บทที่ 2.2
บุรุษมีใจ บุปผาไร้ไมตรี
มือที่กำลังหยิบขนมเฉียวกั่วชิ้นที่สองเข้าปากพลันหยุดชะงัก พร้อมกับรีบกลืนขนมในปากลงท้องอย่างรวดเร็วก่อนจะเก็บมือลงวางบนตัก นั่งนิ่งราวเด็กน้อยแอบกินขนมต้องห้ามแล้วถูกบิดาตามเจอ
ทว่าท่าทางว่าง่ายเช่นนี้ของจ้าวซิงอีกลับทำให้สายตาที่อ่อนโยนของหลี่มู่เฉินพลันแข็งกร้าวขึ้นมา ดวงตาคมดุตวัดมองพี่ชายที่เดินเข้ามานั่งโดยไม่ได้รับเชิญแล้วขบกรามแน่น
“ได้ยินว่าน้องสามไม่สบาย พี่รองจึงแวะมาเยี่ยม”
หลี่มู่หรงเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าโจว แม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าก็ยังคงหนักแน่นแฝงความกดดันอยู่ในที จ้าวซิงอีลอบกลืนน้ำลายฝืดลงคอรู้สึกเสียวแผ่นหลังขึ้นมาจนเหงื่อตก ในฐานะว่าที่ฮูหยินของเขานางมาเรือนบุรุษอื่นโดยที่ไม่ได้เอ่ยขออนุญาตจากเขานับว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร แต่เขาเองก็ไม่เคยอยู่ในนางได้เอ่ยขออนุญาต เช่นนั้นเรื่องนี้จะตำหนินางฝ่ายเดียวไม่ได้เช่นกัน
“ข้าหายดีแล้ว ไม่รบกวนพี่รองมากังวล”
“ได้ยินหรือไม่ น้องสามหายดีแล้วว่าที่พี่สะใภ้อย่างเจ้าก็ไม่ต้องกังวลอีก”
หลี่มู่หรงเอ่ยเสียงนุ่มละมุนราวกับคนละคน กับคนที่เอ่ยสนทนากับหลี่มู่เฉิน ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้กลมข้างจ้าวซิงอีโดยไม่รอให้ผู้เป็นเจ้าของเรือนเอ่ยเชิญ
“ยิ่งไม่ควรให้ว่าที่สามีเช่นข้านอนหลับรออยู่บนรถม้า”
นอนหลับรออยู่บนรถม้า ประโยคนี้ของหลี่มู่หรงไม่ต้องขยายความก็เข้าใจได้ว่าเขาและจ้าวซิงอีเดินทางมาด้วยกัน แน่นอนว่าทั้งหมดล้วนไม่ใช่เรื่องจริง ทว่าหลี่มู่หรงเอ่ยออกมาเช่นนี้หากนางปฏิเสธก็เท่ากับหักหน้าเขา ที่ทำได้จึงมีเพียงไหลไปตามน้ำ
“ข้าเห็นท่านเดินทางมาเหนื่อยๆ จึงไม่อยากรบกวนเจ้าค่ะ”
หลี่มู่หรงเห็นนางยอมเล่นละครไปกับตนในใจก็เกิดความยินดีขึ้นมา มือหนาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ เอื้อมไปจับมือบางแล้วเช็ดทำความสะอาดอย่างใส่ใจ
“ครั้งหน้าจะกินอะไรต้องระวังให้มาก... อย่าได้เลอะเทอะเป็นเด็กเช่นนี้”
หลี่มู่เฉินมองการกระทำที่เสแสร้งของผู้เป็นพี่ชายแล้วโทสะในใจพลันรุกโชน จ้าวซิงอีเดินทางมาเยี่ยมเขาเพียงลำพังเรื่องนี้เขารู้ตั้งแต่นางออกจากประตูเรือนรับรองของนางแล้ว ทว่าเพราะเมื่อครู่นางแสร้งเล่นละครไปกับหลี่มู่หรง ดังนั้นแม้ในใจอยากเปิดโปงคนหน้าหนาเพียงก็ทำได้เพียงขบกรามอดทน ก่อนจะแสร้งไอชุดใหญ่เรียกความสนใจจากจ้าวซิงอี เพียงแต่ในจังหวะที่ดวงตากลมกำลังหันมามองคนป่วย มือหนาของคนด้านข้างก็ตวัดเข้าโอบเอวบาง พร้อมกับเอ่ยเสียงราบเรียบ
“น้องสาม ดูเหมือนอาการไม่สบายของเจ้าจะกำเริบอีกแล้ว เช่นนั้นพวกเราสองคนไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
เอ่ยจบคนมาใหม่ก็ประคองเอวบางลุกขึ้น โน้มใบหน้าลงกระซิบข้างใบหูหากแต่น้ำเสียงกลับจงใจให้คนในห้องอีกคนได้ยิน
“น้องหญิงข้าง่วงแล้ว พวกเราเร่งกลับเรือนกันเถิด”
หลังเอ่ยจบหลี่มู่หรงก็ยกยิ้มเย้ยหยันราวชนะศึกใหญ่ ปรายตามองคนนั่งไออย่างดูแคลน ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำใดก็โอบเอวบางเดินออกมาทิ้งให้คนแสร้งป่วยขบกรามมองตามด้วยความแค้นเคือง
นางเป็นของข้า ไม่ว่าผู้ใดข้าก็ไม่มีสิทธิแตะต้อง
...................................................
จ้าวซิงอีนั่งตัวลีบหางตาลอบมองคนตัวโตที่ถือโอกาสตีเนียนขึ้นมานั่งบนรถม้าของนางโดยมิเอ่ยถาม
“แผลของเจ้าหายดีแล้วหรือยัง”
“หายแล้วเจ้าค่ะ ไม่รบกวนพี่รองมากังวล”
คำพูดที่คล้ายคลึงกับหลี่มู่เฉินอย่างไม่ตั้งใจทำให้แววตาของคนตัวโตข้างกายฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะเบนสายตามองไปนอกหน้าต่างเพื่อสงบอารมณ์ขุ่นเคืองของตนเอง
จ้าวซิงอีขมวดคิ้วมองกิริยาคนข้างกายด้วยความสงสัย สายตาและท่าทางเมื่อครู่ของหลี่มู่หรงแน่ชัดว่าเขาไม่พอใจนาง เพียงแต่เขาถือวิสาสะขึ้นรถม้าของนางมาโดยไม่เอ่ยขออนุญาต ผู้ที่ต้องขุ่นเคืองย่อมสมควรเป็นนางมิใช่หรือไรกัน เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเขาที่ขุ่นเคืองนางได้เล่า ทว่าไม่ทันเอ่ยถามความรถม้าของนางก็โคลงเคลงจนเสียการทรงตัว แขนแกร่งตวัดโอบร่างเล็กเข้าสู่อ้อมอกในขณะที่อีกข้างจับยึดขอบหน้าต่างเพื่อทรงตัว เมื่อเห็นว่ารถม้าคล้ายจะพลิกคว่ำก็หมุนตัวพาจ้าวซิงอีทะยานออกมาจากรถม้า และทันทีที่เท้าแตะพื้นดินรอบตัวเขาก็รายล้อมไปด้วยมือสังหารชุดดำนับสิบชีวิต
“ข้าปกป้องตัวเองได้ ท่านไม่ต้องกังวล”
จ้าวซิงอีเอ่ยบอกพร้อมกับขยับตัวออกจากอ้อมแขน ทว่าคนตัวโตกลับยิ่งกระชับวงแขนของตนแนบแน่นมากขึ้น
“หน้าที่ปกป้องภรรยาเป็นของสามี เจ้าอยู่นิ่งๆ อย่าขยับ”
หัวใจของจ้าวซิงอีพลันสั่นสะท้านอบอุ่นอย่างไร้เหตุผล ตัวนางแม้เกิดมาในฐานะท่านหญิงรองแห่งจวนฉินอ๋อง แต่เพราะเติบโตในกองทัพ ตั้งแต่ห้าขวบก็เริ่มฝึกฝนการต่อสู้ ที่ผ่านมาหน้าที่ของนางคือปกป้องเมืองต้าฉิน ส่งเสริมพี่ใหญ่ ดูแลน้องเล็ก แม้แต่ในอดีตเมื่อตัวนางถูกส่งมายังต้าโจว นางก็ยังคงเป็นผู้ปกป้องหลี่มู่เฉิน ดูแลส่งเสริมเขาจนกระทั่งเขาได้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง แห่งต้าโจวสมใจปรารถนา
ที่แท้ยามได้รับการปกป้องหัวใจจะรู้สึกอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้
ทว่าในยามที่เหล่ามือสังหารทะยานตัวเข้าโจมตีหลี่มู่หรง จ้าวซิงอีก็ไม่คิดเป็นภาระให้เขา มือเรียวหยิบอาวุธลับออกมาตวัดมือโจมตีศัตรูโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันที่กระบี่ในมือหลี่มู่หรงจะได้ขยับเหล่าคนชุดดำก็ล้มลงสิ้นใจจนหมดสิ้น คิ้วเข้มของหลี่มู่หรงขมวดเข้าหากันแน่น ยามที่ลมหายใจของคนชุดดำคนสุดท้ายหมดลง ดวงตาคมก็ก้มมองคนในอ้อมแขนอย่างตำหนิ
“ข้ามิใช่บอกให้เจ้าอยู่นิ่งๆ หรือไร”
“หน้าที่ปกป้องสามีก็เป็นของภรรยาเช่นกัน ท่านถูกโจมตีข้าจะนิ่งเฉยได้อย่างไร”
จ้าวซิงอีเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะขยับตัวออกจากอ้อมอกของท่านชายรองแห่งต้าโจว แล้วเอ่ยเสียงสดใสหนักแน่น
“ข้ามิใช่คุณหนูผู้อ่อนแอบอบบาง พี่รองท่านไม่ต้องกังวล ข้า...”
จ้าวซิงอีเอ่ยไม่ทันจบประโยคทั่วทั้งตัวก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หลี่มู่หรงขบกรามแน่นขยับตัวเข้ามาอุ้มคนที่ตัวสั่นสะท้าน แล้วส่งนางขึ้นนั่งบนหลังม้า ก่อนจะกระโดดขึ้นนั่งซ้อนด้านหลัง เอ่ยสั่งการทหารคนสนิทเสียงก้องดุดัน
“อาลิ่ว ตามหมอซูเดี๋ยวนี้”
...................................................