บทที่ ๓ เลี้ยงไม่เชื่อง(๑)

1189 คำ
ภายในห้องที่มีเพียงแสงตะเกียงสาดส่องให้เห็นพอรางเลือน ไฟฉายที่ปราณนต์หยิบติดมือมาเพื่อส่องนำทางมายังบ้านพักซอมซ่อบนยอดเขานั้นถูกปิดลงตั้งแต่เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้ว เวลานี้เขาได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่แลกมากับเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนห้าแสนบาท สี่ปีก่อนเขาเคยคิดว่ามันไม่คุ้มค่า ทว่าพอได้เห็นเรือนร่างเต็มวัยของคนตรงหน้าก็ทำให้ความคิดคล้ายขาดทุนเหล่านั้นหายไป ตอนนี้เหลือแค่เพียงการตักตวงความสุขจากเจ้าของร่างบอบบางนี้เท่านั้น ทอดสายตามองร่างที่ไร้เสื้อผ้าปกปิดอยู่นาน โดยเฉพาะหน้าอกกลมขาวเขาอดจ้องมันนานกว่าจุดอื่นไม่ได้จริงๆ จากการสัมผัสเมื่อครู่ให้ความรู้สึกนุ่มลื่นเต็มมือไม่น้อย ตอนนี้จึงถึงฉากสำคัญที่เขาต้องไปต่อสักที “ถอดเสื้อผ้าให้ฉัน” คำสั่งของเขาแม้จะทำให้มนรดาสะดุ้งไม่น้อย แต่พริบตาเดียวก็ข่มความหวาดหวั่นทั้งหมดเอาไว้ เหยียบมันฝังลงไปใต้ฝ่าเท้า เพราะตั้งแต่วินาทีที่ผู้ชายคนนี้ก้าวเข้ามาในบ้าน ร่างกายก็ไม่มีวันเป็นของเธออีกแล้ว หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกแล้ววางมือที่บังคับไม่ให้สั่นแตะลงบนเสื้อของเขา ดึงชายเสื้อยืดขึ้นเผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่แข็งแน่นอัดกันราวกับเกลียวคลื่นในท้องทะเลก็ไม่ปาน แต่ไม่ว่ารูปร่างของเขาจะดีแค่ไหน ผู้ชายตรงหน้าก็เป็นเพียงคนสารเลวคนหนึ่งที่กำลังย่ำยีศักดิ์ศรีของเธอจนไม่เหลือดีก็เท่านั้น เมื่อถอดเสื้อของเขาออกแล้วก็ขว้างมันฟาดกับผนังห้องโดยไม่แยแสเลยสักนิดว่ามันจะสกปรกหรือเปื้อนฝุ่นแค่ไหน จากนั้นก็หันมาดึงเข็มขัด รูดกางเกงยีนของเขาลง เหลือเพียงกางเกงชั้นในสีน้ำเงินเข้มที่ปกปิดความเป็นชายชาตรีของเขาอยู่ เธอจ้องมองอย่างตัดสินใจเล็กน้อย สุดท้ายก็รูดปราการชิ้นสุดท้ายลง ทันทีที่ความเย็นปะทะกับร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มุมปากของปราณนต์พลันกระตุกเล็กน้อย เขานึกอยากจะปรบมือให้กับความใจกล้าบ้าบิ่นของผู้หญิงตรงหน้า เขาคิดว่าเธอจะขี้ขลาดตาขาวหลีกหนีเสียอีก แต่ที่ไหนได้เธอกลับเข้มแข็งไม่เบา ไม่หวาดกลัวการเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ไร้สิ่งใดปกปิดร่างกายแม้แต่น้อย ในยามที่เห็นดวงตากลมโตของคนตรงหน้าหลบวูบ ชายหนุ่มก็คว้าเอาคางเล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้า จ้องมองอย่างดุดัน “มองร่างกายของฉัน มองทุกส่วนของฉัน แล้วก็ใช้สมองกลวงๆ ของเธอคิดให้ดี ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะคุ้มกับค่าตัวของเธอ” มนรดาเงยหน้าจ้องมองเจ้าของน้ำเสียงดุดันอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ก่อนหน้านี้เธออาจจะหวั่นกลัว ทว่าตอนนี้ความกลัวเหล่านั้นได้ถูกหลอมละลายให้กลายเป็นความเกลียดชังแล้ว เธอกำลังบอกกับตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้มีความสุขจากร่างกายของเธอมากแค่ไหน ก็จะทำให้เขาทุกข์ทนทรมานมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่เคยเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ตอนนี้ค่อยๆ แย้มยิ้มบางๆ แล้วมือไม้ที่เคยกำแน่นอยู่ข้างตัวก็แปรเปลี่ยนมาสัมผัสแผ่นอกตึงเรียบของเขา ดูคล้ายอยากรู้อยากเห็นว่าภายใต้ผิวเนื้อไม่ขาวมากนี้ซุกซ่อนความแข็งแรงไว้มากแค่ไหน ปราณนต์เองก็ได้แต่มองมือนุ่มนิ่มที่วางอยู่กับแผ่นอก วินาทีแรกที่ผู้หญิงตรงหน้าสัมผัสเขานั้นคล้ายกับมีคลื่นความร้อนบางอย่างแล่นผ่าน แต่อึดใจเดียวความร้อนเหล่านั้นก็กลายเป็นความหนาวเหน็บสร้างความทรมานที่เขาไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อนได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ “สาวน้อย...” เขาเรียกได้เพียงเท่านั้นดวงตาก็พลันหรี่แคบลง เมื่อสาวน้อยตรงหน้าริอ่านอาจหาญทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว ตอนนี้ร่างระหงบอบบางราวกับจะปลิวไปตามลมของเธอค่อยๆ คุกเข่าลง นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา ดวงตาและสีหน้าของเธอสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด พริบตาเดียวความร้อนรุ่มบางอย่างก็พาดผ่านเนื้อกายของเขา พร้อมๆ กับฝ่ามือบางนุ่มนั่นรวบจับในสิ่งที่เธอยังไม่ควรแตะต้อง “เธอ...” เสียงทุ้มห้าวที่กำลังจะเอ่ยปากพลันขาดหายไป เหลือแค่เพียงใบหน้าคมคายเงยขึ้น กับลมหายใจที่หอบกระชั้นอย่างไม่สามารถหักห้ามได้ ปลายลิ้นอุ่นชื้นที่กำลังลูบไล้ในส่วนนั้นกำลังทำให้ปราณนต์ได้แต่คว้าศีรษะเล็กๆ ของเธอไว้แน่น เส้นผมนุ่มลื่นเพราะได้รับการบำรุงมาอย่างดีตลอดสามเดือนให้ความรู้สึกอยากสัมผัสมากอย่างที่เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน สุดท้ายเมื่อปลายลิ้นของเธอเริงระบำอย่างร่าเริงอยู่กลางร่าง เขาก็ทำได้เพียงกดศีรษะของเธอไว้แน่น ให้เธอปรนเปรอตัวเองยาวนานขึ้น เพียงได้ยินเสียงห้าวทุ้มครางออกมา มุมปากของมนรดาก็กระตุกเล็กน้อย ยิ่งเห็นเขาแหงนเงยใบหน้ามีความสุขมากเท่าไร ดวงตากลมโตของเธอก็ยิ่งฉายแววเกลียดชังมากขึ้นเป็นเท่าตัว สุดท้ายในจังหวะที่เขาดันศีรษะของเธอให้ดื่มด่ำกับส่วนนั้นของเขาลึกซึ้งขึ้น ฟันที่เก็บงำเป็นอย่างดีก็ฝังลงไป กัดลงไปเต็มแรงจนได้ยินเสียงเขาคำรามลั่น ซึ่งน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวมาพร้อมกับฝ่ามือหนาหนักที่ตวัดเข้ากับซีกแก้มของเธอจนเรียกเลือดให้ไหลกบปาก ทันทีที่กลางลำตัวหลุดพ้นจากฟันซี่เล็กๆ ของผู้หญิงตรงหน้า ปราณนต์ก็ก้มมองรอยเขี้ยวและรอยเลือดที่หยดซึมออกมาจนแดงฉาน เขาจ้องมองแล้วกระตุกมุมปากเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าชิ้นส่วนร่างกายยังไม่ขาด แค่บาดเจ็บไม่มากไม่น้อยเขาก็ยิ้มเหี้ยมเดินเข้าใกล้ คว้าเอาคนปากดีที่กล้าหาญชาญชัยฝังเขี้ยวลงในส่วนต้องห้าม “อยากตายนักใช่ไหม?” ดวงตาของมนรดาแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีน้ำตาไหลรินลงมาสักหยด เธอค่อยๆ ตวัดดวงตาเชือดเฉือนมองเขาแล้วแสยะยิ้มมุมปาก “แล้วการต้องเป็นอีตัวบำเรอคุณมันต่างจากการตายตรงไหน ถ้าฉันต้องทำแบบนั้น ก็สู้ตายไปซะยังดีกว่า เอาสิ! ในเมื่อคุณอยากให้ฉันตายนักก็ฆ่าฉันเลย จับฉันโยนลงไปตรงหน้าผาด้านหลังนั่นก็ได้ เพราะถ้าคุณให้ฉันเห็นไอ้นั่นของคุณอีกครั้ง ไม่ว่าจะใช้ปาก มือ หรือแม้แต่ซีกไม้ไผ่ ฉันก็จะตัดมัน เฉือนมันออกมาแล้วโยนให้หมากิน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม