โจวเฉินได้แต่มองดูบุตรสาวด้วยสีหน้าแววตาปวดใจ หากไม่เพราะตนเองมาล้มป่วย มีหรือที่เขาจะยอมให้บุตรสาวต้องเข้าไปในเมืองตามลำพังเช่นนี้
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนในขณะที่เขาเข้าป่าล่าสัตว์ก็ได้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกเขา จนทำให้ขาหัก ในตอนนั้นคิดว่าชีวิตนี้คงต้องจบสิ้นแล้ว เขาที่ถือเป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่อไม่สามารถเดินเหินหรือช่วยเหลือตนเองก็ไม่ได้เช่นนี้ ชีวิตของคนในครอบครัวเขาที่เหลือเล่า…
ในตอนที่เขาสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด…บุตรสาวอย่างโจวลี่หลิน เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบิดามิได้กลับเข้ามาในบ้านหลายวัน จึงออกตามหา และพบเข้ากับร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่ใต้หุบเขา สิ่งที่เขาไม่อยากจะเชื่อได้เลยคือ บุตรสาวตัวเล็กในวันวาน ที่ดูอ่อนแอ จะสามารถลากเขากลับมายังกระท่อม และดูแลรักษาอาการบาดเจ็บให้กับตน จนตอนนี้แทบจะกลับมาเดินเหินได้เป็นปกติแล้ว แต่เพราะโจวลี่หลินเอ่ยกำชับเอาไว้ว่า จะต้องใช้ระยะเวลาเพื่อให้กระดูกสมานกันอีกสักเล็กน้อย ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าบุตรสาวของเขาจะทราบวิธีการต่อกระดูกเช่นนี้ได้ หากไม่ได้เห็นกับตา แม้แต่ตัวเขาเอง ก็ยังยากจะเชื่อ นางได้กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว หาเลี้ยงทุกคนไปโดยปริยาย บางวันต้องอดมื้อกินมื้อ แต่ก็ไม่เคยมีแม้สักครั้งที่เขาจะได้เห็นแววตาแห่งความท้อแท้จากนาง
"ท่านพ่อนอนพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ เพียงเวลาอีกไม่กี่เดือน ท่านก็จะสามารถกลับมาเดินเหินได้ปกติ อย่าได้ฝืนตนเองไปมากกว่านี้ หาไม่แล้วขาของท่านจะไม่สามารถกลับมาใช้งานได้อีกเข้าใจหรือไม่"
"ดูแลตนเองให้ดี หากพบเจอเรื่องอันตรายใด จงรีบเอาตนเองออกมาเสีย อย่าได้เข้าไปพบเจอกับเหตุการณ์อันตรายใดๆเป็นอันขาด" โจวลี่ฉุนผู้เป็นย่าเอ่ยกับหลานสาวด้วยน้ำเสียงแห่งความห่วงใย ถึงแม้นางจะนอนป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และเป็นอีกภาระหนึ่งที่โจวลี่หลินต้องดูแล แต่ความห่วงใยที่จริงใจนี้ หญิงสาวก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
"ท่านย่าวางใจเถิด ข้าจะต้องสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยเหมือนทุกครั้ง" หญิงสาวระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน ไปให้กับทุกคนภายในกระท่อม ก่อนที่จะหันไปเอ่ยกำชับกับโจวฮุ่ยเหอผู้เป็นน้องชาย
"เสี่ยวเหอเจ้าต้องดูแลท่านพ่อกับท่านย่าให้ดี ข้าได้เผาหัวมันเอาไว้แล้ว อย่าลืมนำมาให้พวกท่านกินในตอนสายเข้าใจหรือไม่"
เพราะนี่เป็นช่วงฤดูหนาวจึงไม่มีอาหารให้สามารถเลือกได้มากมายนัก อีกทั้งนางเองก็ไม่ได้มีความสามารถในการล่าสัตว์เก่งเหมือนบิดา จะมีบางครั้งที่นางนำหน้าไม้คู่ใจออกไปเสี่ยงโชค เผื่อจะมีสัตว์โชคร้ายหลงเข้ามา ให้พวกนางได้อิ่มท้องบ้างเป็นบางครา แต่ส่วนใหญ่แล้วอาหารที่ทำให้พวกนางสามารถผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้ ก็มีเพียงหัวมัน ที่ขุดได้ตามแนวป่าเพียงเท่านั้น
โจวลี่หลินค่อยๆสะพายตะกร้าสมุนไพรที่เก็บได้จากการเข้าป่า เพื่อที่จะนำออกไปขายในตัวเมือง เพื่อนำมาแลกเป็นเงิน ให้ได้ซื้ออาหารมาประทังชีวิตตามปกติ ก็ค่อยๆปิดประตูกระท่อม พร้อมทั้งมองดูพายุหิมะที่กำลังถล่มลงมา หากเลือกได้นางก็ไม่อยากออกไปในสภาพอากาศเช่นนี้จริงๆ แต่เพราะตอนนี้ หัวมันหัวสุดท้ายที่นางสามารถหามาได้หมดไปแล้ว หากยังไม่ทำสิ่งใดเกรงว่าทั้งครอบครัวคงจะอดตายแล้วจริงๆ
"โจวลี่หลินเจ้าต้องทำได้ น่าเสียดายนักเสื้อกันหนาวตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายแล้ว หากไม่ยกเสื้อกันหนาวตัวนั้นให้กับชายแปลกหน้าไป ข้าคงไม่ต้องรู้สึกหนาวถึงเพียงนี้"
นางค่อยๆก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าอย่างช้าๆ จนใช้เวลาเกือบสองชั่วยาม กว่าจะเดินทางเข้ามาถึงในตัวเมือง ซึ่งตอนนี้พายุหิมะตกหนัก ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากเท่าใดนัก นางตรงไปยังทิศทางของร้านขายยาที่เคยทำการค้าร่วมกันประจำ แต่ก่อนที่จะเดินทางไปถึงยังร้านค้าแห่งนั้น ก็ได้พบเหตุการณ์บางอย่างเสียก่อน
"ระวัง!!!..."
โจวลี่หลินตะโกนออกไปจนสุดเสียง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ ได้มีม้าพยศตัวหนึ่งวิ่งห้อตะบึงไปเบื้องหน้า ในเส้นทางที่หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ โจวลี่หลินรีบกระโจนเข้าไปคว้าร่างของสตรีผู้นั้น เพื่อหลบทิศทางของม้าที่กำลังห้อตะบึงมาด้วยความเร็วได้อย่างหวุดหวิด ทำให้ร่างของทั้งสองล้มคะมำกระแทกพื้นหิมะ แต่ก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดเท่าใดนัก เมื่อโจวลี่หลินตั้งหลักได้ จึงได้ค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยถามสตรีผู้นั้นด้วยความเป็นห่วง
"แม่นางเป็นอันใดหรือไม่"
สตรีผู้เคราะห์ร้ายกำลังจะเอ่ยตอบนาง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นแหงนหน้าขึ้นมา พบเข้ากับดวงหน้าของโจวลี่หลิน นางก็ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างชัดเจน
"น้องหญิงรอง…!!!"
"ท่านเรียกใครหรือเจ้าคะ" โจวลี่หลินกล่าวถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เพราะเห็นว่าตอนนี้สตรีแปลกหน้าจ้องมองมาที่ตนด้วยความตกตะลึง คล้ายกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น
"ในที่สุดเจ้าก็กลับมา"
สตรีแปลกหน้าพุ่งตรงเข้ามาสวมกอดร่างของโจวลี่หลิน พร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา เสียงสะอื้นไห้จนตัวโยนทำให้โจวลี่หลินไม่สามารถขยับกายได้ ด้วยยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
"ท่านกำลังกล่าวสิ่งใด แม่นางจำคนผิดหรือไม่"
"เหตุใดเจ้าต้องทำเหมือนกับจำข้าไม่ได้ ยังโกรธที่ท่านแม่บังคับให้เจ้าแต่งงานกับปีศาจตนนั้นใช่หรือไม่"
โจวลี่หลินได้แต่นิ่งฟังอีกฝ่ายกล่าวออกมา นางไม่เข้าใจจริงๆ สตรีผู้นี้ตกใจจนสติวิปลาสไปแล้วหรือ
"ต้องขออภัยแม่นางด้วย ข้าคงไม่ใช่ผู้ที่ท่านกำลังกล่าวถึง หากว่าเจ้าไม่เป็นอันใดมาก ข้าคงต้องขอตัวแล้ว"
"ไม่ได้ เจ้าจะไปไม่ได้ ข้าไม่ยอมให้เจ้าหนีไปอีกเป็นอันขาด"
สตรีผู้นั้นคว้าข้อมือของโจวลี่หลินเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถึงแม้นว่านางจะพยายามสลัดออกเพียงใดก็ไม่เป็นผล
"เกรงว่าแม่นางคงจะจำคนผิดแล้ว ข้ามีนามว่า 'โจวลี่หลิน' เป็นเพียงสาวชาวป่าและข้ามั่นใจมากว่าพวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแน่"
"พวกเจ้าไปไหนกันหมดแล้ว รีบมาจับคุณหนูรองเอาไว้ก่อนที่นางจะหนีไปอีกเร็วเข้า"
เมื่อโจวลี่หลินหันไป ก็พบเข้ากับกลุ่มคนมากมาย ที่ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด รีบมาคว้าตัวนางเอาไว้ตามคำสั่งของสตรีแปลกหน้าผู้นั้น หญิงสาวได้แต่พยายามดิ้นรน เพื่อให้หลุดออกจากการจับกุม แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย
"แม่นางท่านปฏิบัติกับผู้มีพระคุณของตนเองเช่นนี้หรือ ข้าก็ได้บอกไปแล้วว่าตนเองหาใช่คนที่แม่นางกำลังกล่าวถึง"
"น้องหญิงรองถึงอย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าหนีไปอีก ท่านแม่จะต้องดีใจมากเป็นแน่ที่ได้พบเจ้า"
หญิงสาวแปลกหน้าผู้นั้นเข้ามาโอบกอดโจวลี่หลินเอาไว้อีกครั้ง จากใบหน้าที่ดูดีอกดีใจกลายเป็นยกยิ้มอย่างน่ากลัว นางหันไปกระซิบบางอย่างบอกกับโจวลี่หลิน เพื่อให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน "ต่อให้เจ้ามีปีก ครั้งนี้ก็ไม่สามารถหนีพ้น ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องตกแต่งให้กับเจ้าปีศาจตนนั้นแทนข้า"
เมื่อได้ยินดังนั้นโจวลี่หลินถึงกับคิ้วกระตุก นางทอดมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ 'นี่มันเรื่องบ้าอันใดกันอีกนะ'
ในขณะที่โจวลี่หลินกำลังก่นด่าสวรรค์ ว่ากำลังเพิ่มบททดสอบอันใดให้กับชีวิตนี้ของนางอีกหรือ ทันใดนั้นเสียงคมเข้มของบุรุษผู้หนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา เรียกความสนใจของนางไปที่เขา
"ฮุ่ยเอ๋อร์ นั่นใช่เจ้าจริงๆหรือ"
"พี่ชายรองท่านดูสิ นี่คือน้องหญิงรองไม่ผิดแน่"
บุรุษแปลกหน้าร่างกายกำยำใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม คิ้วรูปกระบี่จมูกเป็นสัน ดวงตาเฉียงขึ้นรับกับหน้าผาก ริมฝีปากหนาได้รูป หยุดยืนยังเบื้องหน้าของนาง พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของโจวลี่หลินอย่างพิจารณา
"ฮุ่ยเอ๋อร์ของข้าจริงๆด้วย ถึงแม้จะดูซูบผอมไปบ้าง แต่ใบหน้าเช่นนี้จะยังเป็นผู้ใดได้อีก"
จางฟู่หรงสวมกอดโจวลี่หลิน โดยที่นางไม่ทันจะได้ตั้งตัว หญิงสาวรับรู้ถึงร่างของบุรุษผู้นี้กำลังสั่นเทา แต่นางกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่จริงใจ แตกต่างกันกับสตรีเมื่อสักครู่นี้อย่างสิ้นเชิง
"ท่านปล่อยก่อน ข้าหายใจไม่ออก" เมื่อถูกอีกฝ่ายกอดรัดจนเริ่มหายใจไม่ได้ นางก็รีบเอ่ยบอกเขา เมื่อคิดว่าตนเองเริ่มจะขาดอากาศหายใจ จางฟู่หรงเมื่อตั้งสติได้ ก็รีบคลายอ้อมกอดออก พร้อมกับสัมผัสไปที่ดวงหน้าของนาง ดวงตาทั้งสองข้างเอาแต่กวาดมองทั่วทั้งดวงหน้านั้นอย่างคะนึงหา
"ดูเหมือนว่าพวกท่านคงจะจำคนผิดแล้ว ข้ามีนามว่าโจวลี่หลิน หาใช่บุคคลที่พวกท่านกำลังกล่าวถึงแต่อย่างใด"
เมื่อสบโอกาส นางก็ไม่รอช้ารีบบอกถึงสถานะของตนเองออกไป ตอนนี้นางเสียเวลามากแล้ว กว่าจะเดินทางกลับไป ก็ใช้เวลาหลายชั่วยาม กลัวว่าจะมืดค่ำเสียก่อน
แต่ดูเหมือนว่าบุคคลเหล่านี้จะไม่สนใจถึงคำกล่าวปฏิเสธของนางเอาเสียเลย พวกเขาเอาแต่ยืนยันว่านางคือบุคคลที่ตนเองกำลังตามหา โจวลี่หลินก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะพวกเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระโดยง่ายเช่นกัน
เมื่อคิดว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกจากคนพวกนี้ได้โดยง่าย นางจึงได้ยอมเล่นไปตามน้ำและบอกกับพวกเขาไปว่าตนเองไม่สามารถจำเรื่องราวแต่หนหลังได้ และตอนนี้มีผู้คนที่ต้องดูแลอีกถึงสามชีวิตรอนางอยู่ พร้อมกับชี้ไปที่ตะกร้าสมุนไพรที่ตนเองได้แบกมาด้วยความยากลำบาก จางฟู่หรงที่เห็นว่าน้องสาวที่หายสาบสูญไปของตนเองมีชีวิตเป็นเช่นใดก็ได้แต่ดวงตาแดงก่ำ
"ข้าไม่คิดเลยว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เจ้าจะมีชีวิตที่ลำบากเช่นนี้"
จางฟู่หรงคว้ามือที่หยาบกร้าน ซึ่งบ่งบอกว่าผ่านความยากลำบากมามากเพียงใดของนาง ขึ้นมาลูบไล้สัมผัส ดวงตาของเขายิ่งแดงก่ำขึ้น หัวใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หากไม่เพราะเขาไร้ความสามารถ ที่ไม่สามารถปกป้องนางได้ จากคนเห็นแก่ตัวพวกนั้น มีหรือที่นางจะต้องหนีไป จนได้ไปตกระกำลำบากเช่นนี้ น้องสาวที่เขาเฝ้าหวงแหนดูแลเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่านิ้วมือทั้งสองข้างของนางเต็มไปด้วยความหยาบกร้าน ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ เขาคว้าร่างบางของนางเข้ามาแนบอกพร้อมทั้งกระซิบบอกกับนางด้วยน้ำเสียงที่ดูหนักแน่นจริงจัง
"ฮุ่ยเอ๋อร์ พี่จะดูแลเจ้าเอง ต่อจากนี้จะไม่ให้คนพวกนั้นสามารถมารังแกเจ้าได้อีกแล้ว หากเจ้าไม่อยากแต่งให้กับปีศาจตนนั้น พี่ก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าเป็นอิสระ"
โจวลี่หลินที่ยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ ก็ได้แต่พยักหน้ารับคำกล่าวของอีกฝ่าย เพื่อที่จะทำให้ตนเองได้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันยากลำบากนี้เสียที นางรู้สึกเหนื่อยจะอธิบายกับคนพวกนี้เหลือเกิน