เพราะคิดจะตัดผมตัดเผ้า ตัดทุกอย่างไม่ให้เหลือตอ เจ้าอรุณเลยพาเดวีกลับมาที่ห้อง แต่จะให้เดินโทงๆ เปลือยเปล่าล่อนจ้อนก็ไม่ได้ จะไปขอยืมเสื้อผ้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ใช้ใส่เปลี่ยนตอนกลับบ้านใช่เรื่อง เผลอๆ จะถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ มากกว่าเดิม เขาเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับใครอยู่แล้ว จะให้ไปขอความช่วยเหลือมันก็รู้สึกประดักประเดิด สุดท้ายก็ถอดเสื้อกาวน์ของตัวเองให้เดวีใส่
เดวีใส่แล้วก็ขัดหูขัดตา ถึงจะไม่เห็นเถาวัลย์กลางลำตัว แต่ด้วยเนื้อผ้าสีขาวและค่อนข้างบางก็ยังทำให้เห็นเป็นรูปร่างอยู่ดี เจ้าอรุณพยายามจะไม่สนใจบางสิ่งที่ห้อยต่องแต่ง รีบพาอีกฝ่ายกลับมายังที่พักด้วยการออกทางประตูด้านหลังโดยไม่ให้ใครผิดสังเกต ส่วนเรื่องทิ้งงานกะทันหัน เขาแก้ตัวให้ตัวเองได้ว่ากลับไปค้นข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่อพาร์ตเม้นต์อะไรเทือกนั้น รับรองได้ว่าไม่มีใครกล้าต่อว่าเขาแน่
ก็มีคนกล้าตำหนิเขาเพียงคนเดียวซึ่งก็คือโจเซนี่นา คนอื่นอยากจะเสวนากับเขาที่ไหน
ด้วยความที่อพาร์ตเม้นต์อยู่ฝั่งตรงข้ามจึงใช้เวลาไม่นานนักในการเดินเท้า พอเข้ามาในห้องได้ เจ้าอรุณก็รีบปิดประตูล็อกขณะที่แขกของเขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็ส่งเสียง
“บ้านนายเล็กกว่าที่คิดนะเนี่ย นึกว่าจะใหญ่กว่านี้ซะอีก”
เล็กอย่างที่เดวีว่าเพราะพอเข้ามาในห้องก็เจอเตียงนอนเลย ใกล้กันมีโต๊ะทำงาน เยื้องไปหน่อยมีห้องครัวเล็กๆ ภายในห้องครัวมีห้องน้ำ ถัดออกไปก็เป็นระเบียง เรียกได้ว่าเป็นอพาร์ตเม้นต์สำหรับคนงบน้อยเลยก็ว่าได้
ก็เขางบน้อยจริงๆ เป็นถึงนักพฤกษศาสตร์ที่มีตำแหน่งนักวิจัยควบ ซ้ำยังทำงานหนักกว่าใครเพื่อนกลับได้เงินเดือนเพียงหยิบมือ อย่างว่าแหละ หน่วยงานรัฐมันก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าประเทศไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น แต่เจ้าอรุณไม่ได้ใส่ใจมากนักหรอก ถ้าเขาได้รับการยกทุนให้ไม่ต้องชดใช้อีกต่อไป เขาก็ไม่อยู่ประเทศนี้แล้ว
“อยู่คนเดียวจะใช้พื้นที่เยอะๆ ไปทำไม”
เจ้าอรุณตอบกลับเสียงเรียบ ไม่อธิบายว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ห้องเล็กๆ นี่นอกจากเดินตรงไปยังลิ้นชัก หากรรไกรสำหรับตัดผมแล้วหยิบออกมาถือก่อนเดวีจะแทรกขึ้นมาอีก
“ไม่มีเงินเช่าห้องดีๆ กว่านี้อยู่มากกว่า เงินเดือนน้อยล่ะสิ”
รู้ดี! เดี๋ยวก็เอากรรไกรเสียบเสียนี่!
โดนพูดแทงใจดำเข้าอย่างจังก็สะอึก ตวัดดวงตามามองทันควัน หัวคิ้วย่นยู่บอกให้รู้ว่าไม่พอใจ หากแต่ทำเป็นหูทวนลม รีบจัดการหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จๆ
“อย่าพูดมาก มานั่งนี่”
สิ้นเสียงก็เบือนสายตาไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ในครัว เดวีหันไปยิ้มรับ ก้าวฉับๆ ไปยังจุดที่เจ้าของห้องต้องการให้ไป พอเดินไปถึงก็นั่งปุ มือทั้งสองวางบนหน้าขา แหงนหน้ามองเจ้าอรุณเล็กน้อย
“เอาหล่อๆ นะ”
เจ้าอรุณถึงกับเบ้หน้า
ก็หน้านายได้แค่นี้ จะให้มันหล่อกว่านี้ได้ที่ไหนกันวะ! มีใครเอ่ยปากชมสักคำไหมว่าหล่อเนี่ย!
เผลอก่นด่าออกไปด้วยความรำคาญ เป็นการก่นด่าที่ผุดพรายในใจ ไม่ได้หลุดออกจากปาก พอได้สติ เจ้าอรุณก็หัวเสีย
นี่เขากลายเป็นคนหยาบคายโดยสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ ด้วย แค่เจอกับคนตรงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ ถ้าปล่อยให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังคงต้องเกิดเป็นความเคยชิน
ถึงจะไม่มีใครชอบหน้าเท่าไหร่นัก ทว่าเจ้าอรุณก็เป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเอง เป็นนักวิชาการที่เถรตรงก็จริงแต่อย่างน้อยก็ไม่ขอหยาบคาย เขาจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่คล้ายกำลังสะกดอารมณ์ ก่อนจะพูดออกไปนิ่งๆ
“อยู่เฉยๆ อย่าขยับเชียวถ้ายังจะอยากเก็บหูไว้”
เดวีเหลือกตามอง อมยิ้มน้อยๆ คล้ายกับท้าทายแต่ก็ไม่พูดอะไร หันกลับไปนั่งตัวตรง ปล่อยให้เจ้าอรุณค่อยๆ เล็มปลายผมให้
เจ้าอรุณไม่ใช่ช่างตัดผม เขาไม่มีประสบการณ์การตัดผม แต่มีประสบการณ์ในการตัดแต่งกิ่งไม้และพวกเถาวัลย์มาก่อนเลยพอจะคะเนได้ว่าส่วนไหนควรตัด ส่วนไหนไม่ควรตัด เขาไม่คิดว่าการตัดผมให้เดวีมันคือการตกแต่งผมแต่อย่างใด หากแต่มองว่าเป็นการตัดตกแต่งเถาวัลย์ให้เข้าที่เข้าทาง
...เถาวัลย์หน้าหนวดที่นั่งตัวตรงแหน็วด้วยเกรงว่าจะถูกเจ้าอรุณตัดหูทิ้ง
เจ้าอรุณไม่ได้ตัดผมเดวีเป็นทรงอะไรหรอก เล็มๆ ไปตามทรงเดิมแค่ให้สั้นลงเล็กน้อยและดูไม่กระเซอะกระเซิง ทั้งที่ใจจริงอยากจะโกนทิ้งไปเลยด้วยซ้ำ เสียอย่างเดียวตรงที่เขาไม่มีแบตตาเลี่ยนไว้ไถ ไม่อย่างนั้นไม่รอช้า ไถตั้งแต่ผมยันเคราแล้ว
ใช้เวลาไปนานพอสมควรถึงได้เสร็จสิ้น พอปลายกรรไกรออกจากจากปลายผม เดวีก็ร้องจะดูรูปโฉมตัวเองเป็นเด็กๆ ทันที
“กระจกล่ะ ไหนกระจก”
เจ้าอรุณกลอกตา บุ้ยปากไปยังอ่างล้างหน้าซึ่งมีกระจกอยู่ด้านบนที่อยู่หน้าห้องน้ำ เท่านั้นเดวีก็รีบผุดลุกขึ้นไปส่องดูตัวเองซ้ายทีขวาทีเป็นการใหญ่
“หล่อไม่มีใครเกิน”
หล่อกับผี! แทบไม่ต่างจากเดิม
เจ้าอรุณมองด้วยความหมั่นไส้เสียเต็มประดา มันก็จริงอย่างที่เขาคิด ทรงผมของเดวีไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนดูสั้นกว่าเดิมเล็กน้อย มันยังคลอเคลียอยู่ที่ต้นคอหากแต่ดูไม่กระเซอกระเซิงอย่างตอนแรก พอเดวีเอาผมทัดหูก็ดูดีกว่าเดิมขึ้นมาทันตา จะชวนให้ดูหงุดหงิดต่อเนื่องก็เพราะยังมีหนวดเคราบนใบหน้านี่แหละ
“โกนหนวดด้วย ทำเป็นไหม” ไม่ปล่อยให้รำคาญใจนาน ออกปากสั่งฉับพลัน
เดวีหันมามอง ส่ายหน้าพรึ่บ
“ไม่สันทัด ทำให้หน่อยสิ”
นี่เราเป็นนักพฤกษศาสตร์หรือช่างทำผมเนี่ย เวรเอ๊ย!
หลุดสบถหยาบคายในใจอีกแล้ว เจ้าอรุณพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ปกปิดความรู้สึกว่ารำคาญ อีกทั้งยังหัวเสียที่ตัวเองเก็บอารมณ์ได้ไม่ดีนักทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเท่าไหร่ เดวีเห็นสีหน้าของเจ้าอรุณก็รู้ว่าเจ้าตัวหงุดหงิดแต่ไม่สนใจ ยิ้มหน้าระรื่น
“ก็บอกแล้วว่าปกติมีคนทำให้ แบบว่ามีคนรับใช้”
จะว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูว่างั้น!
เจ้าอรุณไม่คิดว่าเดวีเป็นลูกคุณหนูอะไรหรอก แต่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นตัวอะไร และเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาหาคำตอบให้เปลืองสมองด้วย อย่างที่ตั้งใจไว้ รีบเอาข้อมูลจากเดวีมาแล้วแยกวง เขาจะได้รีบๆ ได้รับอนุมัติยกเลิกการชดใช้ทุนแล้วกลับไทยสักที
“งั้นกลับมานั่งที่”
เรียกกลับมานั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ก่อนจะมองตามหลังเจ้าอรุณที่เดินไปหยิบครีมโกนหนวดและที่โกนหนวดมาจากห้องน้ำ มันไม่ใช่ของเขาหรอก เป็นของโจเซที่เอามาทิ้งไว้เพราะบางครั้งหัวหน้างานคนนั้นก็มาค้างคืนที่อพาร์ตเม้นต์ลูกน้องเวลาที่งานเร่งๆ หรือจำเป็นต้องช่วยเจ้าอรุณทำงานเหมือนกัน
ทำไมถึงต้องเป็นอพาร์ตเม้นต์ของเจ้าอรุณน่ะเหรอ?
ก็เจ้าอรุณไม่ชอบไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นไง เหตุผลแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาไม่ยอมทำงานต่อแล้วถ้าหากถูกบังคับให้ไปนอนค้างที่บ้านโจเซ อีกฝ่ายจึงต้องมาหาเขาแทน
เป็นลูกน้องที่มีอภิสิทธิ์เยอะเสียเหลือเกิน แม้แต่หัวหน้ายังต้องง้อ ก็ช่วยไม่ได้ เขาเป็นลูกมือที่มีความสามารถโดดเด่น ช่วยแบ่งเบาภาระให้ได้ขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องง้อล่ะ
เจ้าอรุณเอาของมาวางบนโต๊ะกินข้าว เดวีเห็นก็ทิ้งตัวพิงกับพนักเก้าอี้ แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยเป็นการเตรียมพร้อม ทำเอาคนที่รับหน้าที่โกนหนวดให้ถึงกับย่นคิ้วจนแทบจะพันกัน
ไม่ใช่ย่นคิ้วเพราะจู่ๆ ก็กลายเป็นคนรับใช้จำเป็น แต่ย่นเพราะพอมองเห็นหนวดเครายุ่บยั่บแล้ว เขาก็นึกขยะแขยงขึ้นมา
เอามือไปสัมผัสตรงๆ จะติดเชื้อโรคไหมวะ?
ไม่ต้องให้ใครมาให้คำตอบ ไม่เอ่ยปากถามด้วย แค่เห็นแล้วรู้สึกขนลุกชัน เขาก็ไม่รอช้า รีบเข้าไปในห้องน้ำ เปิดเอาอะไรบางอย่างในชั้นเก็บของแล้วกลับออกมา
เดวีที่กำลังรอให้ปรนนิบัติรับใช้เหลือบมามองแล้วสีหน้าสงสัยก็ปรากฏไปทั่วใบหน้า
“เอาถุงมือมาทำไมน่ะ”
เจ้าอรุณไม่ตอบในทันที บรรจงสวมถุงมือยางลงบนมือของตัวเองทีละข้าง ใส่เสร็จแล้ว เดินมาใกล้ถึงได้พูด
“เดี๋ยวติดเชื้อ”
ไม่มีการไว้หน้าหรือใดๆ ทั้งสิ้น พูดออกไปตามตรงทำเอาเดวีบุ้ยปาก
“เชื้ออะไร มีที่ไหน สะอาดจะตาย ไม่เชื่อดู”
ไม่พูดอย่างเดียว แกะกระดุม... ไม่สิ กระชากสาบเสื้อกาวน์ออกจากกันจนกระดุมหลุดกระจาย เผยให้เห็นร่างกายภายในอย่างชัดเจน
เจ้าอรุณเผลอย่นจมูกเมื่อเถาวัลย์ที่ไม่ใช่พืชโผล่มาให้เห็นตรงหน้า ถึงจะไม่ได้เห็นครั้งแรกแต่ก็ใช่ว่าเขาจะชิน เห็นซ้ำๆ เห็นบ่อยๆ เห็นไปเห็นมา ตาจะบอด ของตัวเองก็มีให้เห็นแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อะไรไม่ว่า รู้สึกขยะแขยงคนตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิมจนต้องขยับตัวเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ขนก็ลุกชันขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ฉันขยะแขยง”
รอบนี้ก็ว่าตรงๆ ออกจากใจจริงด้วย เดวีหยุดการโชว์วิตถาร หัวเราะร่วน
“พูดซะเสียความมั่นใจ ฉันดูน่าขยะแขยงตรงไหนเนี่ย”
ทุกตรงนั่นแหละ!
“มีแต่คนบอกว่าฉันน่ารักจะตาย”
เดวีพยายามยืนยันว่าตัวเองไม่ได้น่าขยะแขยงชวนขนลุกขนพอง มันก็จริงที่มีแต่ใครๆ ชมเขา ยิ่งคน ‘ที่นั่น’ นะชื่นชมเขาอย่างกับอะไรดี ถึงกับยกให้เขาเป็นคนโปรดเลย แต่เจ้าอรุณไม่สนแล้ว ตรงไปคว้าครีมโกนหนวดและมีดโกนมาถือในมือมั่น ออกปากเสียงแข็ง
“หุบปากแล้วแหงนหน้า”
“ไม่ต้องใส่ถุงมือก็ได้”
“จะเอาเก็บไว้ไหมปากน่ะ ถ้าจะเก็บไว้ก็หุบปาก”
ยังไม่ทันที่เดวีจะได้เถียงสิ้นเสียงดี เจ้าอรุณก็แทรกขึ้น เดวีจึงได้แต่พิงพนักเก้าอี้แล้วแหงนหน้าขึ้นอีกครั้งอย่างว่าง่าย