จดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาจากสกุลเซี่ย ตระกูลแม่ทัพแห่งเมืองหนานจง ทำให้ท่านผู้เฒ่าสกุลจ้าว จ้าวหยวนจงถึงกับกุมขมับ ไม่รู้ว่าเขาหลงลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร เรื่องที่เขาเคยทำสัญญาใจกับท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ยเอาไว้ ว่าภายภาคหน้าจะยกหลานสาวของตน ให้ออกเรือนไปกับหลานชายของอีกฝ่าย เพื่อเป็นการตอบแทนที่ครั้งหนึ่งในอดีต ท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“ฟงฉี...เจ้าไปตามนายท่านใหญ่มาพบข้าที่ห้องตำรา” บ่าวรับใช้คนสนิทรับคำสั่งแล้วจึงออกจากเรือนฟงเฟยไป
จ้าวหยวนจงแต่งงานกับซิ่วเหมยฉี ตระกูลรุ่งโรจน์ ร่ำรวยมาจากการค้าขายตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ นับเป็นตระกูลคหบดีอันดับต้นๆ ของเมืองหนานจาง สองสามีภรรยามีบุตรชายสืบสกุลอยู่สองคน คนโตคือจ้าวหวังเหล่ย ปีนี้มีอายุได้สามสิบหกปี และคนที่สองคือจ้าวหวังหย่ง อายุสามสิบสี่ปี จ้าวหวังเหล่ยแต่งงานกับหวงฟางหรง บุตรสาวของพ่อค้าสกุลหวง บุตรชายคนโตและสะใภ้ใหญ่มีทายาทสืบสกุลด้วยกันทั้งหมดสามคน
คนโตเป็นบุตรีมีนามว่า จ้าวฟางหรู คุณหนูใหญ่ผู้มีรูปโฉมงดงาม และกิริยามารยาทเพียบพร้อม มีความสามารถด้านการเขียนอักษร เล่นหมากล้อม ท่องบทกวี และการเล่นดนตรี ปีนี้แม้จะเข้าสู่วัยสิบแปดปีแล้ว แต่ทว่านางกลับไม่ยอมที่จะออกเรือนไปกับผู้ใดเสียที แม้ว่าจะมีบุรุษมากมายที่มาหมายปองโฉมสะคราญเช่นนางก็ตาม
คนที่สองเป็นบุตรชาย มีนามว่าจ้าวฟางฉี คุณชายหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าพี่สาวไปเพียงหนึ่งปี เขานับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีอนาคตไกล เพราะเขาชื่นชอบด้านการศึกษาตำรา และเป็นลูกหลานคนแรกของตระกูลจ้าว ที่เลือกเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นขุนนาง จ้าวฟางฉีใช้ความสามารถสอบผ่านเค่อจวี่ ในระดับจวี่เหรินได้ตั้งแต่วัยสิบหก สร้างชื่อเสียงให้ตระกูลจ้าวเลื่องลือไปไกล
และคนที่สามเป็นบุตรี มีนามว่า จ้าวฟางเซียน แม้เด็กหญิงจะอยู่ในวัยเพียงสิบสี่ปี แต่ทว่านางกลับมีความรู้และความสามารถในด้านการบัญชี คอยช่วยบิดาและมารดา จัดการดูแลบัญชีร้านค้าของสกุลจ้าวได้เป็นอย่างดี อีกไม่กี่เดือนจ้าวฟางเซียนก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีหลายสกุลที่หมายตานางเอาไว้ ให้บุตรชายหรือหลานชายของตน แต่ทว่าทั้งจ้าวหวังเหล่ยและหวงฟางหรง ต่างก็คิดว่านางยังเด็กนัก จึงไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกัน
ภายในเรือนขนาดกลาง ซึ่งเป็นที่พำนักของนายท่านใหญ่จ้าวหวังเหล่ย ยามนี้ทุกคนในครอบครัวกำลังนั่งกินมื้อเช้าร่วมกันอยู่พร้อมหน้า บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นปรองดอง จ้าวหวังเหล่ยมีภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ทำให้ไร้ปัญหาเรื่องเรือนหลัง นับตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษมา ตระกูลจ้าวยึดมั่นธรรมเนียมมีภรรยาเดียวมาตลอด ทำให้สตรีที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้นั้น ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปกับการแย่งชิงความโปรดปรานในเรือนหลัง หวงฟางหรง ฮูหยินใหญ่ของจวนตระกูลจ้าว จึงใช้ชีวิตอยู่ในจวนนี้อย่างสงบสุข เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่บุตรีและบุตรชาย
“นายท่านใหญ่ขอรับ นายท่านผู้เฒ่าให้ข้าน้อยมาเชิญท่านไปพบที่เรือนฟงเฟยขอรับ”
ฟงฉีรายงานออกมา จ้าวฟางเซียนเหลือบมองบ่าวรับใช้คนสนิทของท่านปู่เพียงแวบเดียว ก่อนที่นางจะลงมือกินอาหารตรงหน้าต่อไป แม้ภายในใจจะรู้สึกตื่นเต้นยินดีก็ตาม
“ท่านพ่อมีเรื่องอันใดอยากจะพูดคุยกับข้าเช่นนั้นรึ แล้วได้เรียกเจ้ารองไปด้วยหรือไม่” จ้าวหวังเหล่ยเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนสนิทของบิดา เป็นคำถามที่จ้าวฟางเซียนเคยได้ยินมาแล้วหนหนึ่ง นางยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย
“บ่าวเองก็มิทราบขอรับ แต่นายท่านผู้เฒ่าให้บ่าวมาตามนายท่านใหญ่ไปพบเพียงผู้เดียว” ฟงฉีตอบตามตรง จ้าวหวังเหล่ยจึงพยักหน้าให้
“เจ้ากลับไปแจ้งท่านพ่อให้ข้าที ว่าข้าขอกินมื้อเช้ากับฮูหยินและคุณหนูคุณชายเสร็จก่อน แล้วข้าจะไปพบเขา” ฟงฉีรับคำสั่งแล้วจึงคำนับลา ก่อนที่จะเดินออกจากเรือนฟางเฟยไป
จ้าวหวังเหล่ยกินอาหารตรงหน้าอย่างเร่งรีบขึ้น เพราะไม่รู้ว่าบิดามีเรื่องสำคัญอันใด ถึงได้เรียกหาเขาเพียงผู้เดียว และเรียกหาตั้งแต่เช้าเช่นนี้ จ้าวหวังเหล่ยกินอาหารตรงหน้าไปอีกไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงบนชาม ก่อนที่จะบอกภรรยาและลูกๆ ให้กินกันต่อตามสบาย จากนั้นเขาจึงดื่มน้ำพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วรีบเดินออกจากเรือนฟางเฟย มุ่งหน้าสู่เรือนฟงเฟยอย่างไม่รีรอ
หวงฟางหรงรู้สึกใจคอไม่ดี ที่จู่ๆ พ่อสามีก็เรียกเขาให้ออกไปพบในยามนี้ ไม่รู้ว่ามีเรื่องรีบร้อนอันใด เขาเพิ่งจะกินข้าวไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้น นางมองตามแผ่นหลังของสามีไปด้วยแววตากังวล ทว่าเสียงของบุตรชายช่วยดึงสายตาของนางให้กลับมามอง ใบหน้าหล่อเหลาที่เหมือนกับบิดาของเขาไม่มีผิดเพี้ยน
“ท่านปู่คงจะเรียกท่านพ่อไปคุยเรื่องจดหมายที่มาจากตระกูลเซี่ยนั่นแหละขอรับ ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวลไปเลย”
จ้าวฟางฉีที่สังเกตท่าทีของมารดากล่าวออกมา ก่อนที่เขาจะคีบหมูตุ๋นใส่ชามให้แก่ผู้เป็นน้องสาวอย่างใส่ใจ จ้าวฟางเซียนส่งยิ้มให้พี่ชายรอง เพื่อเป็นการขอบน้ำใจเขา
“นั่นน่ะสิเจ้าคะท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย ประเดี๋ยวจะกินข้าวไม่ลงเอาได้ ว่าแต่ฉีเอ๋อร์….เจ้ารู้ได้เช่นไร ว่าที่ท่านปู่เรียกหาท่านพ่อ เป็นเพราะเรื่องจดหมายที่มาจากตระกูลเซี่ยน่ะ”
จ้าวฟางหรูเห็นด้วยกับน้องชาย ก่อนที่นางจะเอ่ยถามเขาออกมา จ้าวฟางเซียนยกยิ้มเพียงเล็กน้อย เพราะทุกถ้อยคำที่มารดา พี่ชายรองและพี่หญิงใหญ่พูดคุยกันออกมาในยามนี้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นถ้อยคำที่นางเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วหนหนึ่ง
“ก็ข้าเป็นคนรับจดหมายนั้นเองกับมือ ครั้นข้านำจดหมายนั้นไปให้ท่านปู่ ไม่นานนักท่านปู่ก็ให้ฟงฉีมาตามท่านพ่อไปพบ แล้วจะเป็นเพราะเรื่องใดไปได้อีก” จ้าวฟางฉีตอบพี่สาว แล้วจึงหันไปคีบเนื้อปลาให้กับจ้าวฟางเซียนอีกครา
“กินให้มากๆ หน่อยเซียนเอ๋อร์…จะสิบห้าอยู่แล้ว ยังดูเหมือนอายุสิบปีอยู่เลย”
เป็นคำพูดเช่นเดิมที่เคยได้ยินมาไม่ผิดเพี้ยน จ้าวฟางเซียนจึงส่งค้อนน้อยๆ ให้พี่ชายอย่างเช่นที่นางเคยกระทำ เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าหล่อเหลา ของพี่ชายรองได้เป็นอย่างดี
“ตระกูลเซี่ย...ใช่ตระกูลแม่ทัพแห่งเมืองหนานจงใช่หรือไม่เจ้าคะท่านแม่”
จ้าวฟางหรูเอ่ยถามมารดา นางวางตะเกียบลงบนชาม พลางใช้ผ้าเช็ดปากอย่างเนิบนาบ ทุกท่วงท่าสง่างามสมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่
“อืม...ตระกูลแม่ทัพเซี่ยแห่งเมืองหนานจงนั่นแหละ แต่ไม่นานมานี้แม่ได้ยินมาว่า ตระกูลเซี่ยเพิ่งจะสูญเสียบุตรชายคนรองไป ยามนี้ตระกูลเซี่ยจึงเหลือเพียงคุณชายใหญ่ที่เป็นทายาทสายตรงเพียงผู้เดียว"
“ตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ส่วนมากก็เป็นเช่นนี้ อายุไม่ยืนยาว”
จ้าวฟางหรูไม่ชื่นชอบบุรุษที่มีหน้าที่เสี่ยงชีวิตเพื่อบ้านเมืองเช่นนั้น หากวันใดวันหนึ่งนางต้องเลือกตระกูลที่จะแต่งออกไปจริงๆ ตระกูลแม่ทัพ หรือพวกขุนนางฝ่ายบู๊ย่อมไม่อยู่ในตัวเลือกของนาง