แรงรวบรัดเอวคอดกิ่วที่แน่นกว่าเดิมทำให้เจ้าของร่างบอบบางอึดอัดก็จริง แต่ก็ไม่ปริปากทักท้วงเขาออกมาแม้แต่น้อย แม้แต่ในยามที่ปากอุ่นร้อนของเขาค่อยๆ งับผิวแก้มของเธอ ลิ้นอุ่นจัดลากไล้ไปตามข้างแก้มเลยเถิดถึงใบหู ก็ทำได้เพียงกำมือแน่น ไม่ให้ร่างกายและจิตใจหวั่นไหวไปกับสัมผัสของเขา แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่ปากอุ่นๆ งับเข้าติ่งหูก็ทำเอาร่างกายสั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม
“อ๊ะ!” หญิงสาวส่งเสียงร้องประท้วงได้เพียงเท่านั้น ปากร้อนชื้นที่เดิมทีงับอยู่กับติ่งหูนุ่มก็วกวนย้ายกลับมาครอบครองริมฝีปากบางนุ่มด้วยท่าทีดุดัน ปากที่พยายามเม้มหนีเขากลับถูกฝ่ามือข้างหนึ่งขยับมาออกแรงบีบให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายมนรดาก็ทำได้เพียงอ้าปากแล้วปล่อยให้ลิ้นอุ่นจัดตวัดซอกซอนเข้าไปสำรวจความหวานหอมที่ไม่เคยมีใครเคยเข้าใกล้มาก่อนด้วยความตะกละตะกลาม
ถึงจะเจ็บปวดกับการจู่โจมรุนแรงและดุดันของเขา แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลรินลงมาแม้สักหยดเดียว ราวกับว่าตลอดทั้งชีวิตนี้ ต่อให้ถูกเขาทรมานมากมายแค่ไหน เธอก็จะไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาสักหยด นั่นอาจเป็นเพราะว่าเธอ ไม่ปรารถนาจะถูกเขากระทบกระแทกร่างกายเข้าหา จึงได้แต่ยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ไร้ชีวิตให้ผู้ชายตรงหน้าสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจ
เปลือกตาบอบบางที่หลับพริ้มลงอย่างยินยอมรับชะตากรรมนั้น ไม่ได้ทำให้ปราณนต์รู้สึกโกรธเคืองหรือไร้อารมณ์ที่จะตะโบมจูบต่อไปเลยสักนิด เขาก็อยากจะรู้นักว่าผู้หญิงรูปร่างบอบบางยิ่งกว่าไม้ตะเกียบคนนี้จะสามารถต้านทานแรงปรารถนาที่เขาปลุกปั่นได้นานขนาดไหน ถ้าเธอต่อต้านไม่ตอบสนองหรือไม่รู้สึกใดๆ ละก็ เขาสาบานว่าตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันแตะต้องเธออีกแม้แต่ปลายเล็บ
คิดได้ดังนั้นมุมปากก็กดลงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พริบตาเดียวแรงตอดรัดของเรียวลิ้นก็รุนแรงขึ้น มือที่วางนิ่งๆ อยู่ตรงแผ่นหลังของเธอขยับเคลื่อนมาด้านหน้า แล้วไล้ลงไปตามโคนขาเนียนละเอียดที่เพียงได้สัมผัสเขาก็อดลดมือไปยังจุดอ่อนไหวบนเนื้อกายนุ่มนิ่มของเธอไม่ได้
แค่เพียงฝ่ามือของเขาทาบลงกับโคนขาด้านใน มนรดาก็ถึงกับลอบสูดหายใจเข้าปอดลึก ระงับความหวาดกลัวของตัวเองเอาไว้ ทว่าในยามที่ปลายนิ้วของเขาแหวกผ่านเส้นไหมนุ่มนิ่มเพื่อสัมผัสกับเนื้อแท้ของเธอ ร่างกายกับความรู้สึกที่พยายามข่มเอาไว้กลับพังทลายไม่เป็นท่า ตัวเธอสั่นสะท้านสุดท้ายก็ขยับมือเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ ดวงตากลมโตที่ปิดสนิทจ้องมองสบตากับเขาอย่างห้ามปราม
“ปล่อยมือ!”
ปราณนต์สั่งสั้นๆ แต่ดวงตาคมกล้าสาดความเยียบเย็นออกมาชัดเจน “อย่าคิดห้ามฉันเด็ดขาด!” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววหวาดหวั่นของเธอเนิ่นนาน “เธอคือสมบัติของฉัน เป็นคนของฉัน เป็นสินค้าของฉัน จำเอาไว้ว่าหน้าที่ของเธอมีเพียงสิ่งเดียวก็คือ ตามใจฉันทุกอย่าง ห้ามปฏิเสธหรือคัดค้านออกมาแม้แต่คำเดียว”
“คุณปราน”
“ใช่ ฉันคือคุณปราน และก็เป็นเจ้าชีวิตของเธอด้วย”
เมื่อเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น มนรดาก็ไม่มีเรี่ยวแรงหรือพลังพอจะสู้รบกับเขาอีก สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือออกจากลำแขนกำยำของเขา ปล่อยให้ปลายนิ้วทั้งห้าที่ทั้งร้อนทั้งหนักลูบไล้ไปตามเนื้อแท้ของกายสาว แม้ร่างกายของเธอจะสั่นเทากับแรงสัมผัสที่ทั้งหนักทั้งเบานั้นแค่ไหน เธอก็พูดอะไรออกมาไม่ได้เลย
รับรู้อีกทีริมฝีปากซีดสั่นของเธอก็ถูกเขาครอบครองอีกครั้ง ลิ้นอุ่นจัดกวาดกลืนอย่างเชื่องช้าแต่ก็ช่ำชองในการทำให้เธอรู้สึกวาบหวามจนยากจะห้ามปราม โดยเฉพาะปลายนิ้วของเขาที่กำลังชำแรกแทรกซึมเข้าไปในจุดอ่อนไหวด้านล่าง ยิ่งทำให้เธอทำได้เพียงข่มใจเอาไว้ ไม่ให้ครางประท้วงออกมา แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจเอาไว้ไม่ได้เลย เพราะเพียงเขาขยับปลายนิ้ว นวดคลึงแม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องร้องออกมาอย่างลืมตัว
“อ๊ะ! คุณปราน”
ปราณนต์ยกยิ้มพอใจกับเสียงเรียกของคนตรงหน้า ดูเหมือนการกักขังเธอไว้บนยอดเขาตลอดสี่ปีนั้นจะสร้างผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย เพราะผู้หญิงคนนี้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้ราคีและอ่อนต่อโลกของสัมผัสสวาทชัดเจน เธอเป็นเหมือนดอกไม้ที่ผลิดอกผลิใบเป็นครั้งแรก นั่นทำให้เขาพอใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ชายหนุ่มขยับปลายนิ้วเร็วขึ้น ล่วงล้ำเข้าไปในกายแท้ของหญิงสาวมากขึ้น ได้ฟังเสียงครางไม่เป็นภาษาของเธอแล้วเขาก็ยกยิ้มพอใจ แต่ขยับจนเนื้อตัวหญิงสาวเริ่มสั่นสะท้านเขากลับหยุดมือ แล้วมาไล้ลูบแก้มผ่องขาวเบาๆ “อะไรกัน ตอนนี้เธอจะให้ฉันเป็นฝ่ายบำเรอเธอหรือ ถ้าฉันจำไม่ผิด คนที่ต้องทำหน้าที่นี้ก็คือตัวของเธอเอง”
“คุณปราน”
มนรดาเรียกเขา ไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงถึงได้เจือแววตัดพ้ออยู่หลายส่วน
“ถ้าเธออยากให้ฉันสานต่อ ก็ลองยั่วฉันดูสิ”
เหมือนกับถูกสาดน้ำเย็นๆ กระทบจนรู้สึกหน้าชาไปหมด ความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้นอย่างยากจะทนทานเมื่อครู่สูญสลายไปเหมือนหมอกควันที่ถูกน้ำฝนเทกระหน่ำชะล้าง มนรดาทำได้เพียงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงหน้าผู้ชายที่ทำให้เธอป่วนปั่น แต่ถึงเมื่อครู่จะน่าอายแค่ไหน ทว่าตอนนี้หญิงสาวกลับเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ จ้องมองปราณนต์ด้วยท่าทางหยิ่งทะนง
แววตาของหญิงสาวที่สาดความเกลียดชังออกมาชัดเจน ไม่ได้ทำให้คนเป็นเจ้าชีวิตรู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด เขาจ้องมองเธอแล้วถอยห่างออกไปเล็กน้อย สุดท้ายก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยท่วงท่าสบาย ไม่ทุกข์ร้อนกับสีหน้าแววตาที่มองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเลยสักนิด
“หมุนตัว”
เขาออกปากสั่ง ขยับปลายนิ้วของหนึ่งวนเป็นรูปวงกลม
ในเมื่อเขาต้องการให้เธอทำแบบนั้น มนรดาก็มีแต่ค่อยๆ หมุนตัวให้เขาดูเรือนร่างทุกส่วนสัด ทันทีที่หญิงสาวว่าง่าย ปราณนต์ก็สั่งการต่อ
“โค้งตัวลงแล้วเงยหน้าสบตากับฉัน”
มนรดาค่อยๆ โค้งตัวลง เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองเขา เธอใส่ความเกลียดชังเข้าไปในดวงตาให้เขาเห็นชัดเจน
“ยืนขึ้น แล้วเดินมาหาฉัน” เธอทำตามอย่างว่าง่าย
เมื่อหญิงสาวมาหยุดอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ชิด ชายหนุ่มก็ยกมือข้างหนึ่งไปลูบจับหน้าอกกลมกลึงราวกับมันเป็นสินค้าที่แขวนตามร้านรวงข้างทางก็ไม่ปาน จับซ้ายจับขวาอยู่สักพักก็ปัดมือทั้งสองข้างไปมา
“ก็ดี ถือว่าเธอเป็นสินค้ามีชีวิตที่แลกเปลี่ยนกับเงินห้าแสนได้ ด้วยจำนวนเงินกับรูปร่างหน้าตาแบบนี้สมน้ำสมเนื้อดี ถือว่าฉันไม่ขาดทุน”
มนรดารู้สึกขยะแขยงสายตาที่เขามองมาเหลือเกิน แต่ที่เธอรู้สึกขยะแขยงมากกว่าแววตาของเขาก็คือเนื้อตัวของเธอเองเนื้อตัวที่ต่อไปนี้จะไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้ว แต่กำลังจะกลายเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง ของผู้ชายที่ไม่มีวันเห็นคุณค่าเลยแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อเธอต้องใช้ชีวิตอย่างอดสูแบบนี้ ต่อไปในวันข้างหน้า ถ้ามีโอกาสแก้แค้นแม้เพียงสักเล็กน้อย ก็จะขอเอาคืนเขาให้สาสมเช่นกัน