Chapter 6 แข้งขาอ่อนแรง
ตับ! ตับ! ตับ!
“ไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ไหวแล้ว อื้อ....อาห์!”
นางหวีดร้องเสียงสั่นก่อนที่ร่างบางจะเกร็งกระตุกจนตัวงอ ปลายเล็บจิกลงบนแผ่นหลังของเขาเอาไว้แน่น ในขณะที่เอวสอบกระแทกกระทุ้งแล้วกดแช่เพื่อปลดปล่อยสายน้ำแห่งชาติพันธุ์เข้าไปในร่างกายของนาง
“อาห์”
เส้าเหิงครางเสียงพร่าแช่ท่อนเอ็นเอาไว้ในรูสวาทแน่นิ่ง รับรู้ได้ถึงแรงตอดรัดบีบแน่นจากรูสวาทจนทำให้เขาถึงกับกัดฟันข่มความเสียว กระทั่งแรงตอดค่อยๆ ผ่อนคลายฉายชัดว่านางสุขสมจนถึงปลายฝัน เขาจึงค่อยๆ ชักลำเอ็นออกอย่างช้าๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างนาง
ขณะที่จูซ่านลี่ห่อตัวสั่นเทิ้มด้วยความเสียวที่ยังคงกัดกินจนหายใจติดขัด ราวกับร่างกายได้ผ่อนคลายจนทำให้รู้สึกสบายตัวคล้ายนอนอยู่บนปุยเมฆ ดวงตากลมโตจึงค่อยๆ ปรือต่ำก่อนที่ผล็อยหลับไปในที่สุด
เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอทำให้คนตัวโตค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นแล้วทิ้งตัวนอนตะแคง ใช้แขนข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้ ดวงตาคมมองสำรวจไปตามเนื้อตัวนุ่มนิ่มของหญิงสาวจากเมืองหลวง
นางแตกต่างจากหญิงสาวบนเกาะหมิงหนวนที่มีสีผิวค่อนไปทางเข้มด้วยแสงแดดและไอทะเล ผิวของนางขาวละเอียดราวกับปุยหิมะ ริมฝีปากอวบอิ่มน่าสัมผัส นวลแก้มผุดผาดราวกับเด็กแรกเกิด แพขนตางามงอนชดช้อย นางงดงามไร้ที่ติจนเขาแทบลืมหายใจ
“งดงามแต่ก็บอบบาง”
เขาพึมพำออกมาแผ่วเบาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างใช้ความคิด หญิงสาวตรงหน้ากำลังทำให้หัวใจของเขาว้าวุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางควรเป็นภรรยาที่คอยดูแลบ้านเรือน ปรนนิบัตรให้ความสุขบนเตียง และอุ้มท้องให้กำเนิดทายาทคนแรกของสกุลหลิว นางไม่ควรมีความหมายอื่นใดต่อเขามากไปกว่านั้น...
ทว่าหัวใจดวงโตกลับเต้นสะดุดครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดนาง
“เจ้ากำลังทำให้ข้ายุ่งยากใจ”
ดวงตาคมยังคงทอดมองเจ้าของแพขนตางอนไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเนิ่นนานแค่ไหนที่เขาเอาแต่นอนจ้องมองเจ้าสาวเช่นนั้น จนกระทั่งเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปรือขึ้นด้วยความหนักอึ้ง ปวดมึนที่ศีรษะราวกับคนเพิ่งสร่างเมาก็ไม่ปาน สายตาปรับเข้ากับความสลัวของพระอาทิตย์ที่ยังไม่โผล่พ้นจากผืนดิน
เช้าแล้ว...
นี่ข้าอยู่ที่ไหนกัน...
ดวงตาคู่สวยมองม่านสีแดงที่ประดับเสาเตียงแล้วถึงกับขมวดคิ้วมุ่น แล้วภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ไหลวนเข้ามาในห้วงแห่งความทรงจำ มันค่อยๆ ฉายชัดโดยเฉพาะทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องหอ
ราวกับตำราเล่มหนาถูกกางออกอย่างรวดเร็ว ทุกท่วงท่า ทุกลีลารัก วิ่งวนอยู่ในห้วงความทรงจำราวกับจะตอกย้ำว่านางได้ตกเป็นของเส้าเหิงเสียแล้ว
หญิงสาวเหลือบมองข้างกายช้าๆ ได้แต่หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นแค่เพียงความฝัน ทว่าชายตัวโตราวกับพวกเผ่าพันธุ์อสูรกลับหลับใหลเปลือยเปล่าอยู่ข้างๆ กายนาง แม้จะมีผ้าห่มแพรสีแดงปิดบังส่วนแกนกลางกายของเขาเอาไว้ ทว่านางกลับจำได้ดีว่าส่วนที่ถูกซ่อนเร้นจากสายตามีลักษณะและรสสัมผัสเช่นไร
แค่คิดใบหน้าก็แดงระเรื่อราวกับผลท้อในฤดูหนาว จังหวะที่นางกำลังจะหยัดกายลุกขึ้นคนตัวโตก็ขยับตัวพอดี จูซ่านลี่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงแสร้งหลับตาลงดังเดิม
แล้วจู่ๆ แขนใหญ่หนักก็พาดทับลงมาที่ลำตัวของนาง เป็นเหตุให้หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงระรัว ใบหน้าของเขาแนบชิดจนปลายจมูกเฉียดแก้มของนางไปไม่ถึงหนึ่งชุ่น รับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนสม่ำเสมอที่เป่ารดใบหน้าของนางอยู่ในขณะนี้
ตึก! ตึก! ตึก!
‘ข้าไม่ควรหวั่นไหว ไม่ควรเด็ดขาด’
ซ่านลี่บอกตนเองซ้ำๆ ก่อนจะค่อยๆ จับแขนของเขาออกจากเรือนร่างของนาง จากนั้นจึงย่องลงจากเตียงด้วยสภาพเปลือยเปล่า
นางจึงหันไปดึงผ้าห่มแพรบนเตียงหมายจะพันกาย ทว่ากลับทำให้เส้าเหิงเป็นฝ่ายโป้เปลือยไร้อาภรณ์ใดๆ ปิดกั้น
‘บ้าจริง!’
นางรีบเบือนหน้าหนีหนอนยักษ์ที่กำลังหลับใหลอยู่กลางหว่างขาของเขาทันที แล้วจึงรีบก้มเก็บเสื้อผ้าที่ตกเกลื่อนพื้น พบว่ามันขาดวิ่นไม่สามารถนำกลับมาใส่ได้อีกแล้ว นางจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่อีกฟากของห้อง ทว่าจังหวะนั้นนางกลับเดินสะดุดขาตนเองเข้าอย่างจัง
“ว้าย!”
ซ่านลี่หลับตาปี๋คิดว่าตัวเองคงล้มกระแทกพื้นอย่างแรงเป็นแน่ ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อมีแขนใหญ่ยื่นเข้ามารับร่างบางได้อย่างทันท่วงที
นางค่อยๆ ลืมตาแล้วก็พบว่าตนเองตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดโป๊เปลือยของผู้เป็นสามี
“ขะ...ขอบคุณ”
นางเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ ก่อนจะขยับตัวออกจากอ้อมกอด ซ่านลี่อับอายจนไม่รู้จะวางหน้าอย่างไรจึงรีบก้มหน้างุดๆ หมายจะรีบไปหยิบเสื้อผ้าที่ตู้ให้เร็วที่สุด ทว่าครานี้นางกลับสะดุดชายผ้าห่มแพรจนล้มลงไปอีกรอบ
“ว้าย!”
หลิวเส้าเหิงสาวเท้าเข้าไปหาซ่านลี่ที่ล้มไม่เป็นท่าอยู่กลางห้อง มือสากจับที่ข้อเท้าของนางแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบคาดเดาไม่ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร
“เจ้าอ่อนเพลียหรือ”
“ปะ...เปล่า”
หญิงสาวรีบปฏิเสธออกไปทันที ด้วยรู้ดีว่าเขากำลังหมายถึงสิ่งใด
“เมื่อคืนข้ารุนแรงกับเจ้าไปหรือเปล่า”
“...”
คราวนี้ซ่านลี่ไม่ตอบ ทว่าใบหน้าที่ก้มงุดกลับแดงก่ำไปถึงใบหู ทำให้คนตัวโตที่จับจ้องไม่วางตาถึงกับผุดยิ้มที่มุมปาก รู้สึกเอ็นดูนางขึ้นมากว่าเจ็ดในสิบส่วนเลยทีเดียว