
“แต่ถึงอย่างไรแล้ว นางก็ดูเหมือนว่า จะเชื่อใจเจ้ายิ่งกว่าผู้ใด หากไม่ลำบากอันใด พ่ออยากให้เจ้าช่วยลองเกลี้ยกล่อมพี่สาวของเจ้าที ให้นางยอมรับการหมั้นหมายจากตระกูลเซี่ย” จ้าวหวังเหล่ยกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ตระกูลเซี่ยไม่ดีตรงที่ใด แค่เขาอยากได้ลูกหลานตระกูลคหบดีเช่นตระกูลเราไปเป็นสะใภ้ ก็นับว่าเป็นความโชคดีของตระกูลเราแล้ว เหตุใดพี่สาวของเจ้าถึงได้มีอคติกับพวกขุนนางฝ่ายบู๊นัก หรือว่านางเคยคบหากับพวกขุนนางฝ่ายบู๊โดยที่พ่อไม่รู้มาก่อน”
“เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะท่านพี่ ที่ผ่านมาลูกเคยชายตามองบุรุษที่ถือดาบ ผิวพรรณกร้านแดดที่ใดกัน เกรงจะชื่นชมชื่นชอบพวกบัณฑิตเสียมากกว่า” หวงฟางหรงแย้งสามี จ้าวฟางเซียนพยักหน้าเห็นด้วยกับมารดา
ยามนี้นางไม่อาจเสนอตัวขอแต่งงานแทนพี่สาวของนางได้ เพราะถ้าหากนางทำเช่นนั้น ก็เกรงว่าตนจะเป็นฝ่ายที่ทำให้วาสนาระหว่างพี่สาว กับบัณฑิตทั่นฮวาจากตระกูลเถียนผู้นั้นตื้นเขินขึ้น นางต้องรอให้ทั้งสองตกลงปลงใจกัน จนนางได้จับพลัดจับผลูเช่นในชีวิตก่อนเป็นการดีที่สุด
“ลูกเพิ่งกลับมาจากร้านจ้าวจาง หากท่านพ่อกับท่านแม่ไม่มีเรื่องใด อยากจะกำชับลูกแล้ว ลูกขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนนะเจ้าคะ”
ครั้นได้ยินบุตรีคนเล็กกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้าวหวังเหล่ยกับหวงฟางหรง จึงรู้สึกผิดต่อจ้าวฟางเซียนขึ้นมาทันที จ้าวฟางเซียนเพิ่งกลับมาจากตรวจสอบบัญชีที่ร้านค้าของตระกูล นางกลับต้องมานั่งฟังปัญหาภายในเรือนอีก จ้าวหวังเหล่ยจึงอนุญาต จ้าวฟางเซียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วคำนับลาบิดามารดา จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องรับรอง
สองสามีภรรยามองตามหลังบุตรสาวคนเล็ก ที่ยามนี้ก็มีรูปโฉมที่งดงามไม่แพ้สตรีวัยเดียวกันในเมืองหนานจาง ทั้งสองต่างก็พากันทอดถอนใจออกมา หากจ้าวฟางหรูไม่ยินยอมแล้ว จ้าวฟางเซียนจะยินยอมหรือไม่ พวกเขาก็มิอาจจะคาดเดาได้ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้ว ตระกูลจ้าวกับตระกูลเซี่ย ก็ยังคงต้องเกี่ยวดองกันอยู่ดี เพื่อรักษาสัญญาที่จ้าวหยวนจง บิดาของเขาได้ให้ไว้ในอดีต บุรุษพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น…