ในขณะที่รวิดาได้ยินได้ฟังคนอื่นเขาคุยกันเรื่องการศึกษาเล่าเรียน เธอก็ได้แต่หดหู่ใจเพราะตัวเองนั้นไม่ได้เรียนต่อ การศึกษาถือว่าสำคัญ เป็นใบเบิกทางที่จะทำงานต่างๆ ในเมื่อเราไม่ได้มีเหมือนคนอื่น ดังนั้นการศึกษาเท่านั้นถึงจะช่วยเราได้ รวิดาคิดเช่นนั้น
“รวิ รวิ” เสียงเรียกของวนิดาทำให้รวิดาตื่นจากภวังค์ความคิด เธอหันไปก็เจอเข้ากับหญิงสาวคนสวยประจำไร่ที่ตอนนี้เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่หนุ่มๆ สนใจ
"พี่นิดา” มีอะไรให้รวิรับใช้เหรอคะ"
“พูดอะไรแบบนั้น พี่แค่จะขอให้รวิยกน้ำเย็นๆ ไปเสิร์ฟพี่กับเฮียถิ่นหน่อยน่ะจ้ะ แม่ของพี่ท่านทำน้ำมะตูมเย็นๆ น่ะ แล้วก็ทำข้าวตังด้วย” วนิดายิ้มให้เด็กสาวตรงหน้า ไม่ได้เจอกันนาน รวิดานั้นโตเป็นสาวสวยเลยทีเดียว เรื่องราวในบ้านและความสัมพันธ์ต่างๆ นานา เธอก็พอจะรู้ แต่ก็ทำเป็นเฉยเสีย เพราะเธอต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ตัวแปรสำคัญของเรื่องคือคนใกล้ตัวของเธอนั่นเอง
“ได้ค่ะพี่นิดา”
“รบกวนด้วยนะ” วนิดายิ้มให้ก่อนจะเดินไปนั่งบนเสื่อใต้ต้นโศกกับถิ่น
รวิดามองภาพที่ถิ่นกับวนิดากำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก ตั้งแต่วนิดากลับมา เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินเสียทุกครั้ง
“อ้าว... รวิเร็วๆ สิจ๊ะ ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น” เสียงของวนิดาทำให้รวิดาสะดุ้ง รีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาคนทั้งสองในทันที
“ขอบใจจ้ะ รวิชิมข้าวตังด้วยกันสิ” วนิดาเอ่ยชวน แต่รวิดาส่ายหน้าไปมา ในขณะที่ถิ่นไม่ได้สนใจเธอเลย
“ขอตัวก่อนนะคะ” ประโยคเอ่ยขอตัวของรวิดาดังขึ้นและไม่ได้รับเสียงตอบรับอะไรจากใครๆ เลยเพราะทั้งสองหันไปสนใจคุยกันต่ออย่างออกรส ทำให้รวิดาเดินจากมาด้วยความรู้สึกตื้อในอก
“แกคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าลูกสาวของฉันสำคัญกับคุณถิ่นขนาดไหน น้ำหน้าอย่างแกเขาก็คงเก็บเอาไว้เป็นนางบำเรอเท่านั้นเอง” ไม่ใช่ใครอื่น เสียงของป้าวรรณานั่นเอง
“หนูรู้ดีค่ะ ถ้าไม่เพราะต้องใช้หนี้เฮีย หนูคงไปจากที่นี่แล้ว” เธอพูดมันออกมาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ
“อีโธ่เอ๊ย ข้ออ้างน่ะสิ ใช้หนี้อะไรของหล่อนย่ะแม่คุณ วันๆ ไม่เห็นทำอะไร นอนแบให้ผู้ชาย แล้วก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หนี้ที่พี่ชายของแกโกงไปน่ะกี่ชาติถึงจะใช้หมดกัน” วรรณาพูดใส่หน้าอย่างเกลียดชัง
“ป้า!”
“ทำไม ฉันพูดแทงใจดำแกหรือไงถึงได้ทำสีหน้าแตกตื่นแบบนั้น ใครๆ เขาก็รู้ว่าแกอยู่ในฐานะอะไร แม่นางบำเรอไร้ราคาแบบแกไม่นานคุณถิ่นก็เฉดหัวส่งตามพี่แกไปนั่นแหละ”
“ป้าโกรธเกลียดอะไรหนูหนักหนาคะ หนูเคยไปทำอะไรให้ป้าเหรอ” รวิดาเอ่ยถามอย่างอัดอั้นตันใจ
“ฉันเกลียดขี้หน้าแกที่แกกับพี่ชายของแกทำกับคุณถิ่นแบบนี้ คนเขาอุตส่าห์ดีด้วยก็ยังทรยศหักหลัง”
“เหตุผลข้อนั้นคงไม่เท่าเหตุผลที่ป้าอยากให้พี่นิดาได้แต่งงานกับเฮียหรอกมั้งคะ”
“นี่หล่อน!”วรรณาแผดเสียงดังด้วยความโมโหเมื่อได้ยินเด็กเมื่อวานซืนพูดเช่นนั้น ไม่คิดว่าคนไม่เคยมีปากเสียงอย่างรวิดาจะพูดกับนางเช่นนี้
“หรือไม่จริงจ๊ะ”
“ถ้าจริงแล้วแกจะทำไมฉัน เพราะถ้าให้คุณถิ่นเลือกระหว่างลูกสาวของฉันกับนังเด็กใจแตกอย่างแก แถมยังมีพี่ชายสารเลวแย่งแฟนคุณถิ่นและโกงเงินไปอีก คุณถิ่นก็คงไม่เลือกแกหรอก” ประโยคของวรรณาทำให้รวิดาเจ็บจุก ถึงไม่ตอกย้ำเธอก็รู้ว่าถิ่นไม่เลือกเธออยู่แล้ว
“จะไปไหนล่ะ พูดไม่ออกล่ะสิ อีโธ่เอ๊ย! แน่จริงกลับมาเถียงสิวะ ถ้าแกมั่นหน้ามั่นโหนกว่าคุณถิ่นจะเลือกแกนังเด็กใจแตกเอ๊ย” วรรณาได้ทีด่าไล่หลังไปอย่างสาแก่ใจ
รวิดานั้นวิ่งหนีมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เพราะสิ่งที่นางพูดคือเรื่องจริงทุกอย่าง การอยู่อย่างไร้ค่ามันทำให้รู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้นี่เอง
หลายวันต่อมา... รวิดาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินข่าวอันสยดสยองเช่นนี้ ข่าวของพี่ชายคนเดียวโดนตามทวงหนี้โหดจากบ่อนจนโดนฆ่าตาย ศพถูกทิ้งอยู่ตรงพงหญ้าข้างทาง ช่างเป็นภาพข่าวที่สลดหดหู่และทำให้เธอทำใจไม่ได้
เด็กสาวถึงกับเป็นลมล้มพับลงไปในทันทีที่ได้รับรู้ข่าวของพี่ชาย ร่างน้อยนอนกอดเข่าเจ่าจุกอยู่บนที่นอนแคบๆ ของตัวเอง เธอยังทำใจเรื่องของพี่ชายไม่ได้ หลังจากงานศพเล็กๆ ที่ถิ่นเมตตากรุณาจัดการให้พี่ชายของเธอ เธอก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
ถึงแม้พี่ชายของเธอจะทำไม่ดี แต่ถิ่นก็ยังช่วยจัดงานศพให้ในวาระสุดท้ายของชีวิต เธอก็นึกขอบคุณเขาอยู่ไม่น้อย
ขาดพี่ชายไปแล้ว จากกันอย่างไม่มีวันได้พบหน้ากันอีก ทำให้เธอรู้สึกไร้ญาติขาดมิตรอย่างแท้จริง
“เอาแต่นอนกอดเข่าเจ่าจุกอยู่แบบนี้ เธอคงไม่คิดจะเบี้ยวหนี้ฉันหรอกนะ” ถิ่นกระตุกแขนของคนที่เอาแต่ขังตัวอยู่แต่ในห้องนอนเบาๆ เพื่อปลุกให้เธอหลุดจากภวังค์ความคิดเรื่องของรวิกร
ร่างที่ดูเหมือนจะไร้วิญญาณถูกลากลงมาจากเตียง นั่งแหมะอยู่กับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ทำให้ถิ่นถอนใจพรืดใหญ่
“นี่เธอ!” ประโยคของเขาที่แข็งกระด้างมันเปล่งออกมาได้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะชะงักเมื่อเห็นร่างน้อยที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้จนไหล่สะท้าน
เขาถึงกับอึ้งไป ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรอีก ร่างน้อยของเธอก็โผเข้ามากอดเขา นั่นทำให้ถิ่นถึงกับไปไม่เป็น เขายืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น
ทำอะไรไม่ถูกเอาเสียเลย!!!
เขาไม่คิดจะกอดแต่ก็ไม่ได้คิดจะผลักไส น่าแปลกที่เขารู้สึกเห็นใจและเวทนาเธอเป็นอันมาก การจากไปของรวิกรไม่ได้สร้างความสะใจอะไรให้เขาเลยสักนิด ลึกๆ เขาก็คิดว่ารวิกรทำไปเพราะอยากได้เงินไปใช้หนี้ และเมื่อผีพนันเข้าสิง ก็เลยหวนกลับไปเล่นใหม่เพื่อจะเอาของที่เสียไปกลับคืนมาก็แค่นั้นเอง
ดีไม่ดีรวิกรคิดว่าเล่นแล้วได้เงินมา จะเอาเงินมาคืนเขาเสียด้วยซ้ำ
“รวิขอโทษค่ะ” เธอกอดเขาจนหนำใจ ร้องไห้จนหนำใจ ก่อนจะผละออกห่าง ปาดน้ำตาทิ้งและสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ลึกๆ ก่อนจะพูดประโยคสั่นๆ อย่างกล้ำกลืน
“รวิจะพยายามทำงานใช้หนี้เฮียทุกทางค่ะ”
“พอเถอะ” ประโยคของเขามาพร้อมกับอ้อมแขนแกร่ง เธอไม่คิดว่าเขาจะกอดเธอแบบนี้ จากที่อึ้งก็กลายเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
เธอกอดรัดเขาเต็มอ้อมแขน ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด น่าแปลกที่อ้อมแขนของเขามันช่างอบอุ่นและเป็นที่พึ่งพิงของเธอในยามนี้ หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอที่สั่นไหวกลับอุ่นซ่านอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ
“หิวไหม” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ทำให้เธอถึงกับถอนสะอื้น เขากดให้เธอนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
เด็กสาวส่ายหน้าไปมาเพื่อบอกเขาว่าไม่หิว แต่ท้องเจ้ากรรมดันร้องออกมาเสียอย่างนั้น มันทำให้เขามองเธอด้วยสายตาดุๆ
“เด็กเลี้ยงแกะ” เขาดุเธออีก ทำเอารวิดาต้องก้มงุดกัดปากตัวเองในทันที ร่างกายของเธอประท้วงว่าหิว แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกหิวเลยสักนิดเดียว
“ลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่า เดี๋ยวจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
น้ำเสียงของเขาแม้จะดุพอสมควร แต่มันก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างสุดซึ้ง ทำให้เธอมีแรงกายแรงใจที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ รวิดาก็ได้พบอาหารมื้อแรกในรอบหลายวัน น่าแปลกที่เธอไม่หิวเลยแม้อาหารตรงหน้าจะหอมกรุ่นเพียงใด
เธอรู้สึกขมคอไปหมด เมื่อตักอาหารรับประทาน เพราะไม่รู้สึกหิวเลยจริงๆ
“กินอีกสิ” ประโยคของถิ่นทำให้เธอต้องเงยหน้ามอง เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเขี่ยข้าวไปมาอยู่นานสองนาน
“ขอโทษค่ะที่เผลอทำแบบนี้ต่อหน้าเฮีย แต่รวิไม่หิวจริงๆ ค่ะ”