หลังจากส่งลูกเรียบร้อยฉันโทรตามช่างให้มาจัดการเรื่องรถ ตอนบ่าย 3 โมงจะได้ไปรับลูก ไปรับช้าก็สงสารลูก ไม่อยากให้แกรู้สึกไม่ดีเวลาที่เห็นเพื่อน ๆ กลับบ้านทีละคน ทีละคนแล้วเหลือตัวเองเป็นคนสุดท้าย
กลับมาถึงก็เตรียมเปิดร้านค่ะ การทำร้านเค้กของฉันความวุ่นวายบังเกิดหลายอย่าง เพราะฉันต้องทำเองคนเดียวทั้งหมด ร้านเปิด 10 โมงเช้า กะเวลาเผื่อเคลียร์ของเตรียมของ และปิดตอนบ่าย 3 โมง เสาร์อาทิตย์จะปิดหนึ่งทุ่ม เพราะน้องปลายไม่ได้ไปเรียน ฉันรออะไรเข้าที่เข้าทางก็จะเปิดรับสมัครพนักงานสักหน่อย ตอนนี้ยังงมกับตัวเองอยู่ และคงอีกสักพักใหญ่
กรุ๊งกริ๊ง!
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดี…คะ” เสียงฉันขาดห้วงเมื่อคนที่เดินเข้ามาคือเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเฮียเฟย ซึ่งฉันเคยสนิทด้วยมาก ๆ
“เอาเอสหนึ่งแก้ว” พี่นิกสั่งและเดินไปเลือกเค้กหน้าตู้ ตอนนี้ภายในร้านมีแค่ฉันและพี่นิก แล้วเขาก็เอ่ยถาม “ทำไมถึงกลับมาที่นี่”
“…”
“พี่ถามว่าทำไมถึงกลับมา รู้ไม่ใช่เหรอว่าทำอะไรกับเพื่อนพี่ไว้บ้าง หรือว่าลืม?” พี่นิกยังคงเลือกเค้ก เหมือนว่าไม่ได้จริงจังในบทสนทนา แต่เท่าที่ฉันรู้จักพี่นิกมา นี่แหละคือวิธีพูดของเขา
“ไปรท์แค่อยากเริ่มต้นใหม่”
“ประเทศไทยมีตั้งกี่จังหวัด ทำไมไปรท์ไม่ไปอยู่ กลับมาทำร้ายใจมันทำไม มันอยู่ของมันดี ๆ กว่ามันจะเป็นคนได้ไปรท์รู้ไหมว่ายากแค่ไหน มันไม่ง่ายเลยนะไปรท์”
“พี่นิก… แม่ไปรท์อยู่ที่นี่ แม่แก่แล้ว ใครจะดูแล ไปรท์เป็นลูกสาวคนเดียวนะพี่”
“แล้วทำไมมาเปิดร้านใกล้ร้านมัน”
“บังเอิญค่ะ บังเอิญจริง ๆ พี่นิกก็รู้ว่าไปรท์ไม่ได้อยากเจอเขา แต่ไปรท์เช่าร้านนี้ระยะยาวไปแล้ว จะให้เลิกตอนนี้ก็ไม่ใช่ไหมพี่ ไปรท์ลงทุนกับร้านไปตั้งเยอะ”
พี่นิกส่ายหัวพร้อมสีหน้าลำบากใจ และยื่นเค้กมาให้ฉันคิดเงินที่เคาน์เตอร์ “มันมีคู่หมั้นแล้ว”
“ไปรท์รู้จากนิ้งแล้ว และก็ไม่คิดจะยุ่งกับเขา”
“แต่มันจะเอาคืนไปรท์” หน้าฉันเจื่อนลงทันทีที่ได้ยิน นี่สินะเหตุผลที่เมื่อเช้าท่าทีของเขาเปลี่ยนไป มันเป็นแบบนี้นี่เอง
“ด้วยวิธีไหนคะ”
“พี่ไม่รู้ ถ้าไปรท์ไม่อยากเสียใจ ไปรท์ควรไปจากที่นี่ อย่าอยู่ใกล้มัน พี่ไม่อยากให้ไปรท์เสียใจ”
“บางทีไปรท์ก็ควรชดใช้ที่ทำให้ฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติของเขาล่ม เขาอยากจะเอาคืนยังไงก็ให้เขาทำเถอะค่ะ ไปรท์ไม่อยากติดค้างเขา เขาคงไม่ถึงขั้นเผาร้านใช่ไหมคะ”
“มันน่าจะยังไม่บ้าถึงขนาดนั้น”
“ค่ะ งั้นก็ให้เขาทำเถอะค่ะ แล้วทางที่ดีพี่นิกอย่ามายุ่งกับไปรท์ดีกว่านะคะ ไปรท์ไม่อยากให้พี่ทะเลาะกับเฮียเฟย ตอนนี้ไปรท์เป็นศัตรูของเขา”
“พี่มาเตือนเพราะเป็นห่วง”
“ขอบคุณค่ะ ทั้งหมด 75 บาทค่ะ”
พี่นิกล้วงกระเป๋าควักแบงค์ร้อยยื่นให้ เมื่อฉันทอนเงินเขายื่นโทรศัพท์มา “ไลน์พี่ สแกนไว้ เอาไว้คุยกัน”
“พี่นิก…”
“พี่ห่วง”
“ก็ได้ค่ะ” ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสแกนคิวอาร์โค้ดของพี่นิก ไม่ได้อยากติดต่อกับเขา เพราะเขาคือเพื่อนของเฮียเฟย ฉันไม่อยากให้เพื่อนทะเลาะกัน
“อย่าลืมว่าไอ้เฟยกำลังจะแต่งงานนะไปรท์”
“ไปรท์รู้ค่ะพี่นิก” พี่นิกพยักหน้าและเดินออกจากร้านไป
เอาคืนงั้นเหรอ อยากให้ฉันรักแล้วทิ้งฉันอีกสินะ
ผ่านไปชั่วโมงกว่าลูกค้าเข้าร้านมาเยอะมาก เค้กที่ตั้งขายวันนี้กำลังจะหมดแล้ว ถือว่าขายดีนะเนี่ย ส่วนน้ำหมดเกลี้ยงเป็นที่เรียบร้อย อาจจะเป็นการบอกเล่าปากต่อปาก ทำให้ฉันขายดี
กรุ๊งกริ๊ง
ฉันเงยหน้าขึ้นมองลูกค้าที่เข้ามาใหม่ เขาเดินเข้ามาและมองรอบ ๆ ร้าน “วันนี้เหนื่อยมากเลยอะ ขอช็อกโกแลตเข้มข้น 1 แก้วครับ”
“หมดค่ะ” ไม่ได้โกหกนะ ก็มันหมดแล้วจริง ๆ
“ทำไมใจมาร” คำนี้คงไม่ได้ด่าเพราะช็อกโกแลตหมด
“มันหมดจริง ๆ ค่ะ ขอโทษนะคะ”
“อยากคุยด้วย” ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเฮียเฟยจะเอาคืนฉันก็คงสับสนไม่น้อยที่เขามาทำแบบนี้ด้วย ทั้งที่ควรเกลียดชังฉัน แต่ตอนนี้รู้แล้วไงเพราะงั้นก็เลยไม่ตกใจ
“ได้ค่ะ แต่ขอเก็บร้านสักครู่นะคะ” ฉันบอกพลางเดินออกจากเคาน์เตอร์ ให้เดาคงไม่พ้นอยากคุยเรื่องเก่า ซึ่งฉันคิดว่าตัวฉันเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับเขา
“ทำไม กลัวคนมาเห็นเหรอว่าเปิดร้านไม่ทันไรก็มีผู้ชายมาคุยด้วย หรือจะพูดให้ดีก็ผัวตายไม่ทันไรก็…”
“ฉันแค่จะไปรับลูกค่ะและของวันนี้หมดแล้ว” คำพูดทำร้ายใจพวกนี้ แม้ว่าจะยังไม่ชินเมื่อมันออกจากปากเขาที่แสนดี แต่สักวันเดี๋ยวฉันก็ชิน และเดาว่าคงรู้เรื่องที่คุณวีเสียแล้ว ถึงได้พูดแบบนี้
ใจจริงฉันอยากจะบอกเฮียเฟยว่าอย่าพูดถึงคุณวีในทางไม่ดี ทว่าก็รู้ว่าถ้าหากพูดไปก็คงไม่พ้นได้มีปากเสียงหนักกว่าที่กำลังจะเกิด ‘ขอโทษนะคะคุณวีที่ทำให้คุณวีต้องโดนพูดถึงในทางไม่ดี’