พริมามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในไร่ของเขาอย่างมีความสุขหลายวัน เขาพาเธอไปขี่ม้า เล่นน้ำตกท้ายไร่ และเธอได้ทำอาหารให้เถื่อนกินทุกวัน
“ม้าตัวนี้ของเฮียสวยและแสนรู้จังเลยค่ะ” เธอเอ่ยชม มองเจ้าม้าสีดำสนิทที่ชื่อเจ้านิลอย่างชอบใจ
“มันแสนรู้และเชื่อมมาก” เขาลูบมันไปมาด้วยสายตารักใคร่
เถื่อนใจดีเขาสอนเธอหัดขี่ม้าและสอนขับรถยนต์ด้วย ไม่นานเธอก็ขับเป็น
“ขับรถอยู่ที่ใจ ถ้าใจกล้าก็ขับได้” เธอพยักหน้า ก่อนที่เขาจะโยกศีรษะของเธอไปมา
เธอยอมรับว่ามีความสุขมาก แต่ชีวิตของคนเรามีสุขมีทุกข์ปนเปกันไป เมื่อความสุขผ่านเข้ามาไม่นานก็ผ่านไป พริมารู้ตัวดีว่าชีวิตของเธอยังมีภาระจัดการดูแล
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากมารดาทำให้เธอกดรับด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
“พรีมอยู่ไหนลูก” ประโยคนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยเลยสักนิด แต่มันเต็มไปด้วยท่าทีร้อนใจและเธอก็รู้ด้วยว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นมารดาจะไม่มีวันโทร. มาหาเธอ
ตั้งแต่บิดาเสียชีวิต เธอก็ไม่เคยรับรู้ถึงความเป็นชีวิตครอบครัวอีกเลย บิดาเป็นผู้ชายที่ดี รักครอบครัว ขยันทำงาน จากอุบัติเหตุในวันนั้นทำให้ท่านจากโลกนี้ไปแบบไม่หวนกลับ เธอต้องอยู่กับมารดาที่เอาแต่เที่ยวเตร่ ไม่ค่อยรักเธอ ไม่มีแม้แต่เวลาจะเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียวอย่างเธอ
พริมาอยากให้มารดาจากโลกนี้ไปแทนบิดา เธอรู้สึกผิดบาปที่คิดเช่นนี้ แต่ถ้าหากบิดายังอยู่ชีวิตของเธอก็คงไม่เป็นแบบนี้ เธอคงเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีชีวิตการเรียนและกลับบ้านมาอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นไม่ใช่นักศึกษาที่ต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้เรียนจบ
เธออายเกินกว่าจะบอกใคร ๆ ว่าดวงดาวคือมารดาของเธอ เพราะท่านเองก็ไม่อยากบอกใคร ๆ ว่าเธอเป็นลูก ไม่อยากรับภาระอันใดทั้งสิ้นภายในบ้าน ในขณะที่เธอต้องทำงานตั้งแต่เล็ก
บิดาของเธอโชคร้ายที่ได้มารดาของเธอเป็นเมีย นั่นคือสิ่งที่เธอรู้สึกมาตลอดตั้งแต่จำความได้
หลังจากบิดาเสียชีวิตเธอก็ต้องอดมื้อกินมื้อ มารดาออกไปเที่ยวเตร่ ใช้เงินประกันชีวิตหลังจากบิดาเสียชีวิตจนหมด ดีหน่อยที่เธอมีเพื่อนบ้านที่ดี คอยหยิบยื่นอาหารให้ พอโตขึ้นมาหน่อยเธอจึงรับจ้างทำงานไปทั่ว
การเรียนกับการทำงานคือความเหนื่อยหนักของชีวิต จนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เจอกับเถื่อน ครั้งนั้นเธอต้องการเงินด่วน มารดาไปติดหนี้ก้อนใหญ่และกำลังจะโดนฆ่าตาย ท่านคุกเข่าอ้อนวอนขอร้อง เธอเลยจำต้องช่วย เถื่อนไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ของเธอหรอก เขาคิดแค่ว่าเธอเป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่แค่อยากเรียนต่อ แล้วเขาก็อยากช่วยเหลือผูกปิ่นโตกับเธอก็เท่านั้น แต่ปิ่นโตที่เถื่อนผูกกินกับ มันกลับยาวนานถึงสี่ปีอย่างไม่น่าเชื่อ
เถื่อนเพิ่งมารับรู้ปัญหาของเธอกับมารดาในช่วงปีที่สอง และเขาก็คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด จนเธอเกรงใจเขาไม่น้อย
เงินเก็บที่พอจะมีคงหมดไปอีกครั้งหากเธอใจอ่อนให้มารดาทุกครั้งที่ท่านขอเงิน แต่ถ้าไม่ให้นั่นหมายถึงชีวิตของท่าน เมื่อเจ้าหนี้ไม่มีคำว่าปรานี
“มาทำธุระต่างจังหวัดค่ะ” เธอไม่เคยเล่าเรื่องเถื่อนให้มารดาฟังและพยายามไม่ให้ท่านรู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์กับเถื่อน สิ่งเดียวที่มารดารู้คือเธอทำงานไปเรียนไป เลยพอจะมีเงินใช้จ่ายไม่ได้มากมายอะไร เถื่อนจึงรู้จักกับมารดาของเธอเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
หากเธอให้มารดารู้ว่าเถื่อนมีเงินมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือท่านจะไถเงินเธอไม่หยุดหย่อน และเอาเงินของเธอไปเลี้ยงผู้ชาย มารดาสามารถหาเงินมาเลี้ยงหรือเปย์ผู้ชายได้ แต่ถ้าหาเงินมาให้ลูก ส่งเสียให้เรียนหนังสือท่านหาไม่ได้ บอกว่าเป็นภาระ
“พรีมพอจะมีเงินให้แม่ยืมก่อนไหมลูก แม่ป่วยไม่สบายไม่มีเงินเลย แม่กำลังจะอดตาย”
“พอมีนะแม่ แต่ไม่เยอะ พรีมเพิ่งเรียนจบยังไม่ได้หางานทำเลย” ที่ต้องให้เพราะว่าจะได้จบ ๆ กันไป เธอยึดคติที่ว่าขอพันให้ร้อย ขอหมื่นให้พัน และมารดาของเธอก็ขอแค่ให้ได้เท่านั้น เท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเธอไม่ให้ก็จะโทร. จิกหรือพูดจาตัดพ้อไม่เลิก ให้เพราะตัดรำคาญเธอขอใช้คำนี้
“เท่าไหร่ก็ได้ลูก พรีมมีพร้อมเพย์ของแม่อยู่แล้วใช่ไหม แม่ยังไม่ได้กินข้าวเลย พรีมโอนเลยนะ”
“ค่ะ” พริมากดวางสายก่อนที่จะกดโอนเงินให้มารดา
พริมาคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเถื่อน มันเปราะบางและไม่มีอะไรมั่นคงเอาเสียเลย เขาไม่ได้คิดอยากจะยกย่องเธอเป็นเมีย เธอเป็นแค่ผู้หญิงชั่วคราวที่เขายังไม่เบื่อ สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้คือหางานทำ หากวันใดวันหนึ่งเขาทิ้งเธอไป เธอจะได้มีหลักยึดมีอาชีพที่มั่นคงพอเลี้ยงตัวได้ ไม่ใช่คนหลักลอยไม่มีงานทำ
ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งหางานยากขึ้น เธอจะมาอยู่กับเถื่อนที่ไร่รอเวลาให้เขาทิ้ง มันคงไม่ดีแน่
“เฮียคะ พรีมคิดว่าจะหางานทำน่ะค่ะ” พริมาเอ่ยกับเขาในขณะที่รับประทานอาหารด้วยกัน เถื่อนดูชะงักไป ก่อนจะมองหน้าเธอนิ่ง