ตอนที่ 1 ทะลุมิติ
แสงตะวันของวันใหม่เพิ่งจะโผล่พ้นก้อนเมฆออกมาในตอนสายจัด หลังจากฟ้าครึ้มฝนพรำลงมาติดต่อกันจนฟ้าปิดมาหลายวันเหตุเพราะเป็นช่วงพายุฝนฤดูร้อนกำลังเข้ามาเยือน
หญิงร่างอ้วนท้วนจนเกินคำว่าสมบูรณ์ที่นอนนิ่งมานานเกือบสัปดาห์ อยู่ทางฝั่งตะวันตกของเรือนย้าวหรือจะเรียกว่ากระต๊อบก็ไม่ผิด ปลายนิ้วอ้วนป้อมเริ่มขยับ เปลือกตาค่อย ๆ กะพริบถี่แล้วเปิดกว้างขึ้น ดวงตากลมกลอกมองไปรอบทิศ กลิ่นอายฝนหอมกรุ่นโชยเข้าจมูก แต่กระนั้นเธอก็ยังหายใจลำบากเพราะคนอ้วนนอนราบกับพื้น ดวงตาดำขลับเบิกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นสภาพห้องที่ตัวเองกำลังนอนอยู่
หลังคามุงด้วยหญ้าคาที่สานเป็นตับผนังบ้านกรุด้วยใบตองพลวงสานขัดกับไม้ไผ่ ขณะที่ใจกำลังเต้นโครมครามมือก็ลูบคลำพื้นห้องที่เจ้าตัวนอนไปพลาง ๆ ใต้ร่างของเธอน่าจะเป็นเสื่อ เมื่อมือสัมผัสกับพื้นไม้ไผ่ที่ใช้เป็นพื้นบ้าน สายตาจึงหลุบมองต่ำตามมือ ตรงที่เธอนอนเป็นเสื่อที่ทอด้วยกกผืนเก่าคร่ำคร่า ห้องที่เธอนอนอยู่คงเป็นห้องที่ใช้ทำครัวด้วย มันมีเหมือนชานยื่นออกไปเล็กน้อยมีหวดที่ใช้สำหรับนึ่งข้าวกับหม้อที่ใช้ทำแกงอีกหลายใบ หม้อที่ว่าทั้งสามใบเป็นหม้อดินทั้งหมด
หัวใจเต้นแรงตุบ ๆ ทั้งตื่นเต้นระคนหวาดกลัว เมื่อเธอรู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่โตที่กรุงเทพฯ หรือไม่ก็โรงพยายาลที่เธอเรียนอยู่ปีสุดท้ายที่ควรจะเป็น แล้วเธออยู่ที่ไหนเธอจำได้ว่ากำลังเดินเข้าไปดูเขาแข่งวอลเลย์บอลซึ่งเป็นกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัย พอเดินเข้าไปถึงขอบสนามแล้วจู่ ๆ ลูกวอลเลย์บอลจากทีมฝั่งตรงข้ามก็ลอยลิ่วเข้ามากระแทกกับศีรษะของเธอด้วยความเร็วและแรงจนเธอสลบ
ใช่ เธอสลบไป แล้ว?…
ไม่สิ ถ้าแค่สลบเธอจะมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร บัวชมพูยกแขนทั้งสองข้างของตนขึ้นแล้วก็ต้องตะลึงกับความดำและใหญ่ของมันข้อพับตรงท้องแขนมีริ้วของขี้ไคลอยู่ด้วย ไหนจะนิ้วมืออวบอ้วนและเล็บที่ดำมีแต่ดินนั่นอีก มือสองข้างลูบคลำร่างตัวเอง แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง
โอ้ว! พุงใหญ่ที่มีเกินหน้าเกินตาแถมยังหน้าอกที่ใหญ่โตราวกับแตงโมจินตรา ต้นขาที่ใหญ่เกินแม่หมูตอนและสะโพกที่ใหญ่เกินกว่าคำว่าผาย น่าจะใช้คำว่าก้นบานมากกว่าถึงจะถูก น้ำหนักของแม่หญิงผู้นี้น่าจะไม่ต่ำกว่าเก้าสิบกิโลกรัม
ให้ตายเถอะ! แล้วจะลดอย่างไรไหว
เดี๋ยวก่อนเธอต้องตั้งสติก่อน บัวชมพูหายใจเข้าลึกกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เธอต้องการกระจก ไม่อยากเชื่อเลยจากว่าที่แพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกรูปร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้นจะกลายมาเป็นยายช้างน้ำไปได้
บัวชมพูนั่งนิ่งสักพักแววตาเหม่อลอยหวนนึกถึงความทรงจำในร่างเดิม แล้วทุกอย่างก็เด่นชัดขึ้น
อา! เธอมาอยู่ในร่างของหญิงอ้วนที่มีลูกอีกสองคนซ้ำสามีและลูก ๆ ยังรังเกียจ ร้ายกว่านั้นก่อนเธอจะหมดสติไปไม่กี่วัน สามีของเธอยังขาหักทั้งสองข้างเดินไม่ได้และเธอก็เป็นต้นเหตุให้เขาต้องขาหัก มันยิ่งตอกย้ำให้เขาเกลียดเจ้าของร่างนี้มากขึ้น
โอย! ช่างโชคร้ายอะไรขนาดนี้ ถ้าเทวดาจะเล่นตลกทำไมไม่ให้ไปอยู่ในร่างของหญิงงามบ้างหรือไม่ก็ให้ไปอยู่เมืองจีนหรือเกาหลีอะไรทำนองนั้นไม่งั้นก็ประเทศทางฝั่งตะวันตกก็ได้ทำไมต้องเป็น เอ่อ…เป็นที่ไหนล่ะ ที่นี่คือที่ไหน บัวชมพูหันมองซ้ายขวา ก้มหน้ามองตรงฝาผนังที่เปิดรับลมทำให้เธอมองเห็นทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ มันเหมือนจะเป็นเขตนอกเมืองเอามาก ๆ บัวชมพูได้แต่ตัดพ้อในใจ ไม่นานก็นึกขึ้นได้
มันคือหมู่บ้านโนนหนองจานในปีพุทธศักราช 2495
เธอกำลังจะหยัดกายใหญ่ของตัวเองลุกขึ้นก็รู้สึกปวดไปทั่วร่างและลามไปยังศีรษะ ความจำเดิมบอกว่าเธอลื่นเปลือกกล้วยล้มหัวกระแทกพื้นเพราะลูกทั้งสองแอบกินกล้วยสุกที่มีอยู่เพียงสามลูกจนหมดเกลี้ยง เจ้าของร่างเดิมวิ่งเอาแส้ไล่ตีจนเจ้าตัวล้มหัวแตกสลบไปแล้วบัวชมพูก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน
“โอ้ย! ปวดหัว” หญิงอ้วนเอ่ยขึ้นเสียงแหบแห้งรู้สึกลำคอแห้งผาก แต่ก็ทำให้ลูกอีกสองคนและสามีของนางที่อยู่เรือนทางฝั่งตะวันออกได้ยิน
“ท่านพ่อเสียงเหมือนยายอ้วนฟื้นขึ้นมาแล้วขอครับ” ลูกชายคนโตที่อยู่ในวัยเก้าขวบพูดขึ้นและทำหน้าตาตื่น เขยิบกายอันสั่นเทาเข้ามานั่งใกล้พ่อ น้องสาววัยเจ็ดขวบก็ทำเช่นกัน
“ฟื้นได้อย่างไรกัน” ผู้เป็นพ่อที่นั่งเอนกายเหยียดขาทั้งสองข้างที่เข้าเฝือกด้วยไม้ไผ่พิงอยู่กับเสาเรือนพูดขึ้นด้วยแววตาฉงน นางสลบไปเป็นอาทิตย์อยู่ดี ๆ จะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร เขาเตรียมจะให้ลูก ๆ ไปบอกญาติพี่น้องเพื่อเตรียมนำศพนางไปฝังแล้วเอาดินกลบหน้าเสียแล้ว