มู่ชิงซานกวาดตามองไปรอบๆ ตัว เขามั่นใจว่าสตรีอัปลักษณ์คงอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ นางเหมือนภูตผีซึ่งหลบซ่อนคอยกัดกินซากสัตว์เน่าตาย
ร่างสูงใหญ่ก้าวไปเบื้องหน้าโดยไม่เกรงกลัวใคร กระทั่งหูแว่วได้ยินเสียงน้ำตก ด้วยความที่เมื่อยล้าและอยากล้างเนื้อตัว จึงเปลื้องผ้าหวังชำระร่างกาย
เมื่อเขาลงสู่ผืนน้ำใส ความสดชื่นทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าหายเครียด แต่พอเงยหน้าขึ้นเขารู้สึกวูบเล็กน้อย อีกทั้งปวดศีรษะอย่างรุนแรงยามนั้นชายหนุ่มคิดถึงความผิดพลาดที่ตนไม่ทันเฉลียวใจแต่แรก ด้วยประมาทว่าแคว้นหมิงอ่อนด้อยหลายอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับเดินเข้าสู่กับดัก มู่ชิงซานนึกย้อนถึงป้ายหยกของน้องชายและกล่องไม้ที่มีนิ้วมือมนุษย์ หรือเป็นไปได้ว่าของสองสิ่งนี้ล้วนแอบแฝงด้วยพิษร้ายและตอนนี้มันกำลังเล่นงานเขาหลังจากที่ใช้พลังภายในเพื่อป้องกันตนเอง
มู่ชิงซานปวดศีรษะรุนแรงกว่าเดิมและมีเลือดไหลออกจากจมูกกับรูหูทั้งสองข้าง อาการหน้ามืดเล่นงานเขาอย่างฉับพลัน แต่เขาพยายามทรงตัวเอาไว้ด้วยได้ยินเสียงฝีเท้าคน แม้ว่าแผ่วเบาแต่มีจำนวนไม่น้อย
“ใครมันบังอาจรบกวนข้า” มู่ชิงซานตวาด ก่อนกระโดดตัวลอยเหนือผิวน้ำ เมื่อมีมีดสั้นซึ่งเป็นอาวุธลับพุ่งตรงมายังร่างเขา
“บัดซบ! ลอบกัดเช่นนี้คงมีแต่พวกคนเขลาแคว้นหมิง” เขาเอ่ย และมองหาคนที่ซุ่มอยู่หลังแนวป่าไผ่
การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็ว ดูท่าแล้วคงเป็นกลุ่มคนที่มีฝีมือมากกว่าชายชุดดำเมื่อครู่
มู่ชิงซานคว้าเสื้อคลุมมาพันกายเอาไว้เพื่อไม่ให้อุจาดตา แล้วลอยตัวไปคว้าดาบใหญ่ จากนั้นก็พุ่งเข้าฟันร่างซึ่งหลบอยู่ตามโขดหิน ร่างเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บต่างกันไป แต่พวกมันมีฝีมือมิได้ต่ำทราม เขาจึงต้องออกแรงมากสักหน่อย
การต่อสู้ยืดเยื้อ ร่างกายของมู่ชิงซานเกิดอาการแปลกประหลาด เขาสะบัดร้อนสะบัดหนาว ศีรษะหนักข้างเดียว อีกทั้งมีอาการหอบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พิษ!...พวกหมาลอบกัด”
ชายหนุ่มขบกรามแน่น พิษประหลาดคงซ่อนอยู่ในหยกและกล่องไม้ที่เขาได้รับ เมื่อออกแรงหนักมันก็กำเริบหนัก กระนั้นเขาก็ฝืนตนเข้าไปสังหารคนที่พุ่งเข้ามา ดาบใหญ่ฟันไปข้างหน้าก่อนหมุนตัวกลับอย่างเร็วเมื่อมีคนโจมตีจากด้านหลัง ชายหนุ่มจึงถีบศัตรูเหล่านั้นตามด้วยใช้ฝ่ามือซัดอีกร่างซึ่งพุ่งมาทางขวามือ
ยามนั้นเขาไอแห้งๆ ความกลัวพลันเกิดท่วมใจ เขาไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใด มู่ชิงซานคือหมาป่ารัตติกาล เป็นอ๋องปีศาจที่ใครได้ยินชื่อก็ต่างนึกขยาด ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกเข้าปอด พยายามบ่ายหน้าเพื่อฉวยเอาเสื้อผ้าของตนมาสวมใส่ ทว่าไม่ทันได้หยิบจับอะไร เขากลับลื่นล้ม ก่อนที่ร่างจะถูกกระแสน้ำพัดพา
สองมือของเขาหาที่ยึดเหนี่ยว แต่แรงของน้ำซึ่งซัดใส่ร่างสูงใหญ่มีกำลังมหาศาล อีกทั้งบางส่วนไหลเข้าสู่ปากและหู ยามนั้นชายหนุ่มดิ้นรนสุดกำลังทว่าแรงที่เคยมีเหมือนจะหดหายไป
“ข้าจะตายไม่ได้ หากยังไม่ได้สะสางความแค้นกับนางผู้นั้น!!” เขาเอ่ยแต่เสียงของอ๋องจากต้าหลางเบาจนน่าวิตก
ฟ่านรั่วเจี๋ยต้อนฝูงเป็ดของนางเข้าโรงเรือน และร้องเพลงพื้นบ้านที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กด้วยความสบายใจ ขณะที่พยายามตามจับลูกหมูแคระที่ซุกซน ดวงตาของนางต้องเบิกค้างเมื่อมีท่อนขาแกร่งขาวซีดโผล่ให้เห็นตรงหน้า พิศแล้วหัวใจพลันหล่นหายไปอยู่ตรงปลายเท้า
กระทั่งสติฟ่านรั่วเจี๋ยกลับคืน นางจึงชะโงกหน้าไปมองร่างที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนเผลอหลุดร้องเสียงดัง เสียงนั้นทำให้เจ้าหมูแคระวิ่งออกมาจากที่ซ่อน
หมูตัวนั้นชื่อตือเมี่ยว มันใช้จมูกโตๆ ดมปลายเท้าร่างที่นอนสลบไม่ได้สติ พอเห็นว่าไม่เคลื่อนไหว มันก็ดมไปทั่วเรือนกายสูงใหญ่ กระทั่งเริ่มใช้ปากเล็กๆ ขบต้นขายาวซึ่งมีแพขนสวยงามเปียกลู่นาบไปกับผิวของเขาซึ่งชวนให้หวามใจอย่างยิ่ง ทว่าเจ้าหมูแคระคงไม่ทันหายมันเขี้ยว ตือเมี่ยวจึงเปลี่ยนเป้าหมายใหม่
“อาเมี่ยว หยุด นั่นไม่ใช่ไส้เดือน!!”
หญิงสาวกลั้นหายใจลึก ก่อนรีบเข้าไปอุ้มตือเมี่ยวลูกหมูแคระขึ้นมากอด
ยามนั้นสายตานางจดจ้องร่างกายของบุรุษซึ่งนอนไร้สติ โดยเฉพาะตรงกึ่งกลางลำตัว ซึ่งนางไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อได้เห็นแท่งหยกของบุรุษแห่งอาณาจักรต้าหลางเต็มสองตา!
เจ้าสิ่งนั้นนอนหลับใหลอยู่ในฝักสวย ขนาดมันไม่ได้เล็กสักนิด ฟ่าน-รั่วเจี๋ยยอมรับว่ายามนี้นางกระวนกระวายใจอย่างที่สุด
“เป็นเขาจริงๆ หรือ”
นางรำพึงรำพันกับตนเองพลางสำรวจเรือนกายนั้นอย่างละเอียดแน่นอนว่าร่างสูงใหญ่ซึ่งนอนสลบไร้อาภรณ์ห่มกายคือหมาป่ารัตติกาล หรืออ๋องปีศาจซึ่งใครๆ ต่างขยาดกลัว ทว่ายามนี้เขากลับมาอยู่ตรงหน้านางในสภาพเปล่าเปลือย อีกทั้งนอนสลบและหายใจแผ่วเบาราวกับคนหมดแรงนับว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมเสียจริง
“คนชั่วช้าเช่นท่านตกอยู่ในเงื้อมมือข้า สวรรค์ยังมีความยุติธรรม หึๆอย่าคิดว่าจะได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีกเลย” นางว่าอย่างลำพองใจ ยิ่งเห็นร่างกายเขาไม่ไหวติง ฟ่านรั่วเจี๋ยยิ่งสาแก่ใจนัก
“กำจัดคนพาลอภิบาลคนดีเช่นนี้นับว่าประเสริฐ!” นางประกาศกร้าวสายตาฉายโชนความมุ่งมั่นทำตามที่ใจคิด
มือเรียวสวยดึงปิ่นปักผมที่เป็นเข็มเงินเล่มใหญ่ พอเลื่อนสลักเล็กก็กลายเป็นมีดสั้นคมกริบ ฟ่านรั่วเจี๋ยค่อยๆ ทรุดลงไปอยู่ใกล้ๆ ร่างกายสูงใหญ่
มู่ชิงซานผู้นี้เป็นชายผิวขาวอยู่สักหน่อย บางส่วนไหม้แดดจึงดูสมชายชาตรี ทว่าทั่วทั้งเรือนกายกำยำนั้นชวนให้ดวงตานางพร่างพราย
“อ๋องปีศาจ ท่านตั้งใจล่อลวงข้า ฮึ...ไม่มีวัน ท่านมิอาจทำเรื่องนี้สำเร็จ”
มีดสั้นจี้ตรงลำคอของมู่ชิงซาน เส้นเลือดเขาเต้นตุบๆ ลูกกระเดือกสวยเคลื่อนไหวช้าๆ ฟ่านรั่วเจี๋ยตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ นางกำลังหวั่นไหว!
หญิงสาวเปลี่ยนจุดหมายใหม่ นางคิดจะแทงมีดสั้นเข้าที่หัวใจเขาเพียงครั้งเดียวร่างนี้ก็จะสิ้นใจ!
“ไม่ได้สิ คนอย่างท่านสมควรถูกทรมาน จะให้ตายง่ายๆ คงไม่สาสมกับความเลวแสนต่ำช้าที่เคยกระทำไว้”
ฟ่านรั่วเจี๋ยก้าวจบจึงเตรียมจะขึ้นนั่งคร่อมตัวเขา ทว่าเป็นตอนนั้นที่กายสาวร้อนผ่าวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ด้วยมือเรียวสวยของนางสัมผัสแผงหน้าอกแน่นๆ ของชายหนุ่ม ก่อนที่จะเผลอไผลบีบยอดหน้าอกซึ่งกำลังแข็งชูชัน!
ความรู้สึกตอนนั้นไม่เหมือนกับยามที่เย้าหยอกเกาเจียวหั่ว และแต่ไหนแต่ไรนางนึกว่าตนชอบอีกฝ่าย ทว่าเหตุใดเพียงแค่ใกล้ชิดอ๋องปีศาจไม่ถึงหนึ่งอึดใจ นางกลับเผลอทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ คิดแล้วฟ่านรั่วเจี๋ยก็สะท้านไปทั้งร่าง!!
หัวใจนางเต้นแรง เรือนกายร้อนวูบวาบ บริเวณท้องน้อยคล้ายมีผีเสื้อปีกบางบินว่อนนับร้อยนับพันตัว
“ขะ...ข้าเป็นอะไรไป ปีศาจร้าย อ๋องอำมหิต...ท่านไม่สมควรมีชีวิตรอด”นางว่าแล้วจึงลุกพรวดห่างจากร่างชายหนุ่ม ก่อนต้องหวีดเสียงร้องแหลมออกมาเมื่อไส้เดือนของเขาที่นางเห็นก่อนหน้านี้มันเริ่มพองขยายขึ้น และถึงแม้ไม่เต็มที่ แต่ก็ทำให้ฟ่านรั่วเจี๋ยหน้าแดง หูแดง และร้อนอบอ้าวจนเหงื่อผุดท่วมหน้าผาก
“ทะ...ท่าน คนชั่วช้า คิดล่อลวงข้าเยี่ยงนั้นรึ ก่อนที่จะฆ่าท่านให้ตายข้าขอเฉือนไส้เดือนทิ้งแล้วสับให้ละเอียดเอาไปผสมปลายข้าวให้อาเมี่ยวกินก็แล้วกัน หากกระทำเช่นนี้คงนับว่าเกิดประโยชน์!”
นางว่าอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น ก่อนกึ่งก้าวกึ่งวิ่งเข้าไปในครัว เมื่อออกมาก็เห็นว่าชายหนุ่มค่อยๆ ฟื้นคืนสติ ฟ่านรั่วเจี๋ยหยุดชะงัก นางมิอาจรับมือเขาได้แน่ บุรุษผู้นี้คือเทพสงครามกระหายเลือดเชียวนะ!
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นข้าจะสับท่านเป็นหมื่นๆ ชิ้น” นางขู่เขา พลางยกมีดทำครัวเล่มใหญ่ในมือขึ้น ท่าทางเหมือนจะจัดการเขาให้ถึงแก่ชีวิต
ดวงตาเรียวคมกริบคู่นั้นมองฟ่านรั่วเจี๋ย และมองอยู่นาน นานจนนางผิดสังเกต
“จ้องข้าเยี่ยงนี้ ทะ...ท่านคิดย่ำยีข้าใช่หรือไม่ ฝันไปเถอะ สตรีเช่นข้ามิยอมให้ผู้ใดข่มเหงง่ายๆ และตำหนักเย็นแห่งนี้จะเป็นที่ฝังศพบุตรชายแห่งต้าหลาง” นางกล่าวและปั้นสีหน้าเป็นขึ้งโกรธ ทว่าทำได้เพียงอึดใจเดียว นางก็ต้องประหลาดใจเป็นล้นพ้น เมื่อสีหน้าของมู่ชิงซานกลับระบายยิ้มกว้างรอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าแข็งกระด้างดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“พิลึก ทะ...ท่านยิ้มให้ข้า!” นางเอ่ย แล้วเผลอยิ้มตอบเขา
“ยิ้ม” ชายหนุ่มว่าและหัวเราะขบขัน คราวนี้ฟ่านรั่วเจี๋ยถึงกับตะลึงงันยามนี้เหตุใดบุรุษสกุลมู่ถึงไม่เหมือนคนที่นางเคยพบหน้า อีกทั้งแววตาร้ายๆเต็มไปด้วยความอาฆาตซึ่งแผ่รังสีปีศาจหายไปอยู่แห่ง