บทที่ 2.3
บุรุษมีใจ บุปผาไร้ไมตรี
“น้องหญิงอดทนอีกหน่อย”
เสียงอ่อนโยนหากแต่หนักแน่นและแฝงไปด้วยความกังวลของหลี่มู่หรงดังขึ้น มือหนาขยับเกร็งจนเส้นเอ็นแขนปูดโปน บังคับกระตุก
เร่งความเร็วของม้าโดยไม่สนใจกฎของเมืองต้าโจวที่ห้ามควบม้าบนถนนเส้นหลักของเมือง ขอเพียงสามารถปกป้องนางได้ให้ต้องโทษร้ายแรงแค่ไหนเขาก็ไม่หวาดหวั่น
“พี่รองข้าร้อน...”
เสียงหวานเอ่ยบอกแหบพร่าสั่นเครือพร้อมกับขยับมือปลดปมเสื้อตัวนอกของตนเอง หลี่มู่หลงขบกรามแน่นเมื่อเห็นว่าสติของจ้าวซิงอีเริ่มลดลง มือหนาข้างหนึ่งจึงปล่อยเชือกม้าดึงเสื้อคลุมของตนสะบัดโอบกอดนางแนบอก ปกป้องนางจากสายตาของผู้คน
“ตั้งสติไว้ ข้าจะพาเจ้ากลับเรือนโดยเร็วที่สุด”
จ้าวซิงอีขบกรามแน่น อาการที่เป็นอยู่ของนางตอนนี้ไม่ต้องให้หมอใดมาตรวจนางก็รู้ว่าตนเองถูกคนวางยาปลุกกำหนัด ทว่าทั้งที่ระวังตัวเองโดยตลอด เหตุใดนางจึงยังพลาดท่าถูกผู้อื่นลงมือได้เช่นนี้กัน เมื่อคิดถึงเรื่องราวในวันนี้สิ่งเดียวที่นางพลาดไปและไม่ทันระวังก็คือขนมเฉียวกั่วที่หลี่มู่เฉินทำให้นางกิน
บุรุษต่ำช้าหลี่มู่เฉิน น่าโมนัก!
เพียงแต่ภาพความทรงจำในวันวานที่นางจำได้แม้หลี่มู่เฉินจะมากเล่ห์เจ้าแผนการเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยต่ำช้าถึงขั้นใช้ยาปลุกกำหนัดกับนางเยี่ยงนี้ แล้วเหตุใดในวันนี้เรื่องราวจึงเป็นเช่นนี้กัน
หรือแท้จริงเจ้าต่ำช้ากว่าที่ข้าคาดคิด
“ขะ... ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”
เสียงแหบพร่าแผ่วเบาเอ่ยบอกอย่างทรมาน หลี่มู่หรงขบกรามแน่นกระชับอ้อมแขนของตนมากขึ้น ขณะที่สายตาคมมองไปเบื้องหน้าบังคับม้าควบทะยานหลบผู้คน โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องตื่นตกใจที่ดังลั่นไปทั่วทั้งท้องตลาด ตามมาด้วยเสียงต่อว่าตำหนิกับการกระทำอันบ้าระห่ำของเขา
จ้าวซิงอีขมวดคิ้วแน่นเมื่อรับรู้ได้ว่าร่างกายของตนเองเริ่มทนไม่ไหว สติที่มีก็คล้ายว่าจะหลุดลอยอยู่ในที เพื่อประคองความคิดไม่ให้ขาดหาย นางจึงยกมือขึ้นมากัดหวังใช้ความเจ็บปวดประคองสติของตนเอาไว้ทว่ายังไม่ทันฝังคมเขี้ยวลงบนผิว มือบางก็ถูกกอบกุมเอาไว้แน่น
“อย่าทำร้ายตนเอง”
หลี่มู่หรงวางมือลงบนหลังมือนางพร้อมกับเอ่ยห้ามเสียงดุ แม้ดวงตาของเขาจะจดจ้องไปเบื้องหน้า ทว่าทุกการเคลื่อนไหวของนางเขาล้วนใส่ใจ มือหยาบกร้านกระชับมือนุ่มพร้อมกับพลิกหลังมือของตนให้จ้าวซิงอี
“แต่หากเจ้าจะกัด ก็กัดข้า”
จ้าวซิงอีกัดฟันแน่นนางจะกัดเขาได้อย่างไรกัน สติที่มีเริ่มพร่าเลือน ใบหน้างามขยับสะบัดส่ายไปมาสูดลมหายใจเข้าเพื่อประคองสติของตน ทว่ายิ่งนางพยายามต่อต้านมากเพียงใด ทั่วทั้งร่างกายก็ยิ่งร้อนผ่าวเป็นทบทวี มือบางกำสาบเสื้อของหลี่มู่หรงแน่น สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อข่มกลั้นความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในร่างกาย
“ปิดประตูนอกจากหมอซู ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้เข้าพบ”
ทันทีที่หยุดม้าหลี่มู่หรงก็เอ่ยสั่งเสียงก้อง ไม่รอให้ใครเข้ามาช่วยร่างสูงกำยำก็พลิกตัวลงจากหลังม้า พร้อมกับประคองร่างที่สั่นสะท้านของสตรีในอ้อมแขนลงมาโดยพร้อมกัน
ปัง! เสียงฝ่าเท้าหนักยันที่บ้านประตูเรือนนอน สาวใช้ที่ทำหน้าที่ดูแลในเรือนต่างพากันหน้าซีด ตื่นตกใจจนตัวสั่นทรุดตัวลงคุกเข่าในทันที ทว่าหางตาก็ยังคงเห็นว่าท่านชายรองอุ้มหญิงงามนางหนึ่งเข้าไปในเรือนนอนด้วยท่าทางเร่งรีบ
มิใช่ว่าท่านชายรองมีพันธะหมั้นหมายกับท่านหญิงเมืองต้าฉินแล้วหรือ เช่นนั้นสตรีในอ้อมแขนเขาผู้นี้เป็นใครกัน
หลี่มู่หรงไม่สนใจสายตาของผู้คน ใช้ฝ่าเท้ายันปิดประตูเรือนแล้ววางคนในอ้อมแขนลงบนเตียง
“น้องหญิงเจ้าอดทนอีกหน่อย ท่านหมอซูกำลังมา”
จ้าวซิงอีกัดฟันแน่น พยักหน้ารับคำของเขาพร้อมกับพยายามประคองสติของตนเองเอาไว้ ทว่ายาที่หลี่มู่เฉินใช้กับนางครั้งนี้นับว่าออกฤทธิ์แรงไม่น้อย ทั่วทั้งตัวของนางร้อนผ่าว สองมือจึงเริ่มปลดเสื้อผ้าของตนเองออกอย่างไม่อาจควบคุม
“ซิงอี ตั้งสติไว้ก่อน”
น้ำเสียงดุเอ่ยเสียงสั่นเครือจับข้อมือเล็กทั้งสองเอาไว้แน่น ทว่าเมื่อครู่จ้าวซิงอีทั้งดึงทั้งปลดเสื้อผ้าตนเอง ยามนี้เสื้อตัวนอกจึงหลุดลุ่ยทิ้งตัว แม้ยังมีเสื้อตัวในทว่ากลับเป็นผ้าเนื้อบางจนมิอาจปกปิดสิ่งที่ควรปิด เผยสัดส่วนเรือนกายอันเย้ายวนของนางเด่นชัด จนคนเอ่ยห้ามลำคอแห้งผาก ต้องหลับตาลงเพื่อตั้งสติควบคุมความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดในกาย
เพียงแต่เขาพยายามควบคุมตนเองแต่อีกฝ่ายกลับไม่ให้ความร่วมมือ โถมตัวเข้าหาเขาจนคนที่ไม่ทันตั้งตัวเซถลาแผ่นหลังพิงแนบชิดกับกำแพง อยู่ในท่วงท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก หัวใจสั่นระรัว
“น้องหญิงอย่าลืมว่าข้าก็คือบุรุษ”
.........................................