และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง....
งานแต่งถูกจัดขึ้นที่โรงแรมซึ่งก็เป็นหนึ่งในธุรกิจของตระกูลว่าที่เจ้าบ่าวของฉันเองแหละ
ฉันยืนส่องกระจกหันซ้ายหันขวารอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ฉันอยู่ในชุดไทยประยุกต์สีครีมตัดด้วยสไบสีทอง ขับผิวให้แลดูขาวผ่องน่ามองยิ่งขึ้น ทรงผมถูกจัดแต่งเกล้าขึ้นอย่างสวยงามโดยฝีมือของช่างมืออาชีพ
ฉันยังมีอาการตื่นเต้นไม่หาย มือที่กุมกันอยู่เริ่มมีเหงื่อซึมตามซอกนิ้ว ฉันพยายามหายใจเข้าออกให้ผ่อนคลายที่สุด อยากให้งานในวันนี้ออกมาดีไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าไอ้คนที่หวงชีวิตโสดยิ่งกว่าอะไร จะออกเรือนก่อนเพื่อน” ราเรซเดินเข้ามากอดคอว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังทำหน้าบอกบุญมารับ
“กูโดนบังคับ”
“เฮ้ย! พูดแบบนี้ไม่ได้นะโว๊ย เจ้าสาวมึงอ่ะ ลูกพี่ลูกน้องกู มึงต้องดูแลต้นหลิวให้ดี ไม่งั้นมึงเจอกูแน่” โต้งกำชับเพื่อน ถึงจะรู้ว่างานแต่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่ได้เกิดจากความรักของคนทั้งคู่ แต่ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็ไม่ได้ผิดอะไรเช่นกัน เพราะฉะนั้น เพื่อนเลโอควรจะทำตัวดีๆกับเจ้าสาวหน่อย
“เออๆๆ” เลโอตอบแบบขอไปที
เลโอเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนโต้งบอก แต่เขาก็ยังมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่นิ อะไรๆ มันก็กะทันหันไปหมด
“มึงเคลียร์บรรดาสาวๆ หมดยัง อย่าให้มาพังงานนี้นะโว๊ย ไม่งั้นพ่อมึงเอามึงตายแน่” นี่ก็อีกคน มีพ่อขู่คนเดียวยังไม่พอ ยังมีเพื่อนๆ ที่แสนรักตามมาขู่ย้ำอีก
“กูเคลียร์แล้วน่า...”
ก่อนหน้าที่ผมจะเดินออกมารับแขก พ่อกับแม่ก็เข้าไปหาผมในห้องแต่งตัวแล้วบอกเรื่องสุดช็อกให้ฟัง นั่นก็คือ
ผมต้องจดทะเบียนสมรสด้วย ไม่อย่างนั้น พ่อจะตัดผมออกจากกองมรดกและตัดเครดิตผมทุกทางถ้าหากผมไม่ยอมหรือคัดค้าน
ผมไม่มีทางเลือก ถ้าโดนตัดเครดิตจริงๆ ผมจะเอาอะไรกินอะไรใช้ล่ะครับ มันเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถขาดได้จริงๆ จู่ๆจะกลายมาเป็นคนตกยากได้ไง ผมรับสภาพตัวเองแบบนั้นไม่ได้หรอก
“เลโอขา...” ในขณะที่ผมกำลังหัวเสียอยู่นั้น ก็มีคนเรียกชื่อผมเสียงดังลั่นอย่างจงใจ
“ดีดี้” ผมแทบล้มทั้งยืนเมื่อดีดี้ปรากฏตัวในงานแต่งของผม ทั้งที่ผมกำชับเธอแล้ว ว่าห้ามโผล่มาที่งานเด็ดขาด
ดีดี้คือหนึ่งในบรรดาผู้หญิงที่ผมควงอยู่ เธอเป็นนักดารานักแสดงที่กำลังโด่งดังสุดๆ ในเวลานี้ เธอมีใบหน้าที่สวยและหุ่นดีมาก ก็ไม่แปลกที่ผมจะสนใจ แต่เธอก็ไม่ได้สำคัญขนาดที่จะเรียกว่าแฟนได้ เพราะผมไม่ชอบการผูกมัดด้วยสถานะใดๆ พอใจคุยก็คุย ถ้าเบื่อก็แยกย้าย นั้นคือนิสัยของผม
“เราตกลงกันแล้วนิ ดีดี้” ผมเดินเข้ามาจับต้นแขนของดีดี้แล้วลากเธอออกมาจากงาน เพราะแขกคนอื่นๆ กำลังหันมาให้ความสนใจเธอด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ก็ดีดี้คิดถึงเลโอนิ” เมื่อลับตาคน ดีดี้ก็ยกเรียวแขนขึ้นมาคล้องคอผมอย่างออดอ้อน
“กลับไปได้แล้ว” ผมจับมือของเธอออกจากต้นคอ เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็น ไม่งั้นเป็นเรื่องแน่
“ทำไมค่ะ ทำไมต้องไล่ดีดี้ด้วย” ดีดี้ง้อแงเหมือนเด็กและเธอไม่ยอมปล่อยแขนออกจากคอผมด้วย
ในระหว่างที่ผมกำลังพยายามยื้อมือกาวของดีดี้ให้หลุดออกจากคอของผม ก็มีบุคคลที่สามและสี่ปรากฏตัวขึ้นเหมาะเจาะกับสถานการณ์พอดี
“อุ๊ย!!” ต้าหนิงร้องอุทาน
ผมหันไปมองก็เจอกับร่างบางที่อยู่ในชุดไทยประยุกต์สีครีม ซึ่งเข้ากับต้นหลิวเป็นอย่างมาก ทำให้เธอดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาใส่ชุดไทยเลยล่ะ
“โทษที” ต้นหลิวเอ่ยขอโทษ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางโดยที่ไม่สบตาผม
“เดี๋ยวก่อน!!” ดีดี้ยอมปล่อยแขนออกจากคอของผม แล้วขยับตัวไปขวางหน้าต้นหลิวไว้
“มีไร” ต้นหลิวหยุดชะงักแล้วเงยขึ้นมาประจันหน้ากับดีดี้
“เธอสินะ ว่าที่เจ้าสาวของเลโอ”
“ก่อนหน้านี้อาจจะใช่ แต่ตอนนี้คงไม่แล้ว” ผมย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ
ทำไมต้นหลิวถึงพูดแบบนี้?
“เธอหมายความว่าไง” ดีดี้เอ่ยถามทันที เธอก็คงสงสัยไม่ต่างจากผม
“ฉันจะไปยกเลิกงานแต่ง”
“จริงเหรอ เธอพูดจริงเหรอ” ดีดี้ยกยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะหันมาหาผมเพื่อหวังจะกอด แต่ผมหลบเธอได้ทัน
ต้นหลิวหันมามองหน้าผมด้วยแววตาสั่นเครือเหมือนเธอจะร้องไห้ แต่มันก็เพียงแค่แวบเดียว พอเธอกะพริบตาเท่านั้นแหละ แววตาแสนเศร้านั้นก็หายไปพร้อมกับร่างบางที่หันหลังให้แล้วเดินเข้าไปในงานพร้อมกับต้าหนิง
ยกเลิกงานแต่งไม่ได้นะ!!
ผมรีบวิ่งตามต้นหลิวเข้าไปในงานด้วยความร้อนใจ กวาดตาไปทั่วงานและก็เห็นร่างบางกำลังเดินขึ้นบันไดไปบนเวที มือเล็กแย่งไมค์จากพิธีกรที่กำลังพูดบรรยายอยู่บนเวทีโดยไม่สนสีหน้าตกใจของพิธีกรเลยแม้แต่น้อย
“สวัสดีค่ะ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ต้องขอโทษที่ทำให้เสียเวลา แต่ว่างานแต่งวันนี้ คงจะ...อุ๊บ!!”
ผมไม่รอให้ต้นหลิวพูดจบ รีบวิ่งขึ้นไปบนเวทีแล้วผลักไมค์ออกห่างจากริมฝีปากของเธอ จากนั้นก็ปิดเสียงพูดของต้นหลิวด้วยริมฝีปากของผม
ตากลมโตจ้องมองผมอย่างตะลึง ต้นหลิวพยายามเม้มปากแน่นไม่ยอมให้ผมได้สัมผัส ผมจึงรั้งเอวบางเข้ามาชิดตัวพร้อมกับยกมืออีกข้างล็อกท้ายทอยของต้นหลิวไว้เพื่อไม่ให้เธอหลบหนีการจู่โจม
“อืออออ” ต้นหลิวเผลออ้าปากร้องห้าม ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นแทรกเรียวลิ้นผ่านกลีบปากบางเข้าไปตวัดดูดดึงลิ้นเล็กอย่างช่ำชอง กวาดต้อนไปทั่วโพรงปากเล็กเพื่อควานหาความหวาน เม้มดูดดึงริมฝีปากบนล่างสลับกันไปมาอย่างเอาแต่ใจ
คนที่ไม่ประสีประสาเรื่องจูบถึงกลับอ่อนระทวยโรยแรงแทบล้มไปกองกับพื้น ดีที่ยังมีแขนของผมโอบรัดร่างบางเอาไว้อยู่ จึงทำให้ต้นหลิวยังพอทรงตัวได้
ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ชิดกันเกินกว่าเหตุ ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงและพองโต เลโอจูบฉัน... ต่อหน้าคนเยอะๆด้วย นี่ฉันฝันไปใช่ไหม ก่อนจะนึกคิดอะไรไปมากกว่านี้ สายตาของฉันก็เริ่มพร่าเรือน หูเริ่มอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว สติที่มี ค่อยๆเลือนหายไปทีล่ะนิดๆ