บทที่ ๔ มีชีวิตว่ายากแล้ว อยากตายยังยากกว่า(๑)

1416 คำ
ไม่รู้ว่าทำไมเวลามนรดาเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่ยืนอยู่บนโขดหินอีกครั้งก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่เธอไม่น่าไปหาเรื่องให้เขาโกรธเลย ทว่าคิดได้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว เพราะระหว่างเธอกับเขาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ก็คือความเกลียดชังที่จะฝังแน่นไปทั้งชีวิต แพขนตาเปียกชื้นค่อยๆ ปิดลง ซ่อนดวงตาแห่งความร้าวรานเอาไว้ จากสิ่งที่เขาทำและจากสิ่งที่เธอทำ ไม่มีวันย้อนกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว สี่ปีที่เขาปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ถือซะว่าเป็นช่วงชีวิตสุดท้ายของเธอก็แล้วกัน ปราณนต์เหลือบมองคนเผาบ้านด้วยแววตาเรียบเฉย ร่างกายเปล่าเปลือยของเธอก่อนหน้านี้ทำให้เขานึกพิศวาสอยู่ไม่น้อย แต่พอเจอฤทธิ์เดชของเธอเข้าไปสิ่งที่เขาคิดตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือ จะทำยังไงให้ผู้หญิงคนนี้ทรมานเหมือนถูกไฟเผาทั้งเป็น ตอนนี้เขาจึงไม่อยากจะมองเธอให้เปลืองสายตาอีก เบือนหน้าหนีมองนกมองไม้ที่อยู่รายล้อมตัวยังดีกว่า เมื่อเขาหันหน้าหนี มุมปากของมนรดาก็กระตุกเล็กน้อย อาศัยช่วงเวลาที่เขาไม่สนใจค่อยๆ เดินไปยังวังน้ำที่ลึกขึ้น ก้าวตรงไปช้าๆ ช่วงขาหนักแน่นมั่นคงผ่านก้อนหินน้อยใหญ่ สุดท้ายดวงตากลมโตก็หันไปมองแผ่นหลังกว้างของผู้ชายที่เป็นเจ้าชีวิตของเธอ ยกยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยอยู่ในใจ ‘ต่อไปนี้ คุณจะไม่ใช่เจ้าชีวิตของฉันอีกแล้ว’ ศีรษะเล็กเปียกชื้น เส้นผมยาวสยายนั้นค่อยๆ จมดิ่งลงไปในน้ำอย่างเงียบงัน ดวงตากลมโตหลับพริ้มและกลั้นหายใจปล่อยให้ตัวเองจมสู่ด้านล่าง แม้ในระหว่างนั้นร่างกายจะพยายามหาทางรอด ทว่าจิตใจของมนรดาบอบช้ำจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว เธอไม่ตะเกียกตะกาย ยินยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น อีกไม่กี่นาทีก็จะรอดพ้นแล้ว ไม่ต้องทุกข์ทรมานเพราะเขาหรือใครคนอื่นอีก เสียงอาบน้ำที่เงียบหายไป ทำให้ปราณนต์ต้องหันไปมอง เมื่อเห็นน้ำกระเพื่อมแผ่วเบาเป็นวงเล็กก็ได้แต่หรี่ตาลงน้อยๆ เขาเหลียวมองไปรอบๆ อยู่แค่อึดใจก็ส่งเสียงฮึ! ออกมาด้วยใบหน้าเย็นเยือก สุดท้ายก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปในน้ำ ดำดิ่งลงไปในจุดที่ผู้หญิงคนนั้นอาบน้ำอยู่ เขาดำผุดดำว่ายอยู่ไม่นานก็สามารถคว้าเอาร่างอ่อนกะปลกกะเปลี้ยของมนรดาขึ้นมา พอเห็นร่างกายที่คอพับคออ่อน หายใจรวยรินจนจะขาดใจตายนั้น ถ้าเป็นผู้ชายละก็เขาจะเตะมันให้คอหักเลยเชียว แต่นี่เมื่อเป็นผู้หญิงถึงแม้จะไม่อยากอ่อนโยนก็ยังอดไม่ได้อยู่ พาเธอขึ้นมานอนเหยียดยาวบนโขดหินได้ เขาก็พยายามช่วยเหลือชีวิตของน้อยๆ อย่างสุดกำลัง และเมื่ออีกฝ่ายสำลักน้ำออกมาแววตาของปราณนต์ก็เย็นชาขึ้นหลายส่วน “อยากตายขนาดนั้นเชียว แต่เสียใจด้วย ต่อให้ยมบาลมาอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีวันพรากเธอไปจากฉันได้” มนรดาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะปิดบังร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง ความอดสูเผยออกมาผ่านดวงตากลมโตทั้งสองข้าง ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากซีดจางไร้เลือดหล่อเลี้ยงถูกเจ้าตัวขบกัดไว้แน่น ถึงแม้อยากจะโวยวายออกมาด่าทอว่าเขาช่วยเธอทำไม แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก เมื่อร่างกายเริ่มปรับสภาพได้ก็ค่อยๆ นั่งชันเข่าเงียบๆ ทั้งปากทั้งตัวดูหนักอึ้งไปหมด ปราณนต์เองก็ไม่เอ่ยอะไร แต่แววตากับสีหน้าที่ปรายมองคนอยากตายแฝงความโกรธไว้มากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี ทว่าเห็นร่างซีดสั่นของอีกฝ่ายก็ยังยอมถอดเสื้อยืดเปียกๆ ของตัวเองยื่นให้ “ใส่ซะ! ฉันจะพาลงจากยอดเขา ระหว่างทางคงผ่านผู้คนจำนวนไม่น้อย” “ฉันไม่อยากไป” มนรดาตอบเสียงแผ่วเบา ก้มหน้าหลบหนีความโกรธที่สาดออกมาจากตาของเขาด้วยความหวาดกลัว “ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันอยู่มาสี่ปีแล้ว ฉันไม่อยากไปไหน” “อยู่ที่นี่ เธอจะอยู่กับกองขี้เถ้าหรือยังไง” น้ำเสียงของปราณนต์ดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ไม่สนใจคนปฏิเสธอีก จับเสื้อยัดให้สวมใส่เรียบร้อยก็ดึงรั้งแรงๆ จนข้อมือเล็กบางแดงก่ำ “เธอไม่มีบ้านให้อยู่อีกแล้ว ต่อไปนี้เธอต้องอยู่ในสายตาของฉันตลอดเวลา เพราะว่าฉันยังไม่อยากให้เธอหนีตายไปก่อนที่ฉันจะเบื่อเธอ” “แล้วเมื่อไรคุณจะปล่อยฉันไป” เธอกัดปากถามด้วยตาแดงก่ำ “ต้องทำยังไงคุณถึงจะพอใจ” “ก็เคยบอกไปแล้ว แค่เธอใช้ร่างกายบำเรอฉันดีๆ ทำให้ฉันมีความสุขจนคุ้มกับเงินห้าแสนเมื่อไร ฉันก็จะปล่อยเธอไป” มนรดาหลับตาลงอีกครั้ง รู้สึกว่าแสงสว่างในชีวิตกำลังดับมืดลง สุดท้ายก็ปล่อยให้ผู้ชายหยาบกร้านใจสกปรกลากตัวเองเดินกลับไปยังบ้านที่เหลือแต่เถ้าถ่าน มาถึงแล้วก็เห็นป้าใบ้ยืนหน้าซีดหน้าเซียวอยู่ แต่พอเห็นเธอแววตากับรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็พลันกว้างขึ้น เดินเข้ามาหา ลูบแขนลูบตัวดูด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ฉันยังไม่ตายหรอกจ้ะป้า” มนรดาพยายามข่มเสียงสะอื้นบอก “แต่ตอนนี้ฉันไม่มีบ้านให้อยู่แล้ว” ป้าใบ้หันไปมองนายเหนือหัว ยกมือไหว้ตัวสั่น แล้วเดินไปหยิบเอากระเป๋าเป้ใบเล็กมาส่งให้ผู้เป็นนาย ปราณนต์เปิดดูแล้วเห็นว่าเป็นเสื้อผ้าของตัวเองก็หยิบเสื้อกับกางเกงขึ้นมา ที่เหลือก็ส่งให้มนรดา “ใส่ซะ เอาไว้ลงจากเขาเมื่อไร ฉันจะให้คนไปจัดหาชุดที่เหมาะกับเธอมาให้” แม้อยากปฏิเสธ แต่เสื้อที่ใส่อยู่เปียกจนร่างกายเริ่มหนาวเหน็บ สุดท้ายหญิงสาวก็ยอมรับกระเป๋า เดินไปเข้าห้องน้ำที่เหลือรอดจากกองไฟ ค่อยๆ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อยืดตัวใหญ่จึงช่วยปกปิดส่วนเว้าส่วนโค้งที่ไม่มีชุดชั้นในของเธอได้เป็นอย่างดี แต่พอมองกางเกงยีนที่เอวกับขาใหญ่กว่าร่างเล็กบางของตัวเองมากก็ถึงกับหลับตาลง กางเกงแบบนี้เธอจะใส่ได้ยังไง ไม่นานป้าใบ้ก็เดินมาเคาะประตู เธอจึงเปิดออก อีกฝ่ายยื่นเข็มขัดมาให้ ชี้มือไปยังนายเหนือหัว จึงรับมาแล้วใช้มันรัดตะเข็บกางเกงอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะเดินออกมาก็ไม่ลืมพับขากางเกงขึ้นให้พอดีกับข้อเท้า ตอนเดินออกมาเห็นนายเหนือหัวใช้ภาษามือคุยกับป้าใบ้ ป้าใบ้พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วหมุนตัวลงจากเขาไป ทิ้งให้เธอได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนที่ดูแลมาตลอดสี่ปีด้วยตาแดงๆ แต่พอถูกดวงตาดุดันตวัดมองรอยแดงกับหยาดน้ำตาที่จวนเจียนไหลเล็ดออกมากลับเหือดแห้งไปอย่างง่ายดาย เหลือทิ้งไว้เพียงใบหน้าเฉยชาคล้ายกับคนไม่มีชีวิตแล้ว เมื่อป้าใบ้เดินหายไปจากระยะสายตา มนรดาก็ปล่อยให้ตัวเองยืนเป็นท่อนไม้ ไม่ขยับเขยื้อนไม่พูดอะไร จนกระทั่งรับรู้ว่าแขนของตัวเองถูกฝ่ามือร้อนราวกับเหล็กเผาไฟของปราณนต์ดึงลากลงไปยังเส้นทางที่ลงจากยอดเขาจึงได้เดินตามลงไปเงียบๆ นับตั้งแต่เธอถูกขังไว้บนยอดเขาก็ไม่เคยก้าวลงมาจากอาณาเขตตรงนั้นเลยสักนิด เพราะจำได้ว่าเคยหนีลงมาครั้งหนึ่ง กลับเจอผู้ชายหน้าตาน่ากลัวมากมาย คนพวกนั้นต่างจับจ้องราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้นๆ เธอจึงไม่กล้าหนีอีก ทำเพียงอยู่แต่ในเขตของบ้านไม้ซอมซ่อ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม