“ต้นหลิวๆๆ”
เสียงใครเรียกฉัน? แล้วกลิ่นหอมๆ สารพัดกลิ่นพวกนี้มาจากไหนกัน มันหอมจนตีรวนกันไปหมดแทบอาเจียนออกมาอยู่ล่ะ
“อือออ” ฉันค่อยๆ ปรือตาขึ้นทีล่ะนิดอย่างยากลำบาก เมื่อปรับการมองเห็นของสายตาได้ปกติ ฉันก็เห็นใบหน้าของป๊ากับม๊ามองมาที่ฉันด้วยสายตาเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างลูก” ม๊าเอ่ยถามพร้อมกับค่อยๆ พยุงให้ฉันลุกขึ้นนั่ง ฉันก้มมองดูตัวเองที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องแต่งตัวเมื่อเช้า และยังอยู่ในชุดไทยเหมือนเดิม
“หลิวเป็นอะไรไปค่ะ”
“เป็นลมนะสิ” ป๊าตอบ
ฉันเป็นลมงั้นเหรอ แล้วฉันเป็นลมได้ไง?
ฉันนั่งขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย พยายามนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผมขอคุยกับต้นหลิวได้ไหมครับ”
และพอฉันได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนเอ่ยขึ้น เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ป๊ากับม๊าจึงเดินออกจากห้องไปเหลือแค่ฉันกับเขาแค่สองคน จู่ๆก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก
“ขอโทษนะ ที่ล่วงเกินเธอ”
“มะ ไม่เป็นไร”
“ฉันแค่ต้องการจะหยุดเธอ แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เธอเป็นลมไปได้”
“อะ อ๋อ...” ที่แท้ก็แค่ต้องการหยุดฉันเอง เขาไม่ได้อยากจะจูบฉันจริงๆ สักหน่อย “แล้วทำไมนายถึง...ทำแบบนั้นล่ะ”
“ฉันไม่อยากให้เธอยกเลิกงานแต่ง” ฉันหันขวับมองหน้าเขาด้วยความตกใจ ก็ไหนไม่อยากแต่ง แล้วทำไมถึงขัดขวางการยกเลิกของฉันด้วย
“ถ้างานวันนี้ล่ม ฉันจะโดนพ่อตัดออกจากกองมรดกและตัดเครดิตของฉันทุกๆ อย่าง ซึ่งฉันปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้”
ที่แท้ก็แค่นี้เองเหรอ นี่ฉันแอบหวังอะไรอยู่เนี่ย เห้อ...
“นายทำแบบนี้ แฟนนายไม่โกรธแย่เหรอ” แล้วฉันก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาได้
“ฉันไม่มีแฟน”
“แล้วพูดหญิงที่ยืนจูบกับนายตรงทางเดินล่ะ”
“จะบ้าเหรอ ดีดี้ไม่ใช่แฟนฉัน และอีกอย่าง ฉันไม่ได้จูบกับยัยนั้นซะหน่อย” เลโอหันมาตอบด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“งั้นก็คงเป็นผู้หญิงในสต๊อกของนายสินะ”
“นี่...เธอ แอบสืบเรื่องของฉันเหรอ” แล้วฉันก็โดนสายตาจับผิดจากเลโอ
“เปล่า... แค่เดาน่ะ” ฉันเซลูกตาไปมองทางอื่นอย่างซ่อนพิรุธ
“แล้วนี่... เธอดีขึ้นหรือยัง”
“ฉันดีขึ้นแล้วล่ะ”
“งั้นก็ออกไปได้แล้ว” เลโอลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะยื่นมือส่งมาให้ฉันจับเพื่อเป็นหลักให้ยืนขึ้นได้
และแล้วงานแต่งก็ดำเนินต่อไปจนเสร็จเรียบร้อยตามประเพณีทุกอย่างปราศจากอุปสรรคใดๆ ฉันแอบกังวลนิดหน่อย นึกว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาพังงานซะแล้ว หลังจากที่เจอเธอคนนั้นที่ทางเดิน ฉันก็ไม่เห็นเธออีกเลย ไม่รู้ว่าเลโอเอาเธอไปซ่อนไว้ที่ไหน
และก็ถึงเวลาสำคัญของคู่บ่าวสาว นั่นก็คือ การส่งตัวเข้าหอ
ห้องหอของคู่บ่าวสาวอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องสูทสุดหรูแห่งนี้ ต้นหลิวก็รับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้องที่เย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าใครเปิดแอร์ทิ้งไว้ซะเย็นเยือกขนาดนี้
ภายในห้องนี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากเตียงนอนขนาดคิงไซร์ที่ถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสดบนผ้าปูเตียงสีขาว บนหัวเตียงมีเทียนหอมถูกจุดไฟไว้เพื่อสร้างบรรยากาศให้แก่คู่บ่าวสาว
ฉันเดินไปนั่งลงบนเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกลีบกุหลาบขึ้นมาหอมให้ชื่นใจสักหน่อย วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันล่ะ พอได้เจอดอกไม้แบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย
“ใครเปิดแอร์เย็นขนาดนี้ว่ะ” เลโอบ่น ก่อนจะเดินไปหยิบรีโมทแอร์เพื่อเพิ่มอุณหภูมิขึ้น “กะจะแช่แข็งกันรึไง”
แกร๊ก!!
เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับบุคคลสำคัญสำหรับฉันและเลโอ นั่นก็คือ พ่อแม่ของพวกเราและเพื่อนๆ ของเขาด้วย
“แม่คงเหงาน่าดูเลย ไม่มีหนูคอยกวนใจอีกแล้ว” ม๊าเดินมานั่งที่เตียงข้างฉันก่อนจะดึงฉันเข้าไปสวมกอดด้วยความอบอุ่น
“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก อย่าเอาแต่ใจให้มันมาก เดี๋ยวสามีจะเบื่อเอาได้” ป๊าเดินเข้ามาโน้มตัวกอดฉันอีกคน
“หนูคงคิดถึงป๊าม๊าแย่เลย” ฉันสวมกอดม๊าน้ำตาคลอ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันไม่เคยห่างครอบครัวเลยสักครั้ง รู้สึกใจหายยังไงก็ไม่รู้
“ฝากลูกสาวพ่อด้วยนะ เลโอ” พ่อหันไปบอกกับร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเพื่อนเขา
“ครับ”
เมื่อป๊ากับม๊าพูดคุยกับฉันเสร็จท่านก็ขยับออกไปยืนอยู่ข้างเตียง จากนั้นพ่อแม่ของเลโอก็เดินมายืนแทนที่ป๊ากับม๊า
“มานั่งข้างเจ้าสาวสิ” พ่อของเลโอบอกลูกชาย ซึ่งเจ้าตัวก็แอบถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินมานั่งลงข้างฉัน
“ดูแลภรรยาของแกให้ดีๆ อย่าให้ลูกสะใภ้ของฉันต้องมีน้ำตาเด็ดขาด ไม่งั้นแก...”
“ถูกตัดออกจากกองมรดกแน่” เลโอพูดแทรกขึ้นอย่ารู้ทันพ่อของตัวเอง “ผมรู้แล้วน่า...พ่อ”
“ดี แล้วแกก็ทำให้ได้ด้วย” พ่อของเลโอกำชับลูกชายอีกครั้งก่อนจะหันมาหาฉัน
“มีหลานตัวน้อยๆ ให้พ่อเร็วๆนะ ต้นหลิว” ฉันไม่กล้ารับปาก ทำได้แค่ยิ้มบางๆ ให้แก่ท่าน
“แม่ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขมากๆนะ และอย่าลืมผลิตหลานตัวน้อยให้แม่ด้วยล่ะ” แม่ของเลโอบอกก่อนจะเข้ามาสวมกอดฉัน
“ย้ำกันจังเลยนะ เรื่องหลานเนี่ย” เลโอบ่น
“ถ้าแกทำไม่ได้ แสดงว่าแกมันไร้น้ำยา” แล้วเลโอก็โดนพ่อของตัวเองสบประมาทเข้าให้
“เอาล่ะๆ เราออกไปกันเถอะ ให้พวกเด็กๆ ได้คุยกันสักหน่อย” แล้วแม่ของเลโอก็เป็นผู้ห้ามสงครามระหว่างพ่อลูก
“ไงมึง อย่ารุนแรงมากนะโว๊ย เจ้าสาวยิ่งตัวเล็กๆอยู่ด้วย” ราเรซบอกเพื่อน
“มึงก็ไม่เคยเบามือกับต้าหนิงเหมือนกันแหละ จริงไหมจ๊ะ ต้าหนิง” เลโอหันไปแซว ทำให้ต้าหนิงถึงกลับอายม้วนเลยทีเดียว
“อย่าเยอะ! พวกมึง” โต้งเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ก็โต้งน่ะ หวงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรซะอีก ฉันเองก็ไม่คาดคิดว่า เขาต้องมาพลาดท่าเสียน้องสาวให้กับเพื่อนรักไปซะได้
“นี่ก็หวงอยู่นั่นแหละ อวยพรคู่บ่าวสาวเถอะ พวกเขาจะได้พักผ่อน” พี่มิรินดุโต้ง และนั้นก็ทำให้โต้งหันมาให้ความสนใจฉันแทนน้องสาวกับเพื่อนรัก
“ทนๆมันหน่อยก็แล้วกันนะ แต่ถ้าไม่ไหว ก็บอกโต้ง เดี๋ยวโต้งกระทืบมันเอง”
“นั่นคือ มึงอวยพรแล้วงั้นเหรอ” เลโอถามโต้ง
“เออ!”
“ขอบใจนะ โต้ง” อย่างน้อยๆ โต้งก็ทำให้ฉันรู้ว่า ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ฉันยังมีญาติพี่น้องที่รักและคอยเป็นห่วงฉันอยู่
“ต้าคงเหงาแย่เลย ไม่มีพี่หลิวนอนกอดด้วยแล้ว”
“เดี๋ยวพี่นอนกอดต้าเอง” แล้วก็เข้าทางราเรซจนได้
“ไปไกลๆ ตีนกูไป ไอ้เรซ” ฉันอดขำให้กับอาการหวงน้องของโต้งไม่ได้จริงๆ และพอโต้งดุราเรซ โต้งก็จะโดนพี่มิรินดุต่ออีก เห็นแล้วก็แอบอิจฉาเหมือนกันแฮะ ไม่รู้ว่าฉันจะมีโมเม้นแบบนี้บ้างหรือเปล่า
“ขอให้พี่ต้นหลิวมีความสุขมากๆ นะคะ” แก้มใสเดินเข้ามาจับมือฉันพร้อมรอยยิ้มแสนสดใส
“นิสัยชั่วๆ ก็เลิกได้แล้วนะมึง อย่ากะล่อนให้มันมาก” บิ๊กไบค์บอกเลโอ
“บอกกูเนี่ย มึงเลิกได้ยัง” แล้วบิ๊กไบค์ก็โดนเลโอสวนกลับพร้อมยกยิ้มกวนๆให้เพื่อน
“กูเลิกแล้ว” บิ๊กไบค์ก็รีบตอบทันควันพร้อมกับหันไปโอบกอดสาวน้อยข้างกายอย่างรักใคร่
“เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเถอะ ให้คู่บ่าวสาวเขาได้สวีทกันหน่อย” ราเรซเอ่ยขึ้น แล้วทุกคนก็ทยอยเดินออกจากห้องไปจนหมด